ความจริงจากเปลวเทียน
ความจริงจากเปลวเทียน
อักษราลัย
ในห้องอันมืดมิดแห่งหนึ่ง ผนังหินเก่าแก่ปกคลุมด้วยม่านแมงมุมบางเบา หยดน้ำจากความชื้นในอากาศเกาะพราวอยู่ตามซอกหิน สะท้อนประกายระยิบระยับยามต้องแสงเทียน บนโต๊ะไม้โบราณที่กาลเวลากัดกร่อนจนผิวด้าน มีเทียนสามดวงตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางความเงียบงัน เสียงลมหวีดหวิวแผ่วเบาดังแว่วมาเป็นครั้งคราวผ่านช่องหน้าต่างไม้เก่าที่ปิดไม่สนิท
ดวงแรกสูงสง่า ทอประกายเจิดจรัสราวกับดาวประจำรุ่ง เปลวไฟพลิ้วไหวอย่างภาคภูมิ ส่องสว่างจนทำให้เงาของข้าวของในห้องทอดยาวบนผนัง ดวงที่สองมีความสูงพอประมาณ เปลวไฟระบำอยู่กลางอากาศด้วยจังหวะอันนุ่มนวล ดูเหมือนจะครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่เสมอ บางครั้งเปลวไฟของมันก็พลิ้วไหวราวกับกำลังถอนหายใจยาว ส่วนดวงที่สามเป็นเพียงเทียนเล็กจ้อย เหลือความสูงไม่ถึงครึ่ง แต่ยังคงยืนหยัดอย่างมั่นคง แสงสว่างจากมันแม้จะไม่จ้า แต่กลับอบอุ่นและมั่นคง
วันเวลาผันผ่าน เทียนทั้งสามต่างสลายตัวตนทีละน้อย หลอมละลายหยดต่อหยด เพื่อมอบแสงสว่างให้แก่ความมืดมิด เทียนดวงแรกภาคภูมิในความสูงศักดิ์และแสงอันเจิดจ้าของตน มันมักเอ่ยถ้อยคำกระทบกระเทียบเทียนดวงที่สาม "จงดูข้าเถิด ผู้งดงามและทรงคุณค่า ส่วนเจ้านั้นช่างด้อยค่าและไร้ความหมาย แสงของเจ้าริบหรี่ราวกับจะดับ ใครเล่าจะพึ่งพาแสงสว่างเช่นนั้นได้"
เทียนดวงที่สองดำรงตนอย่างเงียบขรึม มันเฝ้าสังเกตเพื่อนร่วมทางทั้งสองด้วยความเข้าใจ บางครั้งมันก็ครุ่นคิดถึงความไม่จีรังของสรรพสิ่ง ว่า “ไม่ว่าจะเป็นเทียนดวงใหญ่หรือเล็ก สุดท้ายก็ต้องมอดดับเช่นเดียวกัน” มันจึงเลือกที่จะปล่อยให้เปลวไฟของตนเต้นระบำอย่างสม่ำเสมอ ไม่เร่งรีบจนเกินงาม ไม่เชื่องช้าจนน่าระอา เสมือนผู้รู้แจ้งที่เข้าใจสัจธรรมของชีวิต
ในคืนหนึ่ง สายลมพเนจรพัดผ่านบานหน้าต่างที่แง้มไว้ พัดพาความหนาวเย็นและความชื้นเข้ามาในห้อง เทียนดวงแรกที่เคยลุกโชนกลับสั่นไหวราวใบไม้ในพายุ หยดขี้ผึ้งร้อนระอุกระเซ็นและละลายหยดลงมาดุจสายน้ำตก ยิ่งมันพยายามต่อสู้กับสายลมด้วยการลุกโชติช่วง มันก็ยิ่งสลายตัวเร็วดั่งหิมะกลางแดด เสียงครางของมันดังก้องในความเงียบ "ข้าจะไม่ยอมแพ้! ข้าต้องส่องสว่างที่สุด!"
เทียนดวงที่สองยังคงยืนหยัดอย่างมั่นคง เปลวไฟของมันโอนอ่อนผ่อนตามแรงลม ไม่ดับสูญ ไม่โอนเอน มันรู้จักปรับตนให้กลมกลืนกับธรรมชาติ ไม่ขัดขืน ไม่ยอมแพ้ บางครั้งมันก็กระซิบเบา ๆ ว่า "ความสมดุลคือหนทางแห่งการดำรงอยู่ การต่อสู้มิใช่การฝืนธรรมชาติ แต่คือการเข้าใจและอยู่ร่วมกับมัน"
ส่วนเทียนดวงที่สาม แม้จะเล็กแต่กลับมีรากฐานที่แข็งแกร่ง มันไม่สะทกสะท้านต่อคำเยาะเย้ย ไม่หวั่นไหวต่อพายุร้าย มันเพียงทำหน้าที่ของตนอย่างสงบเสงี่ยม ส่องสว่างเท่าที่พึงกระทำได้ เปลวไฟของมันอาจจะเล็ก แต่กลับให้ความอบอุ่นที่มั่นคง ดั่งคนที่รู้จักตนเองและพึงพอใจในสิ่งที่ตนเป็น
เมื่อรุ่งอรุณแผ่รัศมีสีทองมาเยือน แสงสีชมพูอ่อนค่อยๆ แทรกผ่านช่องหน้าต่าง ทาบทาบนผนังห้องเป็นภาพงดงาม เทียนดวงแรกได้สลายตัวเกือบสิ้น เหลือเพียงซากขี้ผึ้งที่กองอยู่บนพื้นโต๊ะดุจซากปรักหักพัง ความภาคภูมิและความเย่อหยิ่งของมันมลายหายไปพร้อมกับแสงสุดท้าย เทียนดวงที่สองยังคงลุกไหม้อย่างสงบนิ่ง เปลวไฟของมันเต้นระบำต้อนรับแสงอรุณอย่างอ่อนโยน ส่วนเทียนดวงที่สามแม้จะดูไม่สลักสำคัญ แต่ยังคงยืนหยัดอย่างองอาจ แสงของมันผสานกับแสงอาทิตย์อย่างกลมกลืน
นกน้อยสีขาวบริสุทธิ์ตัวหนึ่งร่อนลงมาพักที่ขอบหน้าต่าง ขนของมันเป็นประกายระยับยามต้องแสงอรุณ มันทอดสายตามองดูเทียนทั้งสามด้วยแววตาอันเปี่ยมปัญญา ก่อนจะเอื้อนเอ่ยว่า "ช่างประหลาดนัก ที่บางครั้งสิ่งซึ่งดูยิ่งใหญ่ที่สุดกลับดับสลายเร็วที่สุด ในขณะที่สิ่งซึ่งดูไม่สลักสำคัญกลับยืนหยัดได้ยาวนานที่สุด บางทีคุณค่าของชีวิตอาจมิได้อยู่ที่ว่าเราส่องประกายได้สว่างไสวเพียงใด หากแต่อยู่ที่ว่าเราสามารถรักษาแสงนั้นให้ส่องสว่างได้ยืนยาวสักเพียงไร"
ว่าแล้วนกน้อยก็โบยบินจากไป ทิ้งไว้เพียงความเงียบงันในห้องที่มีเทียนสองดวงยังคงส่องแสงอย่างสงบ เป็นประจักษ์พยานแห่งปรัชญาชีวิตที่ไม่จำเป็นต้องเอ่ยคำใดอีก ขณะที่แสงอาทิตย์ค่อยๆ สาดส่องเข้ามาในห้อง ประสานกับแสงเทียนที่ยังเหลืออยู่ สร้างภาพอันงดงามของการผสานกลมกลืนระหว่างความสว่างและความมืด ระหว่างความแข็งแกร่งและความอ่อนโยน ระหว่างการยืนหยัดและการยอมรับ