เรื่องสั้นหลอนหักมุม ตอน กลิ่นของความรู้สึก
กลิ่นของความรู้สึก
คุณเคยดูมายกลไม่ซิพวกนักจิตวิทยา ที่สามารถอ่านท่าทางความคิดความรู้สึกของคนผ่านท่าทางกิริยาคำพูดน้ำเสียง หรือแววตาจนสามารถคาดเดาได้ว่าคนๆ นี้รู้สึกหรือคิดอะไรอยู่ไม๊ ซึ่งมันคือสิ่งที่เราสามารถเรียนรู้ได้ แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะทำได้จริงไม๊ ซึ่งตัวชั้นเองที่ค่อนข้างสนใจเรื่องแบบนี้ เลยพยายามศึกษาหาวิธีที่เราจะสามารถอ่านความคิดหรือความรู้สึกของคนได้ ด้วยวิธีอื่น นอกจากการศึกษาแบบที่ว่ามา แต่ชั้นใช้วิทยาศาสตร์ในการแก้ไขปัญหานี้ โดยเริ่มจากกลิ่นหอมละเหยที่เมื่อเราสูดดมกลิ่นเหล่านั้นเราจะรู้สึกผ่อนคลาย หรือบางคนอาจจะเหม็นจนต้องปิดจมูก นั่นก็หมายความว่ากลิ่นเหล่านี้ได้ส่งตรงไปยังสมองส่วนรับความรู้สึก และถ้าเราเปลี่ยนกลิ่นนั้นให้มาเป็นตัวเราที่สามารถดมสิ่งที่สมองปล่อยออกมาแทนก็คงจะดีไม่น้อย
“เธอกำลังพูดถึงทฤษฎีย้อนกลับใช่ไม๊ เธอต้องการย้อนกลับด้านจากเดิมที่สมองจะเป็นฝ่ายรับและแสดงผล แต่เธอต้องการให้ตัวเองเป็นฝ่ายรับกลิ่นของความรู้สึกที่สมองคนๆ นั้นปล่อยออกมาถูกต้องรึเปล่า” ยามะคุงเพื่อนสนิทของชั้นสามารถเข้าในสิ่งที่ชั้นอธิบายมาอย่างยืดยาวได้ สมกับที่เธออัจฉริยะประจำคณะ “ถูกต้องน๊าค๊า” ชั้นตบมือเบาๆ เป็นการดีใจในฐานะเบอร์สองของคณะ ที่แม้จะรู้สึกเจ็บใจแต่ก็ต้องยอมรับว่ายามะคุงเก่งกว่าจริงๆ “แต่ชั้นมีคำถาม เธอจะทำไปทำไม ทำไปแล้วได้อะไร การอ่านความรู้สึกคนมันน่าสนุกขนาดนั้นเลยหรอ” นี่ละคือข้อเสียของหมอนั่นที่แม้จะเป็นอัจฉริยะ แต่ส่วนของความคิดอารมณ์รวมถึงนิสัยการเข้าสังคมของหมอนั่นติดลบแบบสุดๆ ต่างกับชั้นที่แม้จะเป็นสาวแว่นในชุดกราวผู้บ้าการทดลอง แต่ก็ยังมีอารมณ์ความคิดความรู้สึก และที่สำคัญชั้นมีสังคมมากกว่าหมอนั่นที่มีชั้นเป็นเพื่อนพียงคนเดียว ที่เพราะนิสัยพูดตรงๆ เป็นขวานผ่าซากนี่ละจึงไม่อยากมีคนยุ่งด้วย “ถามว่าน่าสนุกไม๊หรอ ก็คงต้องตอบว่าใช่ล่ะมั้ง เพราะนายลองคิดดูนะว่าถ้าเราสามารถรับรู้อารมณ์ของคนได้มันจะดีขนาดไหน อย่างเช่นนายที่เฉื่อยชาจนไม่สนใจความรู้สึกคนอื่น ถ้าทำยาหรือเครื่องอะไรซักอย่างออกมา นายอาจจะเข้าใจความรู้สึกของชั้นก็ได้นะ” ยามะคุงทำท่าคิด “อืมน่าสนใจเดี๋ยวชั้นจะลองทำดูนะ เธอเองก็ช่วยหาพืชหรือกลิ่นที่ว่ามาให้ที ยิ่งเยอะยิ่งดีเดี๋ยวจะลองทำดู” ยามะคุงรับคำ “นั่นไงหมอนั่นติดกับชั้นแล้ว ทีนี้ชั้นก็จะได้อ่านความรู้สึกหนุ่มๆ ที่เข้าหาจะได้รู้ว่าเขารู้สึกยังไง ทีนี้ชั้นจะได้สละโสดจากชีวิตสาวแว่นในชุดกราวมาเป็นสาวสวยในชุดแต่งงานเสียที” ชั้นคิดในใจ “เสียงในใจของเธอดังมากๆ จนชั้นได้ยินแล้ว” ยามะคุงพูดด้วยหน้าตานิ่งเฉย
หลายวันหลังจากนั้นยามะคุงก็สร้างบางอย่างให้ชั้นตามที่ต้องการ มันคือขวดสเปรย์ขนาดเล็กที่มีน้ำใสๆ อยู่ในนั้น “ตามที่เธอขอ นี่คือยาอ่านความรู้สึกมั้งนะ วิธีใช้ก็ง่ายๆ แค่เธอฉีดสเปรย์นี่ไปที่ท้ายทอยของคนที่ต้องการ จากนั้นก็ฉีดที่ข้อมือตัวเองเพื่อเชื่อมต่อ เธอก็สามารถรับรู้ความรู้สึกพื้นฐานได้ แต่บอกไว้ก่อนว่ามันอ่านได้แค่ความรู้สึกไม่ใช่การอ่านใจ ชั้นลองกับหมาแมวที่บ้านมาแล้ว ตอนนี้สนิทกันกว่าเดิมอีก” ยามะคุงส่งให้ชั้น “มิสะ ชั้นเตือนไว้ก่อนนะบางที ความรู้สึกของคนมันก็แสดงออกมาตลอดเวลาอยู่แล้ว เราอาจจะไม่รู้ก็ได้นะ” ยามะคุงจ้องตาชั้นและพูดด้วยน้ำเสียงเข้มขรึม “และถ้าเกิดอะไรขึ้นชั้นไม่รับผิดชอบด้วย” เขามีสีหน้าจริงจังที่ไม่ต้องใช้ยานี่ก็รู้ว่าหมอนี่พูดจริง “อะโอเค” ชั้นตอบรับ
คืนนั้นชั้นก็แต่งตัวสวยเพื่อไปยังร้านเหล้าเจ้าประจำ ซึ่งที่นี่ชั้นมีหนุ่มที่กำลังเล็งไว้อยู่หลายคน ซึ่งถ้าชั้นสามารถรู้ได้ว่าเขาคิดกับชั้นแค่เพื่อน คู่นอน หรือคนรักชั้นจะได้เขาหาได้ถูก ไม่อย่างนั้นชั้นคงจะต้องเสี่ยงดวงใช้เวลาดูใจไปจนเป็นยัยแก่แน่ๆ “นั่นไงเหยื่อ” ชั้นพูดกับตัวเองก่อนจะแอบฉีดสเปรย์ที่ท้ายทอยระหว่างที่ชายคนนั้นเดินผ่านไป และฉีดที่ข้อมือเพื่อดมความรู้สึกที่ตอนนี้มันส่งกลิ่นชวนให้รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะดูหนังโป๊อยู่ นั่นไงถ้าความรู้สึกแบบนี้แปลว่าหมอนี่กำลังจ้องหาคู่นอนแน่ๆ ซึ่งนอกจากที่ชั้นจะใช้กับคนที่ต้องการชอบแล้วชั้นยังลองใช้กับคนอื่นๆ ด้วย จนชั้นสามารถรับรู้กลิ่นได้แบบเดียวกับที่ทันจิโร่ในการ์ตูนเรื่องคิเมะสึโนะไยบะเลยทีเดียว
“เอาคืนไป ชั้นไม่ต้องใช้มันแล้ว” ชั้นคืนสเปรย์ที่ยังมีน้ำยาให้กับยามะคุง “ให้เดานะเธอสามารถรับรู้ความรู้สึกคนได้โดยไม่ต้องใช้น้ำยาของชั้นแล้ว” ชั้นพยักหน้าก่อนที่ยามะคุงจะโยนขวดนั่นทิ้ง “นายจะทิ้งทำไมนั่นของมีค่าเลยนะ” ชั้นบอกเขาด้วยความตกใจ “จะบ้าหรอนั่นก็แค่น้ำเปล่า เธอคิดว่าชั้นทำของแบบนี้ได้หรอ ชั้นรู้อยู่แล้วว่าเธอทำแบบนั้นได้แค่เธอไม่มั่นใจในตัวเอง อย่างตอนนี้เธอก็รู้ว่าชั้นรู้สึกยังไง” ยามะคุงถามขณะที่ชั้นก็ได้กลิ่นความมั่นใจในสิ่งที่ตัวเขาพูดออกมา นั่นก็แปลว่ายามะคุงไม่ได้โกหก
ชั้นโบกมือให้ยามะคุงเมื่อรถเมล์สายประจำมาจอด และตอนนั้นเองเมื่อชั้นขึ้นมาบนรถก็ได้กลิ่นคาวเลือดที่โชยออกมาจากหญิงสาวคนนึงที่นั่งอยู่กลางรถ ซึ่งจะให้อธิบายถึงกลิ่นที่ว่ามันก็ไม่เชิงกลิ่นคาวแต่มันคือกลิ่นของสนิมที่เป็นกลิ่นอายของความตายที่ติดตัวผู้หญิงคนนั้น ชั้นจึงลองเดินไปใกล้ๆ เพื่อให้มั่นใจ โชคดีที่บนรถเมล์คนไม่เยอะชั้นเจอมานั่งข้างหลังของเธอได้ ซึ่งเมื่อมานั่งกลิ่นที่ว่านี้ก็เริ่มรุ่นแรงขึ้นจนชั้นแทบจะเอามือปิดจมูก นี่เป็นครั้งแรกที่ชั้นได้กลิ่นความตายที่ชัดแบบนี้ เพราะปกติกลิ่นความตายแบบนี้มันจะเป็นกลิ่นอ่อนๆ ที่มาจากพนักงานในโรงงานฆ่าสัตว์ที่ดูจากชุดก็พอจะเดาได้ แต่นี่มันคือกลิ่นของความตายที่ติดตัวผู้หญิงสวยท่าทางดีคนนี้ ซึ่งการแต่งตัวท่าทางตรงข้ามกับคนที่จะไปฆ่าใครหรือตัวอะไร ชั้นเดินกลับมานั่งที่เดิมและพยายามไม่คิดอะไรจึงเปิดโทรศัพท์มือถือไถดูเฟสบุ๊คไปเรื่อยๆ จนมาเจอเพจข่าวที่รายงานถึงผู้หญิงคนนึงที่เหมือนในรูป เธอคือคนขับรถชนท้ายรถสองแถวจนมีผู้เสียชีวิตเกือบสิบศพ ส่วนตัวผู้หญิงคนนั้นได้ทิ้งรถและหนีไป ซึ่งชั้นเดาว่าต้องเป็นผู้หญิงคนนั้นแน่ๆ “ยามะคุงนายโทรแจ้งตำรวจให้ทีเดี๋ยวชั้นจะตามผู้หญิงคนนั้นไป นายตาม GPS มาเลยนะ” ชั้นโทรบอกยามะคุงและรีบกดกริ่งเพื่อลงในป้ายเดียวกับผู้หญิงคนนั้น
ผู้หญิงสวยท่าทางดีคนนี้เดินอย่างรีบร้อน เธอก้าวเท้าอย่างเร็วแม้จะใส่รองเท้าส้นสูง ขณะที่ชั้นที่ไม่ต้องแอบเดินตามไปไกลก็พอจะจับกลิ่นของเธอได้ว่าไปทางไหน เพราะตอนนี้กลิ่นของเธอมันลอยจนเหมือนควันจางๆ ที่ลอยนำทางชั้น จนหญิงสาวมาหยุดที่ตึกร้างแห่งหนึ่งที่สร้างไม่เสร็จในซอยเปลี่ยว จนชั้นรู้สึกแปลกใจว่าเธอคนนี้มาทำอะไรที่นี่ ชั้นที่แอบตามมาก็พยายามย่องตามไปจนเข้ามาในตึกชั้นสองที่ ที่นั่นชั้นเห็นหญิงสาวคนนั้นกำลังคุยตกลงกับใครบางคนก่อนจะส่งกระเป๋าให้ หญิงสาวคนนั้นเปิดดูและยิ้มด้วยความพอใจก่อนจะเดินแยกออกมา “ดันไปเห็นอะไรที่ไม่ควรเห็นเข้าให้แล้วซิ” ชั้นบ่นกับตัวเองระหว่างที่หนีออกมาจากตรงนั้น ขณะที่ยามะคุงก็โทรกลับมา “ฮาโหลมิสะเธอปลอดภัยไม๊ ชั้นโทรหาเธอตั้งหลายรอบ สัญญาณ GPS เธอหายไปตอนนี้กลับมาแล้วเป็นไงบ้าง” ยามะคุงถามชั้นด้วยน้ำเสียงร้อนรน ขณะที่ชั้นรู้สึกได้ถึงไออุ่นที่ต้นคอพร้อมกลิ่นทความตายที่รุนแรงระหว่างคุยโทรศัพท์ในซอย
“เธอซินะเสียงของความรู้สึกหวาดกลัวที่ชั้นได้ยินมาตั้งแต่เมื่อกี้” หญิงสาวยิ้มให้ชั้นระหว่างที่ชั้นตกใจทำมือถือตกลงบนพื้น “ยามะคุงซินะ เดี๋ยวมิสะจังจะโทรกลับ” หญิงสาวคนนั้นพูดจบก็วางสายไป “นี่เป็นครั้งแรกที่ชั้นเจอคนที่มีอะไรเหมือนกันแบบนี้ ของเธอน่าจะเป็นการดมกลิ่นความรู้สึกใช่ไม๊ แต่ของชั้นคือการฟังเสียงความรู้สึก” หญิงสาวเดินมาหาชั้น “เสียงความรู้สึกของเธอตอนนี้คือความหวาดกลัว ไม่ต้องห่วงสาวน้อยชั้นไม่ฆ่าเธอหรอก” หญิงสาวหัวเราะออกมา “ตรงข้ามชั้นจะบอกเธอด้วยความอาชีพของชั้นคือการฆ่าคน พอดีเด็กผู้ชายที่ชั้นต้องฆ่าเขาคือลูกฝั่งเมียน้อยเจ้าของบริษัทใหญ่ ที่ถ้าเจ้าของบริษัทตายลูกชายคนนี้ที่ยังไม่รู้ว่าพ่อเป็นใครก็จะได้มรดกไป ชั้นเลยรับเงินจากเมียหลวงให้มาจัดการ” เมื่อหญิงสาวคนนั้นเข้าใกล้กลิ่นความตายก็ยิ่งรุนแรงจนชั้นเห็นหมอกอยู่รอบตัวเธอ “คุณคือนักฆ่า” ชั้นปิดจมูกเมื่อพูดจบ “เสียมารยาทจริงๆ ชั้นใช้น้ำหอมราคาแพงเลยนะ” หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “และใช่มันคืออาชีพชั้น เอาละชั้นบอกเธอแล้วเธอจะไปแจ้งตำรวจหรืออะไรก็ได้ แต่ชั้นไม่รับประกันความปลอดภัยของเธอกับยามะคุงนะสาวน้อย ไปคิดดูดีๆ ” หญิงสาวพูดจบก็เดินจากไป “อ้อ ก่อนจะไปชั้นจะบอกเธอให้รู้อย่างนึงนะ ยามะคุงที่ชั้นได้ยินเสียงเมื่อกี้ เขามีใจให้เธอมากๆ ชั้นจับอารมณ์ได้ชัดเจน ผู้ชายดีๆ หายากนะรู้ไม๊” หญิงสาวคนนั้นยิ้มให้ชั้นก่อนจะเดินจากไปท่ามกลางความมืด ที่ตอนนี้กลิ่นที่ชั้นเก็นจากตัวของเธอซึ่งตอนแรกเป็นหมอกจางๆ แต่ตอนนี้มันได้รวมเป็นรูปร่างของคนทั้งชายหญิง ที่มีมากกว่ายี่สิบคนที่เดินตามเธอเหมือนกลิ่น....จบ