ดวงตกแต่ละแบบเกิดจากบาปเก่าแต่ละชนิด...และมีบุญใหม่ที่สมน้ำนมเนื้อกันช่วยได้เสมอ
สังสารวัฏ
มีรอบต่ำรอบสูงวนเวียน
ดวงตกในทางพุทธเป็นเรื่องจริง
เป็นวาระที่วิบากแห่งบาปกรรมเก่าเล่นงาน
เป็นสิ่งที่แสดงอยู่ในลายมือ, DNA และดวงดาว
และ...เป็นอะไรที่วัดใจว่า
คนคนหนึ่งดวงตกแล้ว
จะทำกรรมอะไรต่อ
.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..
#ดวงตกทั่วไป
คือวิบากของบาปเล็กน้อย
เคยรบกวนจิตใจคนอื่นนิดหน่อย
เลยถูกรบกวนจิตใจนิดหน่อยบ้าง
ไม่ต้องพยายามแก้ดวงใดๆ
ลืมเมื่อไหร่ ก็เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย
#ดวงตกแบบยกให้ขึ้นง่าย
คือวิบากของบาปปานกลาง
ประทุษร้ายคนอื่นเขาไว้แบบชั่วครั้งชั่วคราว
เมื่อบาปเผล็ดผล แม้หนักก็ไม่สุด
หรือพยายามวิ่งเต้นแก้ไขได้ไม่ยาก
#ดวงตกแบบยกขึ้นยาก
หรือเจอแต่ทางตัน มืดแปดด้าน
คือวิบากของบาปที่ทำไว้หนัก
หรือยืดเยื้อยาวนาน
เช่น ปล้นแบบยกเค้า
ไม่เหลืออะไรไว้ให้เจ้าทรัพย์เลย
หรือทำร้ายจิตใจใคร
โดยหวังให้เขาเจ็บช้ำแรมปี
เขาขอเลิกราก็ไม่ยอมอ่อนข้อให้
เช่นนี้ เมื่อบาปเผล็ดผล
ก็มักเป็นชะตาชีวิตที่ล็อกไว้
แบบไม่เปิดช่องให้ทำอะไรได้ดีขึ้น
ขนาดอยากทำบุญ
ยังโดนบั่นทอนกำลังใจ
ในระดับดวงตกสุดขีด
บุญใหม่ที่ช่วยได้
เป็นบุญภายใน ไม่ใช่บุญภายนอก
กล่าวคือ เมื่อทำอะไรให้คนอื่นแล้วไม่ได้ผล
หรือเหมือนมีอุปสรรคขัดขวางบุญตลอด
ก็ให้ ‘ทำบุญกับจิตตัวเอง’ ดูบ้าง
.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..
#ทำบุญในระดับมีความศรัทธาเป็นฐาน
การทำบุญกับจิตตัวเองแบบพุทธ
คือบุญขั้นสูงสุด
ตั้งต้นจากการทำความเข้าใจว่า
กายนี้ ใจนี้ ถือกำเนิดจากพ่อแม่คู่นี้
เพราะกองบุญกองบาปในชาติก่อนๆเป็นตัวกำหนด
ยุติธรรมที่สุดแล้ว
ได้รับความเป็นธรรมที่สุดแล้ว
เกิดใหม่ทุกครั้ง
คือการหลงยึดเหยื่อ
คือกายใจในอัตภาพใหม่ทุกครั้ง
เมื่อหลงยึด
ก็หลงสะสมบุญ สะสมบาป
เป็นเหตุให้เกิดกายใจใหม่ไปเรื่อยๆไม่มีที่สิ้นสุด
เมื่อทำไว้ในใจอย่างนี้
แล้วทุกข์บรรเทาลง
ก็เรียกว่าสติเกิด
โดยมีฐานเป็นความเชื่อ ความศรัทธา
.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..
#ทำบุญในระดับมีปัญญาเป็นฐาน
และเมื่อรู้เข้ามา
ในภาวะทางกายใจอันไม่น่าเอา
อาจนับเริ่มจากมีสติ
เห็นความทุกข์ว่า
ทุกข์หนึ่งๆ ไม่ได้เกิดเองลอยๆ
แต่เกิดเพราะมีเหตุบีบคั้น
เห็นว่าทุกข์นั้นๆ
ตั้งอยู่ไม่นานก็เสื่อมลงไปเอง
ทุกข์ไม่ใช่ของเรา ทุกข์ไม่ใช่ตัวเรา
จะเลี้ยงไว้ก็ไม่ได้ ต้องหายไปเป็นธรรมดา
เมื่อเห็นทุกข์ทางใจไม่เที่ยงได้บ่อยๆ
อุปาทานยึดกายยึดใจก็เบาบางลง
เช่นนั้น ก็ทราบชัดกับตนว่า
ดวงตก แต่จิตไม่ตก ก็เหมือนดวงขึ้น
และเป็นดวงขึ้นทางธรรมขั้นสูงสุดด้วย
ใครทำได้ ก็เรียกว่าสติเกิด
โดยมีฐานเป็นปัญญา!