หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line หาเพื่อน Skype Page อัลบั้ม คำคม Glitter เกมถอดรหัสภาพ คำนวณ การเงิน
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
เว็บบอร์ด บอร์ดต่างๆค้นหาตั้งกระทู้

เรื่องสั้นกรุงเทพเมืองซอมบี้ ตอนที่ 17 ที่นี่ที่ไหน (ตอนจบ)

เนื้อหาโดย yongyee

ตอนที่ 17 เจาะเวลาหาซอมบี้

ปีคศ 1995 หรือ พศ 2538 อดีต(ปัจจุบัน)ก่อนเกิดเหตุซอมบี้ครองโลก20ปี

 

       ต้นเด็กชายวัย15วิ่งออกมาจากโรงเรียนในชุดพละ เขาสวมรองเท้าสะเก็ต(รองเท้าผ้าใบที่มีล้อใหญ่ๆ4ด้านเหมือนรถยนต์และเป็นตุ่มยางอยู่ด้านหน้าเอาไว้เบรก) วิ่งออกมาจากอาคารเรียนอย่างความเร็ว ที่หูของเขามีซาวด์อะเบาท์(เครื่องเล่นเทปแบบพกพา) เพลงที่เขากำลังฟังคือเพลงของนักร้องวัยรุ่นชื่อดัง บอยสเก๊าท์

 

       ที่อาคารเรียนกลุ่มเด็กนักเรียนหญิงกำลังเล่นกระโดดหนังยางกันอย่างสนุกสนาน นักเรียนชายหญิงหลายคนเปลี่ยนรองเท้านักเรียนของตนมาสวมรองเท้ายี่ห้อ scholl ร้องเท้าเตะยี่ห้อดังในยุคนั้น ขณะที่นักเรียนหญิงคนอื่นๆก็เล่นตบแปะนางเงือกน้อยขณะที่นักเรียนชายก็กำลังเล่นดีดลูกแก้วหรือไม่ก็เตะบอลเล่นบาสในสนาม

 

            "เฮ้ย...ต้นพรุ่งอย่าลืมไปซื้อBOOMมาอ่านนะเว้ย ดราก้อนบอลกำลังสนุกเลย" เด็กชายที่สนามบาสตะโกนบอกต้นเมื่อเห็นเขาวิ่งผ่านมา

 

        "ได้เลย พรุ่งนี้จะรีบไปจองหน้าร้านแต่เช้า ใครจะพลาดตอนมันๆแบบนั้นได้!!! ต้นตะโกนบอกก่อนจะออกนอกโรงเรียน

 

      บนถนนในกรุงเทพในยุคนั้นเต็มไปด้วยรถรามากมายไม่ต่างกับสมัยนี้ ต้นรีบกระโดดขึ้นบนรถเมล์อย่างรวดเร็วเมื่อเห็นรถสายที่ตนเองจะไปมาจอดที่ป้าย เด็กชายจ่ายเงินค่าโดยสาร3.50เพื่อเป็นค่ารถ

 

      เขาเปลี่ยนรองเท้าสเก๊ตเป็นรองเท้าเตะschollสีฟ้า และเปลี่ยนเทปเพลงมาฟังเพลงร๊อคของวงหินเหล็กไฟ ก่อนจะรีบลงจากรถเมื่อเดินทางมาถึงป้ายที่ตนเองต้องการหลังจากนั้นราวๆ15นาที

 

     เขาเดินกึ่งวิ่งจากรถเมล์มาที่บ้านเก่าๆหลังหนึ่งในซอยเล็กๆ ที่หน้าบ้านมีหมาหุ่นยนต์ที่เหมือนหุ่นกระป๋องที่ทำจากเศษเหล็กตัวหนึ่งเห่าเสียงดังเมื่อเห็นต้นเดินเข้ามาในรัศมี

 

     "เงียบไปเลยเจ้าด่างนี่ฉันเอง!!!" ต้นตะโกนใส่เจ้าหมาเศษเหล็กจนมันเงียบเสียงเมื่อรู้ว่าคนๆนั้นคือใคร

 

     "ต้น!!! มาแล้วรึ!!!" เสียงตะโกนด้วยความดีใจของชายแก่คนหนึ่งดังขึ้นมาจากในบ้านเก่าๆโทรโทรมๆ พร้อมกับรอยยิ้มที่เปื้อนบนใบหน้าเหี่ยวชราผมหงอกขาวฟูไม่เป็นระเบียบของชายแก่ในชุดกราวแบบนักวิทยาศาสตร์

 

    "แม่บอกผมเมื่อเช้าว่าปู่อยากเจอ" ต้นพูดกับชายแก่ด้วยท่าทางไม่ค่อยพอใจ ระหว่างเดินเข้ามาในบ้านที่เต็มไปด้วยสิ่งประดิษฐ์มากมาย ที่ดูเหมือนไร้ประโยชน์ที่ปู่ของเขาเป็นคนสร้างมันขึ้นมา ปู่ของต้นเป็นนักประดิษฐ์แต่ไม่เคยสร้างผลงานเป็นชิ้นเป็นอันได้เลยซักครั้งแต่ต้นจำความได้

 

    "ใช่ๆ ปู่โทรไปบอกแม่แกเองล่ะว่าเย็นนี้ให้แกแวะมาหาปู่ เพราะปู่มีอะไรจะให้แกดู!!!" ชายแก่วัยเกือบ70ปีโอบไหล่หลานชายให้เดินออกมาจากบ้าน ผ่านมาทางข้างบ้านเพื่อไปยังโรงเก็บของเก่าที่อยู่หลังบ้านของปู่

 

    "หวังว่าคงไม่ใช่โทรศัพท์ที่เล่นอินเตอร์เน็ตได้นะครับ คราวที่แล้วมันระเบิดใส่ผมจนเกือบผมไหม้ไปทั้งหัวไปทีหนึ่งแล้ว" ต้นพูดด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยชอบใจกับสิ่งที่ปู่ของตนทำ เพราะตั้งแต่เด็กปู่ของต้นมักจะประดิษฐ์สิ่งของที่เป็นอันตรายกับครอบครัวมาให้ทดลองเสมอ และครั้งนี้ก็คงเหมือนทุกครั้งที่ต้นถูกโทรตามมา เพื่อให้ทดลองสิ่งประดิษฐ์ของปู่

 

    "เรื่องโทรศัพท์เล่นอินเตอร์เน็ตได้มันเป็นเรื่องกระจิดลิดไปเลยถ้าเทียบกับสิ่งที่ปู่จะให้แกได้ดู" ชายแก่จูงหลานชายมาที่หลังบ้านด้วยท่าทางยิ้มแย้มเหมือนทุกๆครั้งที่เขาสร้างสิ่งของใหม่ๆได้

 

    "หวังว่าคราวนี้มันคงจะไม่ระเบิดหรอกนะครับ" ต้นถูกปิดตาก่อนจะถูกพาเดินมาที่หลังบ้าน

 

    "ไม่แน่นอน คราวนี้ปู่รัปประกันเลยว่ามันต้องไม่ระเบิด เพราะปู่คำนวนมาดีเรียบร้อยแล้ว" ชายแก่พูดยิ้มๆด้วยท่าทางร่าเริง

 

      "คราวที่แล้วก็พูดแบบนี้" เด็กชายบ่นดังๆก่อนจะเดินมาถึงหลังบ้านทั้งที่ถูกปิดตา

 

      "แต่แต๊!!! นี่คือสิ่งประดิษฐ์ชิ้นล่าสุดของปู่!!!" ชายแก่เปิดตาต้นพร้อมกับตะโกนเสียงดังด้วยความภูมิใจเมื่อได้โชว์สิ่งประดิษฐ์ของตน "ปู่ขอเรียกมันว่า เครื่องเดินทางข้ามเวลา!!!T800" ชายแก่เดินมาลูบรถTOYOTA AE86รถรุ่นใหม่ที่ถูกเปลี่ยนรูปร่างไปจากเดิมจนแทบไม่เหลือเค้าโครงเดิมของรถอยู่เลย

 

     "นี่ปู่บ้าไปแล้วหรอเนี้ย!!! นี่มันรถรุ่นใหม่ล่าสุดจากญี่ปุ่น แต่ปู่เอามาปูยี้ปูยำจนกลายเป็นรถกระป๋องอะไรก็ไม่รู้!!!" เด็กชายบ่นดังๆด้วยความโมโห "ผมว่าพ่อกับแม่รู้คงกรี๊ดแตกแน่ๆที่ปู่แอบซื้อรถมาทำแบบนี้" เด็กชายมองมาทางปู่ด้วยท่าทางไม่พอใจ

 

    "อย่ามามองแบบนั้น ปู่ไม่ได้ขโมยเงินแม่แกมาแบบคราวที่แล้วหรอกนะ คราวนี้ปู่ขายสิทธิบัตรโทรศัพท์พกพาเคลื่อนที่ที่สามารถเล่นอินเตอร์เน็ตไร้สายดูหนังฟังเพลงได้ในเครื่องเดียวไปต่างหาก" ชายแก่พูดอย่างภูมิใจเมื่อสามารถทำเงินกับสิ่งที่ตนคิดได้เป็นครั้งแรก

 

    "ไอ้ไอเดียประหลาดล้ำโลกที่ไม่มีทางเป็นจริงแบบนั้นมันขายได้ด้วยหรอเนี้ย!!! ทั้งที่มันเกือบระเบิดผมตายไปแล้วนั่นนะ!!!" ต้นแทบไม่เชื่อในสิ่งที่ปู่ของเขาพูด

 

    "เรื่องนั้นช่างมันก่อน ประเด็นคือเจ้าสิ่งนี้ต่างหาก มันคือผลชิ้นโบว์แดงของปู่เอง มันคือเครื่องเดินทางข้ามเวลาที่ปู่คิดค้นขึ้นมาเมื่อหลายปีก่อน แต่กว่าจะสำเร็จเป็นรูปเป็นร่างได้ก็ตอนนี้นี่เอง" ชายแก่พูดยิ้มๆด้วยความภูมิใจเมื่อได้โชว์สิ่งประดิษฐ์แก่หลานชาย

 

    "นี่มันเลียนแบบหนังเรื่องเจาะเวลาหาอดีตชัดๆ ปู่อย่ามาโม้ผมดีกว่า" ต้นบ่นๆดังๆด้วยความไม่พอใจ เขาเดินดูรถคันสวยที่กลายเป็นรถหน้าตาแปลกๆด้วยความไม่แน่ใจ "ปู่ทดลองขับมันดูรึยังว่าวิ่งได้รึเปล่า" ชายหนุ่มหันมาถามปู่

 

    "โธ่ๆๆ นึกว่าแกจะพูดว่ามันย้อนเวลาได้จริงรึเปล่า ดันถามว่ามันวิ่งได้รึเปล่า ผิดหวังสุดๆเลยขอบอก" ชายแก่พูดเสียงเบาๆด้วยความน้อยใจ "ปู่รึคำนวนแล้วคำนวนอีกกว่าจะได้รถคันนี้ออกมา แต่แทนที่แกจะให้กำลังใจกลับมาพูดแบบนี้"

 

    "อ่ะ อ่ะ ขอโทษแล้วกันครับคุณปู่สุดที่รัก เอาเป็นว่าผมเชื่อแล้วกันว่าปู่ทำเครื่องเดินทางข้ามเวลาได้จริง" ต้นแกล้งเชื่อเพื่อให้กำลังใจชายแก่แม้จะรู้ว่ามันไม่มีทางเป็นจริงอย่างแน่นอน

 

    "พูดแบบนี้มาปลอบใจคนแก่มันไม่ช่วยอะไรหรอก" ชายแก่คิ้วขมวดพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ "ถ้าไม่มีหลักฐานแกคงจะไม่เชื่อปู่ใช่ไหม" ชายแก่หันมาพูดกับต้นที่กำลังยืนเกาหัวด้วยท่าทางเซ็งๆ

 

    "ก็เชื่อนี่แล้วไงครับ ปู่จะเอาอะไรอีก" ต้นพูดไม่ทันจบชายแก่ก็โยนบางสิ่งบางอย่างให้กับต้น

 

    "!!!???" สิ่งที่อยู่ในมือของชายหนุ่มมันคือวัตถุทรงสี่เหลี่ยมฝืนผ้าทำจากวัสดุกึ่งเหล็กกึ่งพลาสติดสีดำ ด้านหน้าเป็นกระจกราบเรียบมีปุ่มทรงวงกลมอยู่ด้านล่างกระจกสีดำและด้านหลังมีสัญญาลักษณ์รูปแอปเปิ้ลถูกกัด

 

    "เจ้านี่มันเรียกว่าไอโฟน6S แกลองกดปุ่มดู" ชายแก่พูดยิ้มๆเมื่อบอกให้ต้นกดปุ่มให้หน้าจอทำงาน

 

    เมื่อต้นกดปุ่มวงกลมด้านล่างของจอ เขาก็พบหลายสิ่งหลายอย่างในนั้น ทั้งวิทยุ GPSดาวเทียม กล้องถ่ายรูป เครื่องเล่นเพลง วีดีโอหนังที่เขาไม่เคยดู ทั้งหมดอยู่ในเครื่องเล่นสิ่งเดียวในมือของต้น

 

    "สุดยอดเลยครับปู่ มันคือเครื่องอะไรครับ!!!" ต้นตาถลึงโตถามชายแก่ด้วยความตื่นเต้นเมื่อไม่เคยเห็นสิ่งของอันน่าแปลกประหลาดแบบนี้มาก่อน

 

     "มันคือโทรศัพท์" ชายแก่พูดยิ้มๆ

 

    "โทรศัพท์อะไรปุ่มก็ไม่มี" ต้นสงสัยกับสิ่งนี้เป็นอย่างมาก

 

    "ดูนี่เสียก่อน" ชายแก่กดกล้องถ่ายรูปถ่ายหน้าหลานชายตนเองแล้วให้เขาดูในจอ

 

    "ปู่ทำได้ไง!!!??? ไม่ต้องใช้ฟิลม์ก็ถ่ายรูปได้แถมยังเห็นรูปเลยเหมือนกล้องโพราลอยเลย!!! เป็นไปได้ไง!!!" ชายแกอึ้งทึ้งงงเป็นอย่างมาก

 

    "มันทำอะไรได้ตั้งหลายอย่าง มีทั้งเกมให้เล่น มีหนังให้เราดูในนี้ มีอินเตอร์เน็ตไร้สายให้เราติดต่อใครก็ได้ถึงเขาจะอยู่อีกซีกโลกก็ตาม แถมที่สำคัญที่สุดคือมันโทรได้ด้วย" ชายแก่พยายามกดโทรออกแต่ไม่สามารถทำได้ "อ้อ!!!ลืมไปว่าในยุคนี้โทรศัพท์เครื่องนี้ยังไม่ถูกสร้างมันเลยใช้งานไม่ได้ ต้องอีก18ปีต่อจากนี้ถึงจะใช้ได้" ชายแก่พูดไปยิ้มไป สายตาของเขามองไปทางหลานชายที่กำลังตกตะลึงกับสิ่งที่เห็น

 

    "ปู่สร้างสร้างมันขึ้นมาเองหรอครับ!!!" ชายแก่ส่ายหน้าเมื่อต้นถาม

 

    "จะว่าสร้างเองก็ไม่ถูก ต้องพูดว่าปู่ขายแบบแปลงความคิดให้คนที่สร้างไปถึงจะถูก" ชายแก่พูดอ้อมๆกับต้น

 

    ต้นมองตาชายแก่ แววตาของเขาบ่งบอกถึงสิ่งที่คิดอยู่ในใจที่เขาไม่อาจจะเชื่อได้ "งั้นก็แปลว่าปู่ไปอนาคตมาจริงๆหรอ!!!" ต้นจับไหล่ปู่เขย่าด้วยความตื่นเต้น

 

    "กะก็ใช่น่ะซิ หรือจะดูเงินที่ไปแลกมา ปู่เอาทองที่มีไปขายในยุคนั้นมา ทองแค่2บาทปู่ขายได้เงินเกือบ50000" ชายแก่โชว์เงินที่เป็นยุคปัจจุบัน(อนาคต)ให้หลานชายดู

 

    "งั้นสิทธิบัตรโทรศัพท์พกพาที่ปู่ขายไป เพื่อเอาเงินมาซื้อรถปู่ก็เอาต้นแบบมาจากเจ้านี่ใช่ไหม" ต้นมองมาทางชายแก่อย่างรู้ทันนิสัยของเขา "ทำแบบนี้มันไม่ส่งผลถึงห้วงเวลาแบบในหนังหรอ ปู่ไปเปลี่ยนแปลงอนาคตแบบนั้น" ต้นพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ

 

    "จะว่าแบบนั้นมันก็ถูกแค่ครึ่งเดียว ปู่ก็แค่ซื้อเจ้าโทรศัพท์นี่มาแล้วก็แกะดูเครื่องในมันก่อนจะเขียนแบบแปลงคราวๆแล้วเอาไปเสนอขายกับคนที่ยอมซื้อ ปู่ไม่ได้เอาเจ้าโทรศัพท์นี่ให้เขาดู และอีกอย่างปู่ไม่ได้ย้อนไปอดีตแต่ปู่ย้อนไปอนาคตที่ยังมาไม่ถึง ซึ่งนั่นก็เท่ากับว่าสิ่งเหล่านั้นยังไม่เกิดขึ้น ก็เท่ากับว่าปู่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรเพราะอนาคตเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ตรงข้ามถ้าเราย้อยไปอดีตแล้วไปเปลี่ยนแปลงบางสิ่งเข้า มันอาจจะไปกระทบถึงห้วงเวลาซึ่งอาจจะทำให้มิติเวลาเปลี่ยนแปลงจนเกิดหลายสิ่งที่เราคาดไม่ถึงได้" ชายแก่อธิบายถึงกฏการย้อยเวลาให้หลานชายตนฟัง

 

    "ฟังแล้วงงจัง" ต้นเกาหัวด้วยความสงสัย

 

    "สรุปง่ายๆคือ เราจะไม่ย้อนไปอดีตเพราะมันอันตรายที่เราอาจจะเผลอไปเปลี่ยนอะไรเข้าโดยไม่รู้ตัว ตรงข้ามเราสามารถไปอนาคตได้เพราะมันยังไม่เกิดขึ้นเข้าใจรึยัง" ชายแก่ตบหัวหลานชายเบาๆเพื่อสั่งสอนเขา

 

    "สรุปง่ายๆแบบนี้ก็รู้เรื่องแล้ว" ต้นบ่นดังๆด้วยความไม่พอใจ ก่อนจะหันมาสนใจรถที่เป็นเครื่องเดินทางข้ามเวลา "ปู่ครับผมขอไปอนาคตบ้างได้ไหม ผมอยากไปดูว่าตัวเองในอนาคตจะเป็นอย่างไร" ต้นพูดยิ้มๆกับชายแก่

 

   "มันยังเร็วไปที่เด็กอย่างแกจะขับรถและล่วงรู้อนาคต เอาไว้โตกว่านี้แล้วปู่จะสอนวิธีใช้มันแล้วกัน" ชายแก่พูดยิ้มๆก่อนจะเอาผ้ามาคลุมรถเก็บไว้ตามเดิม

 

   "ปู่ก็ เห็นแบบนี้ผมก็ขับรถเป็นแล้วนะจะบอกให้" ต้นช่วยปู่คลุมรถพร้อมกับอ้อนวอนทางสายตาให้ปู่ใจอ่อนยอมให้ตนใช้เครื่องเดินทางข้ามเวลา

 

   "งั้นปู่พาผมไปก็ได้ ผมสัญญาว่าจะไม่ทำให้ปู่เดือดร้อนแบบคราวก่อนๆ" เด็กชายต่อรอง สายตาของเขาอ้อนวอนส่งกระแสความเห็นใจให้ช่ายแก่ แต่ดูเหมือนมันจะไม่ได้ช่วยอะไรเลยแม้แต่น้อย

 

   "ไม่ได้แกยังเด็กไป อีกอย่างห้ามไปบอกเรื่องนี้กับใครอย่างเด็ดขาด เพราะถ้ามันตกไปอยู่ในมือของคนเลวมันจะยุ่ง" ชายแก่พูดด้วยสีหน้าจริงจังกับหลานชาย ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นยิ้มแย้ม "อยากพูดแบบนี้มาตั้งนานแล้ว" ชายแก่พูดเสร็จก็เดินจากไปทิ้งหลานชายยืนมองเครื่องเดินทางข้ามเวลาโดยไม่พูดอะไร

 

     "ถึงไม่พูดก็ไม่บอกใครอยู่แล้ว ใครจะไปเชื่อเรื่องนี้กัน" ต้นพูดด้วยน้ำเสียงเซ็งๆเมื่อตนเองถูกห้าม

 

     เขาเดินออกมาจากบ้านของชายแก่เมื่อไม่ได้ตามที่หวัง

 

     "ระวัง!!!!" ไม่ทันที่ต้นจะเดินพ้นประตูรั้วของบ้าน เขาก็ได้ยินเสียงร้องตะโกนโวยวายด้วยความตกใจของหญิงสาว ก่อนที่เขาจะรู้ตัวและถูกจักรยานBMXคันใหม่ชนเข้าอย่างจัง

 

     ทั้งต้นและหญิงสาวที่ขี่จักรยานต่างล้มลงไปกองบนพื้นด้วยด้วยความเจ็บปวด เขาลุกขึ้นยืนพร้อมกับเด็กหญิงที่พยายามยกจักยานคันเก่งของตนให้ตั้งตรงด้วยขาตั้ง และตรวจดูสภาพรถจักยานด้วยความเป็นห่วงแทนที่จะสนใจต้นที่เธอเป็นคนขี่รถไปชนเขา

 

     "นี่แม่คุณ ขอโทษเป็นบ้างไหมขี่รถมาชนคนเขาล้มแบบนี้!!!" ต้นพูดเสียดุใส่เด็กหญิงรุ่นราวคราวเดียวกับตน หญิงสาวผมสั้นหยิกผิวคล้ำสวมแว่นและมีไฝที่ริ้มฝีปากซ้าย เธอหันมามองทางต้นก่อนจะหันมาดูรถต่อ

 

     "ขอโทษ พอดีเพิ่งหัดขี่เลยทรงตัวไม่ดี" เด็กหญิงพูดโดยไม่มองมาทางเด็กชายแม้แต่น้อย

 

     "พ่อแม่ใครสั่งใครสอนให้พูดขอโทษคนอื่นแล้วไม่มองหน้ากัน!!" ต้นพูดเสียงดุด้วยความโมโห

 

    "ก็ขอโทษแล้วไงจะเอาอะไรอีก!!!" เด็กหญิงตะโกนกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ดังพอๆกัน จนปู่ของต้นได้ยินจึงออกมาดู

 

     "มีอะไรกันเสียงดังโวยวาย" ชายแก่เดินเกาหัวออกมาจากบ้าน

 

     "ก็เด็กคนนี้เค้าชนผม/หนู ทั้งที่หนูก็ขอโทษแล้ว/เด็กคนนี้มาชนผมก่อน" ทั้งคู่พูดพร้อมกันเพื่อฟ้องชายแก่

 

     "พอเลยทั้งคู่ฟังไม่รู้เรื่องเลย ทั้งแกทั้งหนูหยก เอาน่ายอมๆกันไปจะได้จบเรื่อง" ชายแก่บอกกับเด็กทั้งสองคน

 

     "เห็นแก่คุณตานะไม่งั้นหนูไม่ยอมจริงๆด้วย" เด็กหญิงพูดจบเธอก็ขึ้นคร่อมรถจักยานและขี่ส่ายไปมาจากไป แต่เธอก็ไม่ลืมที่จะหันมาแลบลิ้นใส่ต้นด้วยความไม่ชอบขี้หน้า

 

     "ชิ ยัยขี้ริ้ว หน้าตาแบบเธอชาตินี้คงไม่มีใครเอา!!!" ต้นบ่นดังๆใส่เด็กหญิงที่ขี่จักยานจากไป

 

     "แกก็ด้วยเลิกนิสัยขี้บ่นเป็นคนแก่ได้แล้ว" ชายแก่ดุหลานชายตน "เอานี่ไปเฝ้าบ้านให้ปู่ซักเดี๋ยว พอดีมีธุระแถวห้างเมอรี่คิง เดี๋ยวขากลับจะซื้อขนมมาให้เป็นค่าเฝ้าบ้าน" ชายแก่ส่งกุญแจบ้านให้ต้นเมื่อพูดจบ ก่อนจะเดินจากไปทิ้งหลานชายเอาไว้คนเดียวที่หน้าประตูรั้ว

 

    "แบบนี้ก็เสร็จโก๋น่ะซี๊!!!" เด็กชายตะโกนดังลั่นบ้านด้วยความดีใจ เขาเปิดเทปเพลงหินเหล็กไฟที่เป็นเพลงร๊อคในยุคนั้นสนั่นลั่นบ้านจนเจ้าหมาหุ่นยนต์เฝ้าบ้านถึงกับเครื่องรวน เมื่อเจอเพลงร๊อคเสียงดังสั่นจงจรไฟฟ้า

 

     "วู๊!!!! สะจายยยยย!!!" ต้นกระโดดโลดเต้มด้วยความสะใจเพลงแล้วเพลงเล่าจนข้างบ้านตะโกนพร้อมกับเขวี้ยงขวดรองเท้ามาใส่หลังคาด้วยความโมโห

 

     "เสียงดังจังโว๊ยยยย!!! ฟังหวยไม่รู้เรื่องเลย!!!" สิ่งที่หญิงแก่ข้างบ้านตะโกนออกมาทำให้ต้นหยุดเหมือนเขาจะคิดอะไรบางอย่างออก

 

     "วันนี้หวยออกอย่างงั้นหรอ....เดี๋ยวก่อนนะ" ต้นคิดในใจแต่พูดออกมาดังๆออกมาจากปากโดยไม่รู้ตัว "ถ้าเรานั่งเครื่องข้ามเวลาไปอนาคตแล้วไปซื้อหนังสือรวมหวยมาอ่าน แบบที่มาร์ตี้ในหนังเรื่อง back to the future ทำไม่แน่เราอาจจะรวยก็เป็นได้ แถมเรายังไม่ได้ไปเปลี่ยนแปลงอะไรเลยอีกต่างหาก เพราะอนาคตยังไม่เกิดขึ้นอย่างที่ปู่ว่ามา" ต้นคิดแบบเดียวกับในหนังดังเรื่อง back to the future เจาะเวลาหาอดีต ที่พระเอกไปซื้อหนังสือรวมกีฬาตลอด100ปีมาจากอนาคต แต่ถูกตัวโกงขโมยไปและเอาไปเล่นพนันกีฬาจนรวยเปลี่ยนแปลงปัจจุบันจนหมด ต้นจึงคิดจะทำแบบเดียวกัน

 

     ต้นรีบวิ่งไปที่โรงจอดรถเขาเปิดผ้าคลุมรถออก เขาเปิดประตูโยนรองเท้าสเก็ตเข้าไป และนั่งลงในรถฝั่งคนขับด้วยความดีใจกับสิ่งที่กำลังจะทำในอีกไม่กี่นาทีต่อจากนี้

 

       "เอ๋....??" ซึ่งเมื่อเข้ามานั่งในรถต้นก็ต้องงุนงงกับสิ่งที่เห็นบนแผงหน้าจอคอนโซนรถ ที่เต็มไปด้วยปุ่มต่างๆมากมายที่ตนเองไม่รู้ว่าปุ่มไหนถูกใช้ทำอะไรบ้าง

 

      "ถ้าจำไม่ผิดปู่มักจะทำคู่มือเอาไว้เสมอนี่นา!!!" ต้นนึกออกถึงนิสัยของปู่ตนที่มักจะจดบันทึกทำคู่มือเกี่ยวกับการใช้สิ่งประดิษฐ์ของตนเอาไว้ทุกชิ้นพอสร้างเสร็จ เมื่อคิดได้แบบนั้นต้นก็รีบไปหาหนังสือคู่มือเล่มนั้นมาทันที่โต๊ะทำงานของปู่ตน

 

      "เจอแล้ว!!" ต้นรีบอ่านคู่มือถึงปุ่มที่อยู่บนหน้าจอว่าใช้ทำอะไรบ้าง "ปุ่มนี้เป็นปุ่มเปิดปิดเครื่องยนต์รถ" พอต้นกดปุ่มรถก็สต๊ากเสียงดังขึ้นมาทันทีพร้อมกับแผงไฟที่บ่งบอกสถานะพร้อมทำงานที่หน้าจอ "ต่อไปก็กดปุ่มตั้งเวลา ห้ามย้อนไปเวลาที่ไกลเกินไปเพราะพลังงานอาจจะไม่เพียงพอต่อการเดินทาง และหลงอยู่ในห้วงเวลาจนไม่สามารถเดินทองออกมาได้" ต้นอ่านคู่มืออย่างละเอียด "ตอนนี้ปี2538ก็เท่ากับปี1995ถ้าไปอนาคตซัก20ปีตอนนั้นเราก็น่าจะอายุราวๆ34-35แล้วแน่ๆ แค่20ปีคงไม่ไกลเกินมั้ง" ต้นพูดกับตัวเองดังๆ

 

     "สวัสดีค่ะด๊อกเตอร์สุดหล่อ วันนี้คุณจะเดินทางไปที่ไหนคะ" เสียงหญิงสาวดังขึ้นมาที่ลำโพงรถสร้างความตกใจให้ต้นเป็นอย่างมาก

 

     "เอ่อ ผมไม่ใช่เอ่อ" ต้นรีบอ่านคู่มือเมื่อได้ยินเสียงรถพูดกับตน "เธอชื่อสิริเป็นโปรแกรมที่คอยเตือนเรื่องพลังงานกับเรื่องเวลาที่เราจะไป อ๋อ แบบนี้นี่เอง ไม่ต้องสนใจเสียงกดปุ่มตั้งเวลาเลย" ต้นอ่านในคู่มือก่อนจะกดตั้งเวลาตามที่คู่มือบอก

 

      "วันที่3กันยายนปี2015 เวลาปรมาณ4โมงเย็นแล้วกัน" ต้นกดปุ่มตั้งเวลา "อืม....แล้วก็ต้องตั้งพิกัดบนจอสัมผัสตรงนี้" ต้นกดไปที่หน้าจอสัมผัสที่เป็นGPSบอกพิกัดที่จะไปในอนาคต ที่บอกเส้นทางถนนเป็นภาษาไทยแบบเดียวกับGPSในโทรศัพท์มือถือสมัยนี้(ปัจจุบัน)

 

       "GPSจะบอกตำแหน่งที่คุณต้องการจะไปในอนาคต กรุณาเลือกสถานที่ค่ะ" เสียงหญิงสาวบอกต้น

 

      "งั้นเอาเป็นที่บ้านปู่นี่ล่ะ 20ปีข้างหน้าหวังว่าบ้านคงยังอยู่" ต้นกดเลื่อนดูเส้นทางบนหน้าจอที่เป็นเส้นๆแบ่งสีบอกสถานที่ในอนาคตก่อนจจะเจอบ้านขอปู่ตนและปักหมุดตำแหน่งเอาไว้(ภาพประกอบการทำความเข้าใจ)

 

 "พร้อมแล้วกรุณาคาดเข็มขัดเพื่อความปลอดภัย" เสียงหญิงสาวบอกตนให้รัดเข็มขัดนิรภัย

 

  "เมื่อพร้อมให้เหยียบคันเร่งรถจะพุ่งออกไปสู่อนาคตทันที ขอให้สนุกกับการเดินทาง" ต้นพูดจบเขาก็เหยียบคันเร่งทันทีตามที่คู่มือบอก

 

        เสียงเครื่องยนต์ดังขึ้นมาอย่างบ้าระห่ำพร้อมกับรถที่สั่นเหมือนมีคนมาเขย่ารถจนต้นเอนไปมา ขณะที่ด้านหน้ารถเริ่มมืดสนิททั้งที่ยังเป็นเพียงช่วงบ่ายและอยู่ในโรงรถ แต่รอบตัวของต้นกลับมืดสนิทเหมือนอยู่ในอุโมงค์ที่ไม่มีทางออก

 

         พวงมาลัยของรถส่ายไปมาจนต้นต้องจับมันเอาไว้และขืนมันให้อยู่นิ่งๆ ระหว่างที่เลขหน้าจอที่บอกเวลาเป็นสีแดงก็วิ่งไปมาอย่างรวดเร็วไปพร้อมกับรถที่เขย่าอย่างรุนแรง ใจของชายหนุ่มเริ่มหวั่นไหวและหวาดกลัว เขาขมวดคิ้วสายตาสอดส่ายมองรอบๆหน้าปัดที่วิ่งไปมาอย่างบ้าคลั่ง เขาคิดที่จะเปิดประตูเพื่อออกไปจากรถเพื่อยุติทุกอย่างที่กำลังเกิดขึ้น

 

        "อันตรายกรุณาอย่าออกนอกรถเมื่อทำการข้ามเวลา" เสียงสิริดังขึ้นเมื่อต้นจะเอามือจับที่เปิดประตูรถ แต่รถก็ล๊อคตัวเองจนต้นเปิดประตูออกไปไม่ได้ "ประตูถูกล๊อคเพื่อความปลอดภัย และจะเปิดต่อเมื่อถึงที่หมายเท่านั้น"

 

       "ฉันจะออกไปจากที่นี่ ปู่บ้า...!!!" ต้นกลัวสุดขีดเขาเขย่ารถไปมาด้วยความโกรธก่อนจะเกิดแสงสว่างจนแสบตาที่ปลายแสงในความมืด

 

       "วู๊ป!!! ฟู๊....!!!" เสียงเครื่องยนต์ดังเป็นอึกสุดท้ายเมื่อรถหยุดเขย่าพร้อมกับแสงสว่างจนแสบตา จนต้นต้องเอามืดปิดตาตัวเองเพื่อบังแสงที่จู่ๆก็พุ่งเข้ามาหลังจากอยู่ในความมืดไปหลายนาที

 

       "ขอต้อนรับสู่อนาคต วันที่3กันยายนปี2015ค่ะด๊อกเตอร์" เสียงสิริหญิงสาวในรถพูดกับต้นตามด้วยเสียงปลดล๊อครถ

 

       ต้นที่เริ่มปรับสายตาเข้ากับแสงสว่างภายนอกได้ เขาจึงเปิดประตูรถออกมาอย่างช้าๆ สิ่งที่เขาเห็นนั้นมันคือความแปลกใจและตกใจจนต้นแทบจะไม่เชื่อสายตาของตนเอง

 

      "ปู่ทำได้จริงๆหรือเนี้ย เป็นไปไม่ได้!!!" ต้นอุทานออกมาดังๆด้วยแปลกใจ เมื่อเขายืนอยู่ในโรงรถที่เดิม ทุกสิ่งทุกอย่างยังคงวางอยู่ที่เดิมเหมือนเมื่อสิบนาทีที่แล้วก่อนที่เขาจะขึ้นรถ

 

       "ปู่นะปู่หลอกกันได้" ต้นบ่นออกมาดังๆด้วยความโมโห เขาก้มลงไปหยิบรองเท้าสเก๊ตที่อยู่ในรถออกมาด้วยความไม่พอใจ ความรู้สึกของเขาตอนนี้รู้สึกโมโหและอับอายเมื่อคิดถึงท่าทางกลัวสุดขีดของตนเมื่อก่อนหน้านี้ ซึ่งความจริงแล้วมันก็คือมุกแกล้งกันเล่นขำๆของปู่ที่ต้องการแกล้งตนอย่างแน่นอนต้นคิดแบบนั้น

 

       "พลังงานของเครื่องเดินทางข้ามเวลากำลังจะหมด กรุณาเติมพลังงานก่อนเดินทางครั้งต่อไป" เสียงหญิงสาวในรถพูดกับต้นเมื่อเขาก้มไปหยิบรองเท้า

 

      "ไปหลอกหลานคนอื่นเถอะมุกนี้ ไม่เชื่อปู่แล้ว" ต้นพูดเสียงดังใส่แป้นบอกเวลาที่ดับไปแล้วด้วยความไม่พอใจ

 

        เขาสวมรองเท้าสเก็ตและออกจากโรงรถของปู่ด้วยความไม่พอใจ ระหว่างทางเมื่อมาที่หน้าบ้านต้นก็พบหมาหุ่นยนต์ของปู่ยืนแน่นิ่งไม่ขยับตัวเห่าเขาเหมือนแต่ก่อน ซึ่งต้นเองก็ไม่ใส่ใจอะไรกับมัน เขารีบออกจากบ้านของปู่เพื่อไปขึ้นรถเมล์กลับบ้าน

 

       ระหว่างทางที่ตนกำลังวิ่งไปนั้นเขาก็รู้สึกแปลกๆกับทิวทัศน์ที่เปลี่ยนไปในความคิดของเขา ทั้งบ้านเรือนถนนและซอยดูแปลกไปจากปกติที่เขาเห็นบ่อยๆ

 

       "หรือเราจะคิดไปเอง สงสัยถูกรถนั่นเขย่ามากไป" ต้นบอกกับตัวเองระหว่างวิ่งด้วยรองเท้าสเก็ตออกมาจากซอย "กรรม!!! ดันหยิบคู่มือติดมาด้วย" ต้นบ่นออกมาดังๆก่อนจะม้วนสมุดคู่มือไว้ในกระเป๋ากางเกง "พรุ่งนี้ค่อยแอบเอาไปคืนแล้วกันขี้เกียจกลับไปแล้ว" ต้นบ่นกับตัวเองระหว่างวิ่งอยู่บนถนนในซอย

 

      จนกระทั่งเขามาถึงหน้าปากซอยต้นก็ต้องตกใจสุดขีด เมื่อเขาเห็นรถจำนวนมากจอดทิ้งเอาไว้บนถนนโดยไม่มีคนขับ และด้านบนถนนก็มีทางเดินรถไฟขนาดใหญ่จอดแน่นิ่งอยู่บนนั้น

 

     "!!!!!" ต้นตกใจสุดขีดจนอ้าปากค้างพูดอะไรไม่ออกเมื่อเห็นสิ่งเหล่านี้

 

     "นี่เรามาอนาคตจริงๆหรือเนี้ย!!!" ต้นหยิกตัวเองแรงๆเพื่อเรียกสติก่อนจะรู้ว่าเขานั้นไม่ได้ฝันไป

 

     ต้นเดินสำรวจริมถนนด้วยความแปลกใจ เมื่อเขาเห็นรถมากมายจอดทิ้งเอาไว้แต่ไม่มีผู้คนอยู่เลยแม้แต่คนเดียว

 

     รองเท้าสเก็ตทำให้ต้นสามารถเคลื่อนที่ด้วยความเร็วระหว่างวิ่งไปบนฟุตบาททางเท้า เขาพยายามมองหาผู้คนทั้งในรถและร้านค้าหรือบ้านคน แต่ทุกอย่างกลับเงียบสนิทและสกปรกไปด้วยขยะ

 

     "คนหายไปไหนกันหมด!!!????" ต้นบ่นออกมาดังๆด้วยความแปลกใจ ก่อนจะหยุดวิ่งลงทันทีเมื่อตรงหน้าของเขานั้นคือรถถังขนาดใหญ่ที่จอดอยู่พร้อมกับรถทหารอีกหลายคันที่จอดทิ้งเอาไว้โดยไม่มีคนอยู่เลย และไม่ไกลออกไปจากรถถังก็มีกองเศษขี้เถ้าขนาดใหญ่หลายกองอยู่บนถนน

 

      "โอ๊วรถถัง....!!! นี่มันอะไรกัน???" ต้นค่อยๆเดินสำรวจรถถังด้วยความตื่นตาตื่นใจ ก่อนจะเดินไปสำรวจกองขี้เถ้าด้วยความสงสัย

 

     "เฮ้ยๆๆๆ!!!" ต้นอุทานออกมาเสียงดังด้วยความตกใจสุดขีด เขาล้มลงก้นกระแทกพื้นตาเหลือกโตจองมองไปที่กองขี้เถ้าเหล่านั้น ซึ่งความจริงแล้วมันคือกองซากศพคนที่ถูกเผารวมกันเป็นกองเดียวอย่างน่าอนาจ

 

      "นี่มันเกิดอะไรขึ้น!!!" ต้นอุทานออกมาดังๆด้วยความตกใจ "ทำไมอนาคตถึงได้เป็นอย่างนี้ล่ะ" ต้นมองซ้ายมองขวาเพื่อหาคนอื่นที่อาจจะรอดชีวิต

 

      "เฮ้ย!!! มีใครอยู่ไหม!!! ถ้ามีตอบด้วย" ต้นตะโกนเสียงดังเพื่อหาคนอื่น แต่กลับไม่มีเสียงใดตอบกลับมาเลยนอกจากความเงียบ

 

       "ก๊ากกกกก ก๊ากกกกก!!!" และจู่ๆก็มีเสียงร้องแหลมๆดังขึ้นมาในความเงียบนั้น พร้อมกับกลุ่มคนสามสี่คนที่วิ่งมาด้วยความเร็วผ่านซากรถพุ่งตรงมาทางนี้

 

       "โล่งอกที่มีคนอยู่" ต้นบอกตัวเองด้วยความโล่งอกเมื่อเห็นผู้รอดชีวิตคนอื่น

 

      "ก๊ากกกกก ก๊ากกกก!!" แต่ในช่วงวินาทีหนึ่งต้นก็รู้สึกแปลกใจกับสิ่งที่เห็น กลุ่มคนเหล่านั้นร้องเสียงแปลกๆและวิ่งอย่างบ้าคลั่งชนรถไปมาจนเกิดเสียงดังตึงตัง ซึ่งดูผิดปกติที่คนธรรมดาจะทำกัน

 

      ต้นลังเลว่าควรจะทำอย่างไร เขาเกาหัวยืนดูร่างเงานั้นวิ่งมาหาตนโดยไม่ทำอะไรจนกระทั่งร่างเหล่านั้นวิ่งมาหาเขาในระยะสายตาที่ต้นพอจะมองเห็นชัด สภาพคนเหล่านั้นเสื้อขาดรุ่งริ่งและมีบาดแผลฉกรรจ์ตามตัวทั้งชายหญิง ซึ่งดูยังไงคนเหล่านั้นก็ไม่น่าจะใช่คนปกติธรรมดาอย่างแน่นอน

 

       "บ้าไปแล้ว บ้าไปแล้ว!!!" ต้นหันหลังวิ่งด้วยความตกใจสุดขีด เมื่อเห็นคนเหล่านั้นในสภาพที่เหมือนผีดิบที่เพิ่งลุกขึ้นมาจากหลุม กำลังวิ่งไล่ตามเขาเหมือนนักกีฬาโอลิมปิกวิ่งแข่ง ซึ่งถ้าไม่ใช่เพราะรองเท้าสเก็ตที่ต้นสวมเขาคงวิ่งหนีซอมบี้เหล่านั้นไม่ทันอย่างแน่นอน

 

         ด้วยความที่ต้นคุ้นเคยกับการใช้รองเท้าติดล้อวิ่งในแหล่งชุมชนที่มีคน และสิ่งของมากมายเป็นอุปสรรคในการวิ่ง เขาจึงสามารถวิ่งมันหลบหลีกสิ่งกีดขวางที่อยู่บนทางเท้าได้เป็นอย่างดี ขณะที่เหล่าซอมบี้ที่วิ่งตามมาแม้จะวิ่งด้วยความเร็วแต่สิ่งกีดขวางที่มีอยู่มากมายกับการวิ่งตรงไปข้างหน้าโดยไม่สนใจอะไรเลยของพวกมัน ก็ทำให้ต้นได้เปรียบในการหนีครั้งนี้ได้อย่างไม่ยากเย็น

 

        แต่.....

 

        "ก๊ากกกกก ก๊ากกกก!!!!" แม้ต้นจะวิ่งเร็วแค่ไหนแต่เขาก็ไม่สามารถรู้ได้เลยว่าข้างหน้าที่เขาวิ่งไปนั้นจะมีอะไรรออยู่ และในที่นี้ก็คือซอมบี้อีกตัวที่วิ่งอยู่ตรงหน้ากระโจนเข้าใส่ต้นโดยที่เขาไม่ทันตั้งตัว

 

       ทั้งคู่หกล้มลงไปลงไปบนถนน ต้นพยายามรั้งหน้าของซอมบี้หญิงสาวหน้าเละที่พยายามจะกัดต้น แต่เขากลับสู้แรงนั้นไม่ไหว และในขณะที่เขากำลังจะพลาดท่าตอนนั้นเองก็มีอะไรบางอย่างมาพลัก(ถีบ)ร่างของซอมบี้หญิงสาวกระเด็นไปไกลจากต้น

 

       "ลุกไหวไหมไอ้น้อง!!!!" หญิงสาวผมยาวสวมเสื้อยืนเก่าๆกางเกงยีนส์ขายาวขาดๆ วัยสามสิบต้นๆรีบพยุงต้นให้ลุกขึ้นยืน

 

       เมื่อต้นยืนขึ้นได้หญิงสาวก็จุดไฟแช๊คใส่ขวดเหล้าที่มีน้ำมันอยู่ก่อนจะปาใส่กลุ่มซอมบี้ที่วิ่งตามต้นมา จนพวกมันลุกเป็นไฟชักดิ้นไปมาในกองเพลิงต่อหน้าต่อตาต้น ก่อนที่เธอคนนั้นจะเดินอย่างช้าๆไปทางซอมบี้หญิงสาวที่กำลังพยายามลุกขึ้น แต่ก็ถูกเธอคนนี้เอาไม้เบสบอลฟัดอย่างแรงที่หัวจนซอมบี้หญิงสาวหัวสมองไหลนอนชักอยู่บนพื้น

 

       "เอ่อ.....????" ต้นมีคำถามมากมายอยู่ในหัวถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับตน เขามองหญิงสาวที่อายุห่างจากต้นถึง20ปีด้วยความทึ่งและประทับใจไปพร้อมๆกัน

 

       "ตามมาถ้าไม่อยากเน่าที่นี่" หญิงสาวมองต้นตั้งหัวจรวดเท้าก่อนจะเดินกึ่งวิ่งนำต้นเข้าไปในซอยๆหนึ่งไม่ไกลจากนั้น

 

       "เอ่อ....นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันครับผมไม่เข้าใจ ทำไมคนพวกนั้นถึงได้เป็นเป็น...เอ่อ..." ต้นพูดไม่ถูกเขาไม่รู้ว่าจะเรียกพวกนั้นว่าอะไรดี เพราะในยุคนั้นสิ่งที่เรียกว่าซอมบี้ยังเป็นอะไรที่ไกลตัวกว่ายุคนี้มากมายนัก

 

       "ซอมบี้!!!" หญิงสาวพูดคำสุดท้ายให้ครบประโยค เธอหันมามองต้นอีกครั้งตั้งแต่หัวจรวดเท้าด้วยสีหน้าแปลกใจเล็กน้อย "นายไปอยู่ไหนมาไอ้หนูถึงไม่รู้เรื่องนี้!!!" สีหน้าแววตาของหญิงสาวที่แสดงออกมาทำให้ต้นรู้สึกคุ้นเคยอย่างน่าประหลาดทั้งที่เขาเพิ่งเคยเจอเธอเป็นครั้งแรก

 

       "แบบว่ามันซับซ้อนที่จะอธิบายตอนนี้ เอาเป็นว่านี่มันเกิดอะไรขึ้นน้ารีบบอกผมมาก่อนดีกว่า ผมงงไปหมดแล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้น!!!" ต้นถามหญิงสาว

 

      "พี่ก็พอ ไม่ต้องเรียกแก่ขนาดนั้นก็ได้ ฉันชื่อหยกนายล่ะชื่ออะไรไอ้น้อง" หญิงสาวหันมาพูดกับต้นก่อนจะเดินต่อ เธอเดินข้ามศพที่นอนแห้งตายบนพื้นอย่างหน้าตาเฉยเหมือนมันเป็นแค่เศษขยะที่ไม่มีใครสนใจ ยกเว้นต้นที่มีท่าทางตกใจและหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด

 

     "ต้นครับ" ต้นตอบระหว่างเดินหันซ้ายหันขวาด้วยท่าทางตกใจกับสิ่งที่เจอ ดูเหมือนทุกอย่างจะน่าตกใจเป็นอย่างมากสำหรับเขา ซึ่งก็ไม่แปลกถ้าเราจะเจออะไรแบบนี้อย่างต้น

 

     "ฉันเองก็ไม่รู้หรอกนะว่ามันเกิดจากอะไรทำไมยังไง ฉันรู้แค่ว่าจู่ๆคนที่รู้จักและไม่รู้จักต่างก็เริ่มไอตั้งแต่เช้า พอตกสายๆทุกคนก็เริ่มกลายเป็นซอมบี้เหมือนในหนัง คนที่รอดชีวิตส่วนใหญ่ก็หนีเอาตัวรอดไปเรื่อยแต่ส่วนมากจะไม่รอดเพราะมัวแต่ทำตัวขี้ขลาดแบบนาย" หยกหันมามองรองเท้าสเก็ตของต้นเมื่อพูดจบ "รองเท้าสวยไปเอามาจากไหนกัน สมัยนี้หาคนเล่นรองเท้าแบบนี้ยากมากเลย เพื่อนพี่สมัยเด็กคนหนึ่งก็ชอบเล่นแบบนี้ ป่านี้ไม่รู้ว่าหมอนั่นจะมีชีวิตรอดอยู่ไหม"

 

    ต้นหยุดเดินเมื่อหญิงสาวพูดถึงตนอย่างไม่ต้องสงสัย ซึ่งแม้ชื่อจะเป็นชื่อเดียวกันแต่หญิงสาวคนนี้นั้นต่างกับหยกคนที่ต้นรู้จักเป็นอย่างมาก หยกคนนี้ทั้งผิวขาวสวยและไม่สวมแว่นแถมไม่มีไฝที่ปากซ้ายแบบหยกที่เขารู้จัก

 

     "เมื่อก่อนพี่เคยสวมวะ!!!" ไม่ทันทีต้นจะพูดจบหญิงสาวก็เอามือรั้งตัวต้นเอาไว้ให้หยุดเดิน

 

     ข้างหน้าของทั้งคู่นั้นเป็นกลุ่มชายฉกรรหลายคนกำลังรื้อค้นข้าวของในร้านโชห่วยร้านหนึ่งในซอยอย่างบ้าคลั่ง

 

      "เราน่าจะไปขอความช่วยเหลือกับพวกเขา" ต้นออกความคิด

 

     "จะบ้ารึไง!!! นายนี่ไม่รู้อะไรเลยใช่ไหม...ว่าคนเราด้วยกันเองนี่ล่ะที่เลวร้ายที่สุด พวกนั้นอาจจะจับฉันข่มขืนส่วนนายก็ถูกฆ่า ดูดีๆซิพวกนั้นมีปืนแล้วก็ไม่มีผู้หญิงในกลุ่มเลยด้วย ถ้าเราเข้าไปเราอาจจะซวยก็ได้ ทางที่ดีถ้านายอยากมีชีวิตรอดต้องเชื่อฉันเข้าใจไหม" หยกพูดกับต้นเบาๆระหว่างแอบอยู่ในมุมหนึ่งของเสาไฟฟ้า

 

          "ไปกันเถอะ!!!" กลุ่มชายฉกรรตะโกนเสียงดังก่อนจะขับรถออกไป ทิ้งไว้เพียงซากความเสียหายในการลื้อค้นสิ่งขอที่มันทิ้งเอาไว้

 

          โชคดีที่มันไม่รู้ที่ซ่อนไม่งั้นได้ซวยยกกลุ่มแน่ เอาล่ะตามมา" หยกพูดกับตัวเองด้วยความโล่งอกก่อนจะหันมาทางต้นเพื่อเรียกเขาให้ตามเธอมา

 

         "ยังมีคนอื่นอีกหรอ" ต้นถามระหว่างเดินตามหญิงสาวไป

 

         "ใช่ พวกเรารวมตัวกันตอนเกิดเรื่องใหม่ๆ มีทั้งเด็กผู้หญิงคนแก่ผู้ชายรวมกันหลายคน โชคดีที่เราไปเจอบ้านหลังใหญ่ที่มีรั้วรอบขอบชิดเลยทำให้เรามีที่ปลอดภัยอยู่" หยกหันซ้ายหันขวาเมื่อมาถึงถนน3แยกในซอย เธอดูบริเวณรอบๆให้แน่ใจก่อนจะวิ่งผ่านไปอย่างรวดเร็ว

 

        "......???" ต้นที่เดินตามมาแสดงสีหน้างุนงงสงสัยออกมาอย่างชัดเจน เขานั้นสับสนงุนงงและจับต้นชนปลายกับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ถูกว่ามันเกิดอะไรขึ้น

 

       "พะผมต้องกลับบ้าน ไม่ซิต้องกลับไปที่รถที่ผมใช้เดินทางมา ป่านี้ปู่น่าจะรู้แล้วว่าผมแอบเอารถเขามาขับ ถ้าผมไม่รีบเอารถไปคืนปู่ต้องโมโหอย่างแน่นอน" ต้นที่วิตกและหวาดกลัวในสิ่งที่เจอมาเมื่อครู่ จึงทำให้เขารู้สึกสับจับต้นชนปลายกับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ถูก

 

         "ใจเย็นก่อน นายกำลังช๊อคเพราะสับสนพี่เองก็เคยเป็นมาก่อนตอนที่เจอเรื่องแบบนี้มาใหม่ๆ เป็นใครก็ช๊อคแบบนี้ทั้งนั้น นายต้องสูดหายใจลึกๆช้าๆ นี่ก็ใกล้จะถึงที่พักแล้วเดี๋ยวนายค่อยไปนอนพักทุกอย่างน่าจะดีขึ้น" หยกเข้ามาพยุงต้นที่กำลังเดินเซเพราะอาการช๊อค

 

       "พี่ไม่เข้าใจผมต้องรีบไป รีบไปบอกทุกคนถึงสิ่งนี้ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป..." ต้นพูดไม่ทันจบเขาก็สลบไปทันที

 

       ผ่านไปซักพักต้นก็รู้สึกตัวสะดุ้งตื่นขึ้นมาในห้องๆหนึ่งที่ตนไม่รู้จักบนเตียงสุดหรู รอบๆห้องมีของตกแต่งราคาแพงมากมายและมีทีวีจอโค้งและคอมพิวเตอร์ตั้งอยู่ในห้องแต่ใช้งานไม่ได้ หน้าต่างของห้องนั้นมืดสนิทมองเห็นแสงจันทร์บนฟ้า

 

      "ฟื้นแล้วหรอ จะมาเรียกนายไปกินข้าวพอดี แต่คิดว่าคงเดินไม่ไหวเลยเอามาให้ดีกว่า" เสียงของหยกทำให้ต้นรู้สึกอุ่นใจมากขึ้น เมื่อเห็นเธอเดินเข้ามาในห้องพร้อมอาหารและชายอีกคนหนึ่งที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับต้น

 

       "รู้สึกปวดหัวยังไงไม่รู้บอกไม่ถูก"ต้นบอกกับหยกเมื่อลงจากเตียง

 

       "นี่อะไรหรอไม่เคยเห็นมาก่อนเลย นี่ด้วยรองเท้ามีล้อรูปทรงแปลกๆไม่เคยเห็นมาก่อน" เด็กชายหยิบเครื่องเล่นเทปแบบพกพา(ตามรูป)และรองเท้าสเก็ตของต้นขึ้นมาดูด้วยความสงสัย

 

     "มันเป็นของฉันเอง ซาวเบ้าท์นี่เป็นรุ่นใหม่ล่าสุดที่เพิ่งวางตลาดเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ส่วนนั่นก็เป็นรองเท้าสเก็ตรุ่นใหม่เพิ่งไปซื้อมาเมื่อวานที่ห้างเมอร์รี่คิง" ต้นพูดอวดด้วยความภูมิใจเมื่อมีคนพูดถึงสิ่งที่ตนอยากโชว์

 

    "..................." แต่คนทั้งคู่กลับมองมาทางเขาด้วยสีหน้าที่ผิดไปจากที่ต้นคิด

 

    "นายเป็นพวกชอบของเก่าหรอ ของพวกนี้ฉันไม่เคยเห็นมาก่อนเชยชมัดเลย" เด็กชายโยนเครื่องเทปคืนให้ต้นก่อนจะเดินออกไป

 

         "อย่าถือสาเลยนะ เด็กสมัยนี้รู้จักแต่แทปเล็ตไม่ก็มือถือ นี่ถ้าไม่มีพวกซอมบี้บุกโลกพวกเราก็คงจะนั่งก้มหน้ากดมือถือกันเหมือนไม่มีมีอะไรเกิดขึ้นไปแล้ว" หยกพูดยิ้มๆกับต้น

 

         "แทปเล็ตคืออะไร...??? มือถือนี่มันคือโทรศัพท์ที่ใช้เล่นเกมฟังเพลงดูแผนที่ได้ใช่ไหม..???" ต้นถามหยกด้วยสีหน้าสงสัย

 

        "นี่นายล้อฉันเล่นใช่ไหม" หยกเปลี่ยนสีหน้าและมองมาทางต้นที่กำลังงุนงงกับสิ่งที่เขาเอ่ยออกมา

 

       "เปล่าพูดจริง" ต้นมองตาหยกก่อนพูดออกมา

 

        "ไม่ตลกเลยนะมุกนี้" หยกหยิบซาวเบ้าท์ของต้นออกมาเปิดดูเทปข้างเมื่อเธอไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อไป เพราะสีหน้าแววตาของต้นนั้นแสดงให้เธอรู้ว่าต้นนั้นไม่ได้เล่นมุกหรือโกหกในสิ่งที่เขาพูด

 

       "นายอาจจะช๊อคจนเพี้ยนไม่ก็เพิ่งออกมาจากโรงพยาบาลบ้าแน่ๆถึงจำอะไรผิดเพี้ยนไปแบบนั้น" หยกกดเปิดเพลงในเครื่องเล่นเป็นเพลงนางแมวยั่วสวาทซึ่งเป็นเพลงที่ดังมากๆในยุคนั้น "นายไปเอามาจากไหน ตลาดคลองถมหรอ สมัยนี้อย่าว่าแต่ตามตลาดคลองถมเลยตามร้านขายของเก่าสภาพใหม่แบบนี้ยังหาซื้อยากเลย"

 

        "ที่ไหนก็มีขายในยุคผม"ต้นบอก

 

        "ว่าไงนะ!!!" หยกนั่งอึ้งมองหน้าต้น "เมื่อกี้นายพูดว่ายุคของนาย" หยกทวยคำที่ต้นพูด

 

        ต้นพยักหน้า "ผมเดินทางมาจากปัจจุบันปี2538หรือราวๆปี1995ถ้าจำไม่ผิด" ต้นบอกด้วยสีหน้าจริงจัง

 

      "ฮ่า ฮ่า บ้าไปแล้ว นายคงช๊อคจนเพี้ยนไปแน่ๆถึงพูดแบบนี้ออกมา ใครจะไปเชื่อกันว่านายเดินทางมาจากอดีต" หยกหัวเราะเสียงดังด้วยความขบขันก่อนจะปิดซาวเบ้าท์และเดินออกไปจากห้อง "พี่ว่านายต้องนอนพักมากๆแล้วล่ะ พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่" หยกพูดจบเธอก็เดินจากไป

 

      "นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้น....!!! งงไปหมดแล้ว!!!" ต้นพูดกับตัวเองด้วยความสับสนก่อนล้มตัวลงนอนและหลับไปอีกครั้ง

 

       "ตื่นๆๆๆเร็วเข้า!!!" ต้นสะดุ้งตัวตื่นเมื่อถูกหยกมาปลุกด้วยสีหน้าแตกตื่นตกใจ "เราต้องหนีแล้ว!!! พวกผู้ชายพวกนั้นมันมาบุกที่นี่ มันฆ่าคนของเราไปหลายคนแล้ว เราต้องรีบหนีที่นี่ไม่ปลอดภัยแล้ว!!!" หยกพาต้นหนีออกมาจากห้องท่ามกลางความวุ่นวายรอบๆบ้านๆ ที่ตอนนี้ถูกกลุ่มชายฉกรรกราดปืนไล่ยิงผู้ชาย ก่อนจะจับตัวผู้หญิงหมายจะข่มขืน

 

       "ก๊ากกกกก ก๊ากกกก!!!" แต่เพราะเสียงปืนและเสียงร้องของผู้คนจึงเรียกพวกซอมบี้ที่ได้ยินมาที่บ้านหลังนี้ ทุกคนจึงกระจัดกระจายแยกย้ายกันไปคนล่ะทิศคนล่ะทางท่ามกลางความวุ่นวาย

 

        ซอมบี้ที่วิ่งกรูเข้ามาที่ประตูรั้งทำให้ทางเข้าออกเพียงทางเดียวถูกปิดตาย ขณะที่คนอื่นๆในบ้านต่างพากันวิ่งหาทางออกทางอื่นที่พอจะคิดออก ขณะที่เหล่าชายฉกรรที่ขับรถชนประตูรั้วเข้ามาก็ไม่มีทางออกไปไหน จนสุดท้ายก็ถูกเหล่าซอมบี้จับแหวกไส้ควักพุงออกมากินอย่างไม่มีทางสู้

 

       "มาทางนี้!!!" หยกพาต้นปีนออกมาทางหน้าต่างของห้องนอนที่ติดกับกำแพงของบ้านพอดี ด้วยเชือกเส้นยาวที่หยกผูกเตรียมเอาไว้เป็นทางออกฉุกเฉินยามมีภัย

 

       "ไม่เคยคิดเลยว่าต้องใช้ทางนี้หนี แค่เตรียมเอาไว้เฉยๆ" หยกบ่นดังๆระหว่างปีนลงมาเป็นคนแรก

 

       "แล้วคนอื่นๆล่ะครับ!!" ต้นถามหยกเมื่อปีนลงมาถึงพื้นท่ามกลางเสียงร้องของเหล่าซอมบี้ เสียงปืนและเสียงโหยหวนด้วยความเจ็บปวดของคนที่ถูกฆ่าและขอความช่วยเหลือโดยไร้ทางหนี

 

        "เราเข้าไปช่วยใครไม่ได้ทั้งนั้น!!! พวกนั้นมีปืนและพวกซอมบี้ก็บุกเข้ามาแล้ว ถ้านายไม่อยากตายก็ตามมา!!!" หยกพูดจบเธอก็รีบวิ่งหนีไปจากตรงนั้น

 

         "แล้วทุกคนล่ะ!!! เราจะทิ้งพวกเขาไปไม่ได้นะ ในนั้นมีเด็กมีผู้หญิงคนแก่ เราต้องไปช่วยเขาออกมา!!!" ต้นตะโกนบอกหยกระหว่างวิ่งตามเธอไป

 

          "กลับไปไม่ได้!!! นายไม่เข้าใจรึไง!!!" หยกตะโกนใส่ต้นด้วยความโมโห "นายคิดว่าฉันไม่อยากกลับไปช่วยพวกเขารึไง!!! ฉันอยากไปช่วยมากกว่านายอีก!!! ในนั้นมีแต่คนที่ฉันรู้จัก ถ้าทำได้ฉันก็อยากเข้าไป แต่ในตอนนี้เราทำแบบนั้นไม่ได้!! ถ้าเข้าไปก็เท่ากับเอาชีวิตไปทิ้ง นายเข้าใจไหม!!!" หยกเขย่าตัวต้นแรงๆและจ้องตาเขา

 

         "คะเข้าใจแล้ว..." ต้นที่มองตาของหยกก็เข้าใจความรู้สึกที่แสดงออกมาจากแววตานั้นดี

 

         "ดีงั้นก็ตามมา" ทั้งคู่ตรงมาที่รถคันหนึ่งที่จอดเอาไว้ไม่ไกลจากที่พักก่อนจะรีบขับออกไป ทิ้งเปลวเพลิงและเสียงร้องโหยหวนของซอมบี้และผู้คนเอาไว้ข้างหลัง

 

            "นี่มันเกิดอะไรกันขึ้น!!! ฉันไม่เข้าใจเลย!!" ต้นตะโกนออกมาเสียงดัง เขาตะโกนโวยวายเตะถีบคอนโซนรถด้วยความโมโหที่ไม่เข้าใจอะไรเลย ขณะที่หยกกลับมีท่าทางนิ่งเฉย เธอขับรถอย่างรวดเร็วตรงไปตามถนนโดยไม่เปิดไฟหน้ารถ

 

            ต้นตะโกนโวยวายจนเหนื่อยเขาก็หยุดร้อง

 

            "นี่นายเพิ่งจะสติแตกครั้งแรกซินะ" หยกถามต้นด้วยน้ำเสียงนิ่งเฉย ดูเธอไม่รู้สึกสะทกสะท้านกับสิ่งที่เกิดขึ้นเลย ทั้งที่เพิ่งจะผ่านเรื่องเลวร้ายที่สุดมา

 

           "หมายความว่าไงว่าสติแตกครั้งแรก" ต้นถามเบาๆด้วยท่าทางหอบ

 

          "เพราะฉันก็เคยเป็นแบบนายมาก่อนตอนเกิดเรื่องครั้งแรก ตอนนั้นฉันต้องฆ่าพ่อกับแม่ตัวเองกะมือ ฉันสติแตกไปตั้งหลายวันกว่าจะทำใจได้" เธอหันมามองทางต้น "นี่ถ้าฉันไม่ใช่คนบ้าที่คิดไปเอง ฉันคงคิดว่านายไม่ใช่คนที่นี่ ถึงได้ทำหน้างงๆเหวอๆตอนเจอซอมบี้ครั้งแรก ไหนจะการแต่งตัวของใช้ที่พกและอาการสติแตกครั้งแรก นายเพิ่งตื่นจากโรงพยาบาลแบบหนังเรื่อง 28 days later หรือไม่ก็ waking dead ซีซั่นแรกใช่ไหม นายถึงไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นตอนนี้"

 

       "เปล่า ไม่ใช่" ต้นส่ายหน้า "พูดไปพี่อาจจะไม่เชื่อก็ได้" เขาถอนหายใจแรงๆเมื่อต้องพูดในสิ่งที่อาจจะดูตลกทั้งที่มันไม่น่าตลกเลยแม้แต่น้อย

 

         "แล้วนายคิดว่าตอนนี้จะมีอะไรที่ไม่น่าเชื่ออีกล่ะ ไหนจะซอมบี้ไล่กินคนเกือบหมดโลก ไหนจะคนที่ฆ่าคนกันเอง แถมเมื่อกี้เราสองคนก็เพิ่งจะหนีเอาชีวิตรอดโดยที่เราไม่ได้คิดจะช่วยใครออกมาเลยด้วย แล้วแบบนี้นายคิดว่าฉันจะไม่เชื่อเรื่องอะไรได้อีก" หยกหันมายิ้มให้ต้นแต่แววตาของเธอนั้นไม่ได้ยิ้มด้วยเลยแม้แต่น้อย

 

         ต้นพูดอะไรไม่ออกเมื่อเห็นแววตาของหยก เขากลั้นหายใจก่อนจะพูดมันออกมาทั้งที่ใจไม่อยากจะพูด "ผมชื่อต้นผมมาจากปัจจุบันในอีก20ปีต่อจากนี้" ต้นมองตาหยกเมื่อพูดจบ

 

         "พูดเป็นเล่น นายมาจากอดีตเมื่อปี2538!!!" หยกอึ้งเล็กน้อย เธอจอดรถและมองมาทางต้นโดยไม่พูดอะไร "นายพูดจริงๆหรอ!!"

 

         "พี่ต้องว่าผมบ้าหรือเพี้ยนไปแล้วใช่ไหม" ต้นถอนหายใจเมื่อพูดจบ

 

        "ไม่เห็นต้องถาม ฉันว่านายเพิ่งจะออกมาจากโรงพยาบาลบ้าอย่างที่คิดจริงๆด้วย" หยกขับรถไปต่อโดยไม่พูดอะไร ซึ่งต้นก็คิดอยู่แล้วว่าหยกต้องพูดแบบกับตน

 

       ทั้งคู่ขับรถไปตามถนนอย่างช้าๆเรื่อยๆหลบรถที่จอดทิ้งไว้บนถนน ทั้งคู่ขับผ่านห้างสรรพสินค้าซีคอนบางแค ก่อนจะแวะมาจอดที่บ้านหลังหนึ่งในซอยใกล้ๆแถวนั้น

 

      "รอที่นี่" หยกค้นหาไม้กระบอกที่เบาะหลังก่อนจะลงไปจากรถไป ไม่กี่นาทีเธอก็เดินมาเปิดประตูรถเรียกต้นให้ลงมา

 

       "ที่นี่ที่ไหน" ต้นถามหญิงสาวเมื่อลงมาจากรถ ขณะที่เธอกำลังค้นหาอะไรบางอย่างที่ท้ายรถ

 

      "อาจจะเป็นบ้านใครซักคน เราคงต้องหลบอยู่ที่นี่ไปก่อนแล้วค่อยคิดกันอีกทีว่าจะเอาอย่างไร" หยกหอบเอากล่องที่ใส่อาหารลงมาจากท้ายรถส่งให้ต้นถือ "ฉันมักจะเตรียมแผน2เอาไว้ยามฉุกเฉินเสมอ นายเองก็ควรจะทำแบบนั้นเอาไว้ถ้าอยากมีชีวิตรอด"

 

        ทั้งคู่เข้ามาในบ้าน2ชั้นที่มืดสนิท ข้าวของในบ้านถูกลื้อค้นกระจายและมีคราบเลือดกระจายอยู่ทั่วบ้านแต่ไม่มีศพให้เห็น

 

        "นอนที่ชั้น2เถอะ นายคงไม่อยากไปดูในห้องน้ำหรอก" หยกบอกกับต้นก่อนที่จะขึ้นไปที่ชั้น2ของบ้าน

 

       ทั้งคู่นั่งทานอาหารเย็นกันท่ามกลางความมืดโดยมีแสงจันทร์เป็นเพียงแสงสว่างเดียวที่มี

 

       เมื่อทานอาหารเสร็จทั้งคู่จึงตัดสินใจนอนกันในห้อง โดยที่ต้นนอนบนพื้นส่วนหยกนอนบนเตียงในห้องนอนสุดหรูภายในห้อง

 

       ต้นที่นอนไม่หลับพยายามหาทางที่จะกลับบ้านแต่เขาไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี เขานอนมองเพดานในความมืดโดยไม่พูดอะไร

 

       "เป็นคนบ้าความจำเสื่อมแบบนายก็ดีเหมือนกันนะ ไม่ต้องรับรู้ไม่ต้องสนใจอะไร สร้างเรื่องราวขึ้นมาใหม่เป็นคนใหม่ ลืมเรื่องร้ายๆที่เกิดขึ้น" หยกพูดขึ้นมาบนเตียงท่ามกลางความมืด

 

      "ผมไม่ได้...."ต้นคิดจะเถียงแต่เขาก็ล้มเลิกความคิดนั้น เพราะพูดไปก็ไม่มีประโยชน์ที่เธอจะเชื่อที่เขาพูด

 

      "ก่อนหน้าที่จะเกิดเรื่องชีวิตฉันก็มีความสุขดีนะ ทำงานสบายเงินดีมีบ้านมีรถเสียอย่างเดียวคือไม่มีแฟน" ต้นนอนฟังชีวิตของหญิงสาวโดยไม่พูดอะไร "แต่พอเกิดเรื่องทุกอย่างก็เหมือนพังทลายลงไม่เหลืออะไรเลย" หยกหยุดพูดไปซักสิบวิก่อนจะพูดต่อ "เห็นนายพูดเรื่องย้อนเวลาแล้วอยากกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง อยากย้อนเวลากลับไปก่อนที่จะเกิดเรื่องขึ้นจะได้หาวิธียับยั้งมัน" หยกหัวเราะ "คิดถึงตอนเด็กจังเลย ตอนนั้นพี่ยังใส่แว่นแล้วก็ชอบขี่จักรยานมากๆ ขี่ทุกวันทั้งวันจนตัวดำไปหมดจนถูกเพื่อนที่ชื่อเดียวกับนายล้อประจำ หมอนั่นชอบพูดว่า"

 

      "ยัยขี้ริ้ว หน้าตาแบบเธอชาตินี้คงไม่มีใครเอา..." ต้นพูดต่อประโยคที่หยกพูด "และครั้งแรกที่หัดขี่จักรยานก็วิ่งไปชนเด็กชายคนหนึ่งที่ชื่อเดียวกับผมที่กำลังออกมาจากรั้วบ้าน"

 

      "เธอรู้ได้ไง!!???" หยกตกใจจนลุกขึ้นจากที่นอนมามองทางต้นที่กำลังนั่งมองมาทางเธอ

 

      "เธอชื่อหยกมีแม่ชื่อพลอยมีพ่อชื่อแหลมมีหมาสามขาชื่อเจ้าเป๋ ส่วนข้างบ้านเธอเป็นตาแก่ที่มีหมาหุ่นยนต์พูดได้คู่กัดกับเจ้าเป๋ เพลงที่เธอชอบฟังคือเพลงถอนสายบัวของนุ๊กสุธิดา เพราะเธอลืมเอาไว้ที่บ้านของปู่ตอนที่มาขอให้ท่านช่วยซ่อมเทปเพลง" ต้นพูดถึงความทรงจำที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานสำหรับเขา แต่กลับหญิงสาวมันคือความทรงจำเมื่อ20ปีก่อนที่เธอเคยลืมมันไปแล้ว

 

       "ไม่จริงน่า นายรู้ได้อย่างไร" หยกตาโตด้วยความตกใจ

 

          " ก็สำหรับผมมันเพิ่งจะเกิดขึ้นมาเมื่อไม่กี่ชั่วโมงเอง ถ้าพี่เชื่อว่าผมมาจากปัจจุบันจริงๆ" ต้นพูดด้วยสีหน้าจริงจัง

 

          "บ้าไปแล้วบ้าไปแล้ว!!! เป็นไปไม่ได้!!" หยกรู้สึกสับสน เธอเดินไปมาและพยายามตั้งสติกับสิ่งที่เกิดขึ้น "มันคือเรื่องจริงหรอเนี้ย บ้าไปแล้ว!!!"

 

          "ใครจะไปคิดล่ะว่าปู่บ้าของผมจะสร้างเครื่องเดินทางข้ามเวลาได้ ตลกไหมล่ะ" ต้นพูดประชด

 

          "แล้วนายมาทำอะไนที่นี่" หยกถามต้น

 

          "ก็กะมาเที่ยว ปู่สั่งว่าห้ามเดินทางไปอดีต ผมเลยเดินทางมาอนาคตพอมาก็เจอแบบนี้ไง" ต้นถอนหายใจเมื่อพูดจบ

 

           "แล้วรถไม่ซิเครื่องเดินทางข้ามเวลาอยู่ที่ไหน???" หยกถามต่อ

 

           "ก็อยู่ที่บ้านปู่นั่นล่ะครับ แถมพอมาถึงเครื่องก็บอกว่าพลังงานหมด คงต้องกลับไปที่รถแล้วดูว่ามันใช้พลังงานอะไรเครื่องถึงจะทำงาน" ต้นเกาหัวพูดอย่างไม่พอใจเมื่อคิดถึงหนทางกลับไปที่รถ

 

           หยกเดินไปเดินมาทำท่าคิดก่อนจะคิดอะไรบางอย่างออก "คิดออกแล้ว!!!! งั้น!!! ถ้าเราเดินทางกลับไปรถแล้วส่งนายกลับไปที่ยุคของนายแล้วไปเปลี่ยนอดีตล่ะ พยายามหาต้นตอของเชื้อไวรัสว่ามาจากไหนแล้วก็หาทางยับยั้งมันก่อนที่มันจะเกิดขึ้น!!! นายว่าเข้าท่าไหม!!!" หยกที่เริ่มเชื่อในสิ่งที่ต้นพูด เธอหันมาพูดกับเขาอย่างมีความหวัง

 

          "ก็ไม่รู้ว่าจะทำได้ไหม อีกอย่างกว่าเรื่องจะเกิดขึ้นก็กว่า20ปี ถึงตอนนั้นก็ไม่รู้จะไปสืบที่ไหนอะไรอย่างไรแล้วล่ะ" ต้นออกความเห็น

 

          "ใช่ จริงของนาย ยุคนั้นเด็กอย่างเราทำอะไรๆไม่ได้เหมือนเด็กสมัยนี้เสียด้วย..." หยกพูดกับตัวเอง ก่อนจะคิดอะไรบางอย่างออก "งั้นเอาแบบนี้ นายส่งฉันกลับไปที่อดีตซัก1ปี ฉันจะได้หาทางแก้ไขเรื่องนี้ถ้าทำได้ นายคิดว่าไง" หยกยิ้มฟันขาวให้ต้นกับความคิดของตน

 

          "ก็อาจจะทำได้นะ" ต้นคิดทบทวนคำถามก่อนจะพูดขึ้นมา

 

          "ไชโย!!!" หยกดีใจเมื่อสิ่งที่ตนคิดได้ผล

 

          "แต่...." ต้นเบรกอาการดีใจของหยกเอาไว้ด้วยคำๆเดียว

 

          "เราต้องกลับไปที่รถและหาพลังงานมาเติมถึงจะออกเดินทางได้" ต้นพูดถึงอุปสรรคที่อยู่ตรงหน้า

 

          "สบาย ฉันพานายไปได้เรื่องแค่นี้เอง" หยกพูดยิ้มๆ แต่ต้นกลับทำหน้าเครียด

 

          "แต่ผมไม่รู้ว่าเราต้องใช้พลังงานอะไรในการเดินเครื่อง ต้องไปเอาคู่มือมาอ่านถึงจะรู้ว่ามันใช้พลังงานอะไร" ต้นมองหน้าหยก

 

          "อย่าบอกนะว่าเราต้องกลับไปที่บ้านหลังนั้นอีก" หยกถอนหายใจเมื่อพูดจบ

 

          ต้นพยักหน้า "มันคือทางเดียวที่เราจะเดินทางกลับบ้านได้" ต้นมองหน้าหยก

 

          "เป็นไงเป็นกัน" หยกสูดลมหายใจเข้าปอดแรงๆเพื่อตัดสินใจ ก่อนจะพูดออกมา

 

          รุ่งขึ้นทั้งคู่ก็รีบออกไปจากที่พักทันทีเพื่อกลับไปยังบ้านที่พวกตนเคยแอบซ่อนตัวก่อนจะหนีมา หยกขับรถมาจอดไม่ไกลจากบ้านหลังนั้น ก่อนที่เธอจะลงมาค้นหาของที่ท้ายรถ

 

           "สิ่งที่นายควรรู้เกี่ยวกับซอมบี้คือพวกมันไวต่อเสียงเอามากๆ ถ้ามีเสียงดังพวกมันจะร้องเรียกพวกให้มาสมทบ ถึงตอนนั้นต่อให้นายวิ่งหนีก็วิ่งไม่ทันพวกมัน ทางที่ดีคือสู้เท่านั้น" หยกส่งไม้เบสบอลให้ต้นเมื่อพูดจบ "ตีที่หัวอย่างแรง พวกนี้มีจุดอ่อนที่หัว" หยกชี้หัวตัวเองระหว่างพูดกับต้น

 

          "ดะได้ ที่หัว" ต้นพูดเสียงสั่น

 

          "และที่สำคัญที่สุดคือ ถ้าถูกกัดจะกลายเป็นพวกมันทันที ดังนั้นถ้าฉันถูกกัดนายก็ควรไปจากที่นี่ทันที และถ้าเราแยกกันก็มารออยู่ที่นี่ ถ้าสามสิบนาทีแล้วยังไม่มาให้รีบขับรถออกรถไปเลยไม่ต้องรอ นายขับรถเป็นใช่ไหม" หยกถามต้นขณะที่เขาพยักหน้า "ดี งั้นไปกันเลย"

 

      ทั้งคู่ค่อยๆเดินตรงไปที่บ้านหลังเดิม ในมือของทั้งสองมีอาวุทที่เป็นไม้กระบองคนล่ะอันเพื่อป้องกันตัวเอง เมื่อเดินมาถึงที่รั้วประตูบ้านที่พังยับเยินเพราะถูกรถกระบะขนาดใหญ่ชน ร่องรอยความเสียหายยังคงอยู่แม้แต่รถกระบะที่กลุ่มชายฉกรรกลุ่มนั้นขับมาก็จอดทิ้งเปิดประตูอ้าซ่าอยู่ไม่ไกลจากรั้วประตู ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนให้รู้ว่ากลุ่มชายฉกรรที่มาก่อกวนก็คงหนีไม่รอดจากสิ่งที่ตัวเองทำเอาไว้

 

     "อุ๊บ!!!" ต้นที่เดินมาที่หน้ารถ เขาก็เกือบจะอ้วกออกมาเมื่อเห็นสภาพศพของคนขับที่นอนขาดสองท่อนไส้กองอยู่ในรถ ขณะที่มือทั้งสองข้างยังกำพวงมาลัยจนแน่น คิดว่าเขาคงจะตะเกียดตะกายหนีขึ้นรถก่อนจะถูกฉีกร่างจนขาดสองท่อน

 

     "เดี๋ยวก็ชินไปเองเชื่อซิ" หยกบอกกับต้นก่อนจะค่อยๆเดินเข้ามาในบ้าน

 

     เมื่อเข้ามาทั้งคู่ก็พบร่องรอยของความเสียหายที่เกิดขึ้นทิ้งเอาไว้เต็มบริเวณบ้าน ข้าวของที่เคยจัดเป็นระเบียบกลับถูกทำลายกระจัดกระจายปะปนไปกับซากศพของซอมบี้และศพของคนที่เคยอยู่ที่นี่ หยกยืนมองร่างไร้วิญญาณของคนที่เธอรู้จักหลายคนที่เสียชีวิตที่นี่

 

     "หลายคนที่ตายที่นี่เป็นคนดี พวกเราช่วยเหลือกันและกันมาตลอดหลายเดือนที่นี่ ฉันอยากจะร้องไห้ออกมานะ แต่น้ำตามันกลับไม่ไหลออกมาสักหยด" หยกพูดกับต้นโดยไม่หันมามองทางเขา

 

     "พี่พูดเองไม่ใช่หรอ ว่าเราทำได้แค่เอาตัวรอด คงไม่มีใครโทษหรอกที่ทำแบบนี้" ต้นพูดสิ่งที่ตนคิด ซึ่งนั่นก็ไม่ได้ช่วยให้หยกสบายใจขึ้นเลยในความคิดของเธอ

 

     "ไม่ต้องทำมาพูดดีเลย" หยกหันมาพูดด้วยสีหน้าไม่พอใจใส่ต้นก่อนจะเดินเข้าไปในบ้าน เธอหยิบถุงพลาสติกขนาดใหญ่ขยำเป็นก้อนปาใส่ต้นที่ยืนดูศพซอมบี้ "เก็บของที่พอจะเอาไปใช้ได้มาด้วย ไม่แน่เราอาจจะต้องใช้พวกมันถ้างานนี้เราทำพลาด" เธอพูดจบหญิงสาวก็เดินเข้าไปในบ้าน

 

     "ถ้าพลาดก็คงต้องอยู่ที่นี่ไปตลอดชีวิตนั่นล่ะ" ต้นบ่นด้วยความไม่พอใจระหว่างเดินตามหลังหยกไป

 

     "เงียบก่อน...." หยกบอกต้นที่เดินตามมา

    

     เมื่อทุกอย่างอยู่ในความเงียบต้นก็ได้ยินเสียงกึกกักเหมือนเสียงของอะไรบางอย่างกะทบกันเบาๆด้านในบ้าน

 

     "อาจจะมีซอมบี้อยู่ระวังตัวด้วย" หยกบอกต้น

 

     "หรืออาจจะเป็นผู้รอดชีวิต" ต้นออกความเห็น

 

     ทั้งคู่เดินตามหาต้นเสียงจนขึ้นไปบนชั้น2ของบ้าน หยกเดินไปที่ห้องๆหนึ่งที่เกิดเสียง โดยมีต้นค่อยๆเดินตามมาติดๆ

 

      "ห้องอยู่ทางนี้" ต้นกระซิบบอกหยกเมื่อเขาผ่านห้องนอนที่ตนเคยนอนและลืมสมุดคู่มือเอาไว้ที่นั่น

 

      "งั้นนายไปเอาสมุดคู่มือ เดี๋ยวฉันจะไปดูทางนั้นว่าเป็นอะไร" หยกบอกกับต้นก่อนจะแยกย้ายกันไป

 

      ต้นรีบวิ่งเข้าไปในห้องนอนทันที ซึ่งเมื่อเข้ามาเขาก็ต้องตกใจสุดขีด เมื่อพบศพเด็กชายที่ตนเคยคุยด้วยเมื่อตอนนั้นนอนจมกองเลือดสภาพแขนขาดท่อนล่างถูกกินจนเละ เขาอยู่ในสภาพซอมบี้ที่ทำได้เพียงเอื้อมมือตะกายลมมาทางต้นเมื่อเห็นเขาเข้ามาในห้อง

 

      "บ้าเอ๊ย!!!" หยกที่เดินตามมาทีหลังผงะตกใจอุทานออกมาเมื่อเห็นภาพเดียวกันกับที่ต้นเห็น

 

     "เอาไง" ต้นถามหยกเมื่อเห็นสภาพน่าสมเพชของเด็กชายที่กลายเป็นซอมบี้

 

      "รีบเอาคู่มือแล้วไปจากที่นี่" หยกบอกกับต้น ขณะที่เธอยืนดูร่างซอมบี้ที่พยายามตะเกียดตะกายดันเองเองให้ล้มและคลานมาหาหยกเพื่อกินเธอ

 

      ต้นรีบไปหาสมุดคู่มือและเปิดอ่านมันทันทีเพื่อความมั่นใจ เขารีบร้อนเปิดไปอย่างรวดเร็วเพื่อหาหน้าที่เกี่ยวกับพลังงานของเครื่องยนต์

 

       "พลั๊ก!!!" ระหว่างที่ต้นกำลังรีบร้อนอ่านคู่มือก็มีเสียงของวัตถุของแข็งกระทบกันอย่างแรง จนต้นสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียง ก่อนจะหันไปดูทางต้นเสียงก็พบว่าหยกนั้นใช้ไม้เบสบอลพสดใส่หัวซอมบี้เด็กชายจนตายคาที่

 

      "ฉันทำดีที่สุดแค่นี้" หยกบอกกับต้น

 

     "เจอแล้ว พลังงานของเครื่องเดินทางข้ามเวลา ทุกครั้งที่เดินทางข้ามเวลาต้องใช้น้ำมันเบ็นซินเต็มถังและเปลี่ยนแบตเตอร์รี่ใหม่ทุกครั้งหลังเดินทาง ทุกอย่างมีอยู่ที่ท้ายรถ เพื่อเอาไว้ใช้ในกรณีฉุกเฉินเมื่อไปในยุคที่ไม่มีสองสิ่งนี้" ต้นอ่านออกเสียงให้หยกฟัง

 

      "รอบคอบสมเป็นคุณตาจริงๆ" หยกพูดชมก่อนที่ทั้งคู่จะรีบออกไปจากบ้านเมื่อได้สิ่งที่ต้องการ

 

     หยกพาต้นมาที่รถและขับไปตามถนนเพื่อมุ่งหน้าพาต้นกลับมาที่รถที่บ้านของปู่

 

     "ตั้งแต่เรียนจบก็ย้ายออกมาอยู่คนเดียวเพราะทะเลาะกับแม่ วันที่เกิดเรื่องก็รีบมาหาพ่อกับแม่ที่บ้าน แต่ดันเจอท่านในสภาพซอมบี้เลยจัดการส่งพวกเขาไปสู่สุขคติ พูดแล้วรู้สึกผิดยังไงไม่รู้" หยกพูดกับต้นระหว่างขับรถบนถนนที่มีแต่สิ่งกีดขวางทั้งรถทั้งศพและซากความเสียหาย จนบางครั้งหยกต้องขับขึ้นมาบนฟุตบาทและหลายครั้งก็ต้องขับรถชนซอมบี้ที่วิ่งมาชนรถหรือตัดหน้าโดยหลีกเลี่ยงไม่ได้

 

      "เธอขับรถเก่งจัง" ต้นพูดชมจากใจ เพราะระหว่างที่รู้จักกันนั้นหยกสามารถขับรถได้อย่างคล่องแคล่วแม้ถนนจะเต็มไปด้วยสิ่งกีดขวางก็ตาม

 

       "ขอบใจ พอดีชอบเล่นเกมแข่งรถน่ะ สมัยนายคงจะยังไม่มีเกมแข่งรถสมจริงแบบสมัยนี้ เอาไว้นายก็คงรู้เอง" หยกพูดจบเขาก็เหยียบคันเร่งชนซอมบี้ตาย2ตัวบนถนน

 

       "มะไม่เป็นไร" ต้นตกใจทุกครั้งที่ขับรถชนซอมบี้

 

       "ถ้ากลับไปได้คงจะต้องไปขอโทษแม่ที่ทำแบบนั้นลงไป" หยกกดปุ่มปัดน้ำฝนล้างคราบเลือดที่ติดกระจกระหว่างพูด "นายคิดว่าเราจะเปลี่ยนแปลงอดีตได้ไหม ถ้าฉันย้อนตัวเองไป1ปีก่อนหน้านี้"

 

      "ไม่รู้เหมือนกัน แต่ปู่สั่งว่าเราห้ามย้อนกลับไปอดีต เพราะปัจจุบันอาจเปลี่ยนแปลงหรืออาจทำให้มิติเวลาบิดเบี้ยวจนแก้อะไรไม่ได้" ต้นบอกกับหยก "ในคู่มือก็เขียนแบบนั้น" เขายื่นหน้าที่เขียนประโยคนี้ให้หยกดูเพื่อยืนยันสิ่งที่ตนพูด

 

      "กฏการย้อนเวลาคือห้ามไปเปลี่ยนแปลงอดีต และห้ามให้เราเจอตัวของเราเองในยุคนั้นๆเพราะเราไม่รู้ว่ามิติเวลาจะบิดเบี้ยวหรือเกิดอะไรขึ้นบ้าง" หยกอ่านประโยคในคู่มือระหว่างขับรถ

 

      "ระวัง!!!" ต้นบอกหยกเมื่อเห็นซอมบี้ตัดหน้ารถก่อนถูกชนอย่างจัง

 

      "แต่ฉันไม่ได้ย้อนไปอดีตนะ ถ้ายุคของนายคือปัจจุบัน และตอนนี้คืออนาคต ก็แปลว่านายก็แค่ส่งฉันไปอนาคตย้อนหลังเท่านั้น และถ้ามันเกิดอะไรขึ้นสิ่งๆนั้นก็ยังมาไม่ถึง และถ้านายกังวลว่ามันจะเกิดขึ้น นายก็แค่ย้อนเวลากลับมาก่อนหน้าที่พวกเราจะไปเพื่อกันไม่ให้มันเกิดขึ้นก็ได้แค่นี้เอง ฉันเคยดูในหนังเกี่ยวกับย้อนเวลาบ่อยๆ ในการ์ตูนโดเรม่อนก็มีพูดถึงนายน่าจะเคยอ่าน" หยกอธิบายถึงเรื่องการข้ามเวลา

 

      "งั้นหรอ...." มันยากที่เด็กชายอายุ15จะเข้าใจเรื่องราวเกี่ยวกับการย้อนเวลา

 

      "เอางั้นซิ ไม่แน่ฉันอาจจะหาต้นตอของเรื่องที่เกิดขึ้นมาก็ได้ใครจะรู้ แต่ถ้าฉันทำไม่สำเร็จซึ่งนายก็คงไม่รู้หรอกว่าสำเร็จรึเปล่า นายก็เตรียมพร้อมทุกอย่างเอาไว้ด้วย และก็หาทางทำทุกอย่างให้ฉันเชื่อเรื่องนี้ให้ได้ไม่ว่าอย่างไรก็ตามเข้าใจไหม และบอกฉันในอดีตด้วยว่าอย่าติดเพื่อนและเรียนใหจบชีวิตจะดีกว่านี้ และเตรียมพร้อมรับมือกับซอมบี้ในอนาคตด้วย" หยกย้ำกับต้น

 

      "จะพยายาม"ต้นบอกกับหยก

 

      "ขอบใจ ฉันดีใจนะที่ได้เจอนายอีกครั้งเพื่อน" หยกพูดยิ้มๆกับต้นอย่างจริงใจ    

 

      ทั้งคู่มาอยู่ที่บ้านของปู่ต้นได้อย่างปลอดภัย ทั้งสองคนรีบเข้าไปที่โรงรถผ่านหมาหุ่นยนต์ที่ยืนพังอยู่หน้าบ้านโดยอ้อมไปทางหลังบ้าน

 

       "นี่ล่ะเครื่องเดินทางข้ามเวลา" ต้นบอกกับหยก "เราต้องรีบแล้วถ้าจะไป" ต้นเปิดท้ายรถและเอาถังน้ำมันกับแบตเตอร์รี่ออกมาเปลี่ยน

 

       "นายไม่อยากรู้หรอว่าตอนนี้นายเป็นอย่างไรบ้าง คุณตาปู่นายเป็นอย่างไร" หยกถามระหว่างเติมน้ำมัน

 

       "ไม่ล่ะ" ต้นบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง "ตอนนี้ผมอาจจะเป็นซอมบี้เดินอยู่ตรงไหนซักแห่งแน่ๆ ส่วนคุณปู่ก็....คุณปู่...!!!" ต้นพูดไม่ทันจบเขาก็เห็นปู่ของตนเดินออกมาจากบ้าน

 

       "อย่าเข้าไป!!!" หยกห้ามต้นเอาไว้ทัน เพราะปู่ของต้นกลายเป็นซอมบี้ไปแล้ว

 

       "ก๊ากกกกกกกกกกกกกกก!!!" ปู่ของต้นที่เป็นซอมบี้ร้องเสียงดังเรียกพวกซอมบี้ตัวอื่นให้มาที่นี่

 

       "บ้าเอ๊ย...!!! เร็วเข้า พวกมันจะแห่กันมาอยู่แล้ว!!" หยกรีบเอาไม้เบสบอลฟาดใส่ปู่ของต้นที่เป็นซอมบี้เมื่อเขาร้องไม่ทันจบ

 

       "เสร็จแล้ว!!!" ต้นปิดฝาและรีบเข้ามาในรถและตั้งเวลาย้อนกลับไป1ปี คือวันที่3กันยายนปี2014

 

      "พร้อมก็ไปกันเลย!!!" หยกที่วิ่งเข้ามาในรถบอกกับต้นด้วยน้ำเสียงรีบร้อน เมื่อข้างนอกเริ่มมีซอมบี้ที่ได้ยินเสียงของปู่เริ่มทยอยมาที่เป็นจำนวนมาก

 

       "ก๊ากกกกกกกกกก ก๊ากกกกกกกกกกกกก!!!" ซอมบี้หลายสิบตัวร้องตะโกนวิ่งเข้ามาที่รถอย่างบ้าคลั่งหลายสิบตัว ทุกตัวพยายามจะพังรถเพื่อเขาไปจับคนทั้งสองออกมากิน

 

      "แต่พวกซอมบี้ที่เกาะรถล่ะ!! เราอาจพามันไปอดีตด้วย" ต้นตะโกนออกมาด้วยความเป็นห่วง

 

      "เรื่องนั้นช่างมันก่อนเถอะ!!! ไปเดี๋ยวนี้เร็วเข้า!!!" หยกตะคอกใส่ต้นด้วยความโมโห ขณะที่รถถูกเขย่าอย่างรุนแรงด้วยฝีมือของซอมบี้

 

      "เอาไงเอากัน!!!" ต้นตะโกนเสียงดังก่อนกดปุ่มข้ามเวลาทันทีและเหยียบคันเร่งทันที!!!

 

      "วู๊บบบบบบบ วู๊บบบบ!!!" ข้างนอกรอบๆตัวรถเต็มไปด้วยความว่างเปล่า ซอมบี้ที่เกาะรถหายไปจนหมดขณะที่รถเขย่าอย่างรุนแรงเหมือนตอนขามา

 

      "กรุณาอย่าเปิดประตูระหว่างเดินทางข้ามเวลา" เสียงหญิงสาวดังทางลำโพงระหว่างเดินทางข้ามเวลา

 

       "มันสั่นแบบนี้ใช่ไหมตอนนายมา" หยกถามต้นด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล

 

      "ประมาณนั้น"ต้นบอก ก่อนจะมีแสงสว่างที่ปลายทางในความมืดจนทั้งสองแสบตา

 

      "ยินดีต้อนรับสู่วันที่3กันยายนปี2014"เสียงหญิงสาวในรถบอกคนทั้งสอง

 

      ทั้งคู่มองหน้ากันโดยไม่พูดอะไรก่อนจะลงไปจากรถอย่างช้าๆและระมัดระวังตัว แต่ภายนอกรถนั้นไม่มีซอมบี้เลยแม้แต่ตัวเดียว

 

      "ทำอะไรกันน่ะพวกเธอ!!!" เสียงปู่ของต้นที่แก่ชรามากแล้วพูดเสียงดุใส่คนทั้งสองเมื่อเห็นเขาออกมาจากรถ

 

      "เย้!!!เราทำสำเร็จแล้ว!!!" หยกกับต้นกอดกันด้วยความยินดีเมื่อเห็นปู่ของต้นที่สภาพเป็นคน

 

      "พวกเธอเดินทางมาจากอดีตกันใช่ไหม พวกเธอไปเปลี่ยนอะไรมารึเปล่า!!! มิติเวลาอาจบิดเบี้ยวได้นะถ้าทำแบบนั้น" ปู่ของต้นบ่นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจเป็นอย่างมาก

 

      "หนูเดินทางมาจากอนาคต ส่วนตานี่เดินทางมาจากอดีตคะ เอาไว้หนูจะเล่าให้ฟังนะค่ะคุณตา" หยกพูดกับกับปู่ของต้นระหว่างเติมน้ำมันรถ ขณะที่ต้นเปลี่ยนแบตเตอร์รี่รถ

 

       "เรียบร้อย" ต้นบอกกับหยก ขณะที่ปู่ของต้นยังบ่นไม่หยุด

 

       "ขอบใจที่ช่วยนะเพื่อน" หยกพูดยิ้มๆกับต้น

 

       "ไม่เป็นไร แล้วเจอกันในอนาคต" ต้นพูดยิ้มๆตอบ

 

       "ถ้าตัวฉันตอนนี้อาจจะใช่ แต่ถ้าตัวฉันในอดีตเดี๋ยวพรุ่งนี้นายก็เจอที่โรงเรียนแล้ว อย่าลืมที่บอกไปล่ะ" หยกปิดประตูเมื่อส่งต้นขึ้นรถ

 

      "ใช่เธอพูดถูก แล้วเจอกันนะ ลาก่อน" ต้นโบกมือลาก่อนจะตั้งเวลาในการเดินทางเพื่อกลับบ้าน ทิ้งหยกกับปู่ไว้ในเวลานี้

 

       "วู๊บ....ฟู๊....!!!" ขอต้อนรับสู่ปัจจุบันคะ" เสียงหญิงสาวในรถบอกกับต้น ซึ่งต้นตั้งเวลาให้ตนเองกลับมาในช่วงที่ต้นเพิ่งย้อนเวลาไปไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้

 

      "กลับมาได้แล้ว ไชโย...!!!" ต้นตะโกนด้วยความดีใจก่อจะเอาสเก็ตที่เอามาด้วยจากในรถ และวิ่งออกมาจากบ้านของปู่ทันทีด้วยความดีใจ

 

      ระหว่างทางเขาพบหยกที่ตอนนี้ยังเป็นเด็กหญิงรุ่นเดียวกับตนกำลังฝึกขี่จักรยาน ต้นก็รีบไปช่วยพยุงก่อนล้มทันที

 

      "ไม่ต้องมาช่วยเลยไอ้บ้า!!!" หยกตะโกนว่าต้น "นายไปทำอะไรมาเสื้อผ้าเปื้อนไปหมดตัวก็เหม็นด้วย" หยกว่าต้น

 

      "พอดีไปเที่ยวอนาคตมาน่ะไม่มีอะไรหรอก" ต้นมองตาหยกแล้วยิ้มให้เธอ "พรุ่งนี้เจอกันที่โรงเรียนนะ ฉันมีอะไรจะบอกเธอมากมายเลย ไปก่อนนะ บาย...." ต้นพูดจบก็วิ่งจากไปด้วยรอยยิ้ม ทิ้งให้เด็กหญิงงุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้นโดยไม่รู้อะไร

 

      "ผมเองก็ไม่รู้หรอกนะว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร แต่ผมจะเตรียมพร้อมรับมือถ้ามันจะเกิดขึ้น" ต้นบอกกับตัวเองระหว่างวิ่งขึ้นรถเมล์ไปบนถนนด้วยรอยยิ้ม

เนื้อหาโดย: yongyee
⚠ แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม 
yongyee's profile


โพสท์โดย: yongyee
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
เงินดิจิทัล 10,000 บาท เฟส 3 มาแน่! คนทั่วไปรับผ่านดิจิทัลวอลเล็ต กระตุ้นเศรษฐกิจปี 2568“สุขภาพดี โลกดี” 5 หนทางปรับพฤติกรรม สู่การมีสุขภาพดีอย่างยั่งยืน (Sustainable Wellness)เด็กชายทรมานจากการหายใจลำบากและมีกลิ่นเหม็นในจมูกมา7ปี  กว่าจะรู้สาเหตุเคล็ดลับ บำรุงผิวหน้าหนาว แก้ปัญหา “ผิวแตก” ดูแลผิวให้ชุ่มชื้นตลอดวัน"เหมือนเป๊ะ! แตงโมจัดเต็มโคฟเวอร์ 'เจ๊มิ่ง' แซ่บเวอร์ทุกดีเทล"ชาวต่างด้าวข้ามฝั่งมาคลอดฟรี คนไทยเสียงแตก งานนี้ใครได้ ใครเสียคลิปไวรัล คุณยายวัย 95 ปี หัวเราะจนหงายหลัง ชาวเน็ตเเห่ถามคุณยายเป็นอะไรน้ำใจยิ่งใหญ่! หนุ่มไร้เงินขอติดรถกลับบ้าน เจอผู้ให้เต็มคันสุดอบอุ่น20 แคปชั่นกวางเรนเดียร์ ฮาๆ น่ารักๆ แคปชั่นกวางน้อย กวางเหลียวหลัง อ่อยๆโบราณสถานอายุกว่า 1,300 ปี แห่งไซบีเรีย ซึ่งเต็มไปด้วยปริศนาที่รอคำตอบอย่าท้าทายระบบ! "สารวัตรแจ๊ะ" เผยสาเหตุที่ต้องใส่แมสก์ และสวมหมวกตลอดเวลาBaby V.O.X เกิร์ลกรุ๊ประดับตำนานของเกาหลี คัมแบ๊กในรอบ 14 ปี นำโดย 'ยุนอึนเฮ'
Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
รีบมา! คืนนี้วันสุดท้ายแล้ว "ตำรวจตกน้ำ" ไวรัลสุดเสียวกาชาด 2567 หล่อ เปียก ฮา พุ่งกระจาย!อย่าท้าทายระบบ! "สารวัตรแจ๊ะ" เผยสาเหตุที่ต้องใส่แมสก์ และสวมหมวกตลอดเวลาสั่งพักงานยกชุด! 18 ตำรวจจราจร ปมตั้งโต๊ะจับปรับ 'เจอจ่ายจบ'"ร่วมส่งใจ อาเป็ด เชิญยิ้ม แอดมิตด่วน เจอพิษ “โนโรไวรัส” ยังไม่มียา-วัคซีน ชวนป้องกัน กินสุกลดเสี่ยง ล้างมือบ่อย #ลดเสี่ยงโรคโบราณสถานอายุกว่า 1,300 ปี แห่งไซบีเรีย ซึ่งเต็มไปด้วยปริศนาที่รอคำตอบ
กระทู้อื่นๆในบอร์ด นิยาย เรื่องเล่า
โบราณสถานอายุกว่า 1,300 ปี แห่งไซบีเรีย ซึ่งเต็มไปด้วยปริศนาที่รอคำตอบโบสถ์เซนต์แมรี่แห่งไซออน, เอธิโอเปียเขาพระวิหาร: สัญลักษณ์แห่งความงดงามและความขัดแย้งภาพสุดท้าย
ตั้งกระทู้ใหม่