วิธีลดรอยดำตามซอก ข้อพับ รักแร้ ขาหนีบ
รอยดำตามซอก ข้อพับ รักแร้ ขาหนีบ เกิดจากสาเหตุใด ?
1.การเสียดสี และ การระคายเคืองของผิว รอยดำตามข้อพับ ตามผิวหนัง ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการสร้างเม็ดสีมากกว่าปกติ จากการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น การสวมเสื้อผ้า ชุดชั้นในที่รัดเกินไปจนเกิดการเสียดสีกันของข้อพับ รักแร้ ขาหนีบ หากมีน้ำหนักตัวมาก หรือ ชอบใส่เสื้อตัวเล็ก ยิ่งมีความเสี่ยงที่ผิวจะเกิดการเสียดสี ร่างกายเลยกระตุ้นให้ผลิตเม็ดสีบริเวณนั้นมากกว่า ทำให้เกิดรอยดำ รอบคล้ำของผิวบริเวณนั้นขึ้นมา
2.ครีมและสกินแคร์ทำให้ผิวระคายเคือง การใช้โลชั่นทาผิว น้ำหอม บางชนิด อาจทำให้รอยดำเข้มขึ้นจากการใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ เนื่องจากการระคายเคืองอ่อน ๆ ส่งผลให้ผิวบริเวณนั้นผลิตเม็ดสีได้มากกว่าปกติ
3.การกำจัดขนผิดวิธีบ่อยและรุนแรงเกินไป โดยเฉพาะใต้รักแร้ ทำให้ผิวได้รับการเสียดสี บาดเจ็บซ้ำ ๆ บางครั้งเกิดขนคุด รูขุมขนอุดตัน ผิวจึงตอบสนองด้วยการผลิตเม็ดสีมากขึ้น จึงทำให้เกิดรอยคล้ำตามมา
4.ความอับชื้นบนผิวอาจเพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิดรอยดำตามซอกและข้อพับขึ้นได้ เพราะเกิดการสะสมของเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อรา ส่งผลให้เกิดตุ่มคัน ผด สิว หากมีตุ่มคัน เมื่อเผลอเกาจนเกิดการอักเสบของผิวหนัง ส่งผลให้มีรอยดำตามมาได้ โดยเฉพาะบริเวณที่ดูแลไม่ถึง
5.กรรมพันธุ์ ฮอร์โมน ความเครียด อาการภูมิแพ้ ซึ่งบางครั้งเป็นปัจจัยที่เกิดจากภายใน อาจส่งผลให้เกิดรอยดำ คล้ำได้เช่นกัน
6.การตั้งครรภ์ เพราะฮอร์โมนในระหว่างการตั้งครรภ์เกิดการเปลี่ยนแปลง อาจส่งผลให้ผิวของคุณแม่ตั้งครรภ์บางคนมีรอยดำคล้ำ หรือ มีสีเข้มขึ้นตามต้นคอ ข้อพับ ขาหนีบ หัวนม รักแร้ ซึ่งปกติแล้วรอยดำคล้ำเหล่านี้จะหายไปเองหลังการคลอดบุตร
7.ผู้ที่ป่วยเป็นเบาหวานชนิดที่ 2 อาจพบปื้นสีดำบริเวณคอ ซึ่งเป็นโรคผิวหนังชนิดหนึ่งที่มีลักษณะผิวคล้ำ หนา ลักษณะเหมือนกำมะหยี่ มักจะเกิดบริเวณรักแร้ คอ ขาหนีบ เกิดขึ้นจากการที่ร่างกายมีภาวะดื้อต่อฮอร์โมนอินซูลิน
วิธีลดรอยดำตามซอก ข้อพับ รักแร้ ขาหนีบ
1.ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ จะช่วยลดสัดส่วนของร่างกาย และ ลดการเสียดสีกันของผิวหนังได้
2.สวมเสื้อผ้าที่ไม่รัดแน่นเกินไป ลดการเสียดสีของผิวหนังกับเนื้อผ้า ทั้งเสื้อผ้าภายนอก และ ชุดชั้นใน เลือกสวมใส่ให้พอดีตัว ไม่รัดแน่น เนื้อผ้านิ่มสบาย ถ่ายเทอากาศได้ดี จะช่วยลดความอับชื้นที่เป็นสาเหตุของกลิ่น การสะสมของเชื้อโรคจนเกิดการอักเสบของผิว นำไปสู่การเกา และ รอยดำตามมา
3.ใช้สกินแคร์ที่เหมาะกับผิว เลือกสกินแคร์ที่อ่อนโยน เป็นมิตรต่อผิว ไม่ทำให้เกิดการระคายเคือง ให้ความชุ่มชื้นอย่างเหมาะสม เพื่อสุขภาพผิวที่ดี งดใช้ผลิตภัณฑ์ที่ผสมน้ำหอมมากจนเกินไป หรือ ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่เคยใช้แล้วแพ้ ระคายเคือง มีผื่นแพ้ระคายเคืองตามซอก ข้อพับ
4.เลือกใช้สกินแคร์ที่มีสารผลัดเซลล์ผิวและไวท์เทนนิ่ง สกินแคร์บางกลุ่มอาจช่วยให้รอยดำจางลงได้ ที่มีคุณสมบัติยับยั้งการผลิตเม็ดสี สังเกตได้จากชื่อส่วนผสมบนผลิตภัณฑ์ เช่น
- ไทอามิดอล (Thiamidol)
- วิตามินซี และวิตามินบี 3 (Niacinamide)
- อัลฟ่าอาร์บูติน (Alpha-arbutin)
- กรดโคจิก (Kojic acid)
- บิวทิล-รีซอซินอล (4-butylresorcinol)
- กรดทรานซามิก (Tranexamic acid)
อีกกลุ่มที่อาจช่วยให้รอยดำจางลงได้ คือ สารกลุ่มผลัดเซลล์ผิว บางคนอาจจะรู้จักในชื่อของ กรดผลไม้หรือ AHA (Alpha Hydroxy Acid) จะผลัดเซลล์ผิวเก่าออก กระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ขึ้นแทน ให้เลือกใช้กรดผลไม้ ชนิดที่มีความเข้มข้นต่ำ ไม่เกิน 15% เพราะถ้าเลือกสารที่มีความเป็นกรดเข้มข้นสูงอาจกัดผิว จนไหม้ อักเสบและดำถาวรได้
อย่างไรก็ตาม สารทั้ง 2 กลุ่มนี้ควรใช้อย่างระมัดระวัง เพราะอาจทำให้ระคายเคืองได้ ขอแนะนำว่าควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังก่อนใช้
5.การใช้เลเซอร์รักษารอยดำ โดยการใช้คลื่นแสงที่มีความเข้มข้นสูงส่งลงไปยังผิวที่มีปัญหาอย่างตรงจุด ช่วยกระตุ้นการสลายของเม็ดสีที่เป็นสาเหตุของรอยดำ ขอแนะนำว่าควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังก่อน