เรื่องสั้นกรุงเทพเมืองซอมบี้ ตอนที่ 17 ที่นี่ที่ไหน (ตอนจบ)
ตอนที่ 17 เจาะเวลาหาซอมบี้
ปีคศ 1995 หรือ พศ 2538 อดีต(ปัจจุบัน)ก่อนเกิดเหตุซอมบี้ครองโลก20ปี
ต้นเด็กชายวัย15วิ่งออกมาจากโรงเรียนในชุดพละ เขาสวมรองเท้าสะเก็ต(รองเท้าผ้าใบที่มีล้อใหญ่ๆ4ด้านเหมือนรถยนต์และเป็นตุ่มยางอยู่ด้านหน้าเอาไว้เบรก) วิ่งออกมาจากอาคารเรียนอย่างความเร็ว ที่หูของเขามีซาวด์อะเบาท์(เครื่องเล่นเทปแบบพกพา) เพลงที่เขากำลังฟังคือเพลงของนักร้องวัยรุ่นชื่อดัง บอยสเก๊าท์
ที่อาคารเรียนกลุ่มเด็กนักเรียนหญิงกำลังเล่นกระโดดหนังยางกันอย่างสนุกสนาน นักเรียนชายหญิงหลายคนเปลี่ยนรองเท้านักเรียนของตนมาสวมรองเท้ายี่ห้อ scholl ร้องเท้าเตะยี่ห้อดังในยุคนั้น ขณะที่นักเรียนหญิงคนอื่นๆก็เล่นตบแปะนางเงือกน้อยขณะที่นักเรียนชายก็กำลังเล่นดีดลูกแก้วหรือไม่ก็เตะบอลเล่นบาสในสนาม
"เฮ้ย...ต้นพรุ่งอย่าลืมไปซื้อBOOMมาอ่านนะเว้ย ดราก้อนบอลกำลังสนุกเลย" เด็กชายที่สนามบาสตะโกนบอกต้นเมื่อเห็นเขาวิ่งผ่านมา
"ได้เลย พรุ่งนี้จะรีบไปจองหน้าร้านแต่เช้า ใครจะพลาดตอนมันๆแบบนั้นได้!!! ต้นตะโกนบอกก่อนจะออกนอกโรงเรียน
บนถนนในกรุงเทพในยุคนั้นเต็มไปด้วยรถรามากมายไม่ต่างกับสมัยนี้ ต้นรีบกระโดดขึ้นบนรถเมล์อย่างรวดเร็วเมื่อเห็นรถสายที่ตนเองจะไปมาจอดที่ป้าย เด็กชายจ่ายเงินค่าโดยสาร3.50เพื่อเป็นค่ารถ
เขาเปลี่ยนรองเท้าสเก๊ตเป็นรองเท้าเตะschollสีฟ้า และเปลี่ยนเทปเพลงมาฟังเพลงร๊อคของวงหินเหล็กไฟ ก่อนจะรีบลงจากรถเมื่อเดินทางมาถึงป้ายที่ตนเองต้องการหลังจากนั้นราวๆ15นาที
เขาเดินกึ่งวิ่งจากรถเมล์มาที่บ้านเก่าๆหลังหนึ่งในซอยเล็กๆ ที่หน้าบ้านมีหมาหุ่นยนต์ที่เหมือนหุ่นกระป๋องที่ทำจากเศษเหล็กตัวหนึ่งเห่าเสียงดังเมื่อเห็นต้นเดินเข้ามาในรัศมี
"เงียบไปเลยเจ้าด่างนี่ฉันเอง!!!" ต้นตะโกนใส่เจ้าหมาเศษเหล็กจนมันเงียบเสียงเมื่อรู้ว่าคนๆนั้นคือใคร
"ต้น!!! มาแล้วรึ!!!" เสียงตะโกนด้วยความดีใจของชายแก่คนหนึ่งดังขึ้นมาจากในบ้านเก่าๆโทรโทรมๆ พร้อมกับรอยยิ้มที่เปื้อนบนใบหน้าเหี่ยวชราผมหงอกขาวฟูไม่เป็นระเบียบของชายแก่ในชุดกราวแบบนักวิทยาศาสตร์
"แม่บอกผมเมื่อเช้าว่าปู่อยากเจอ" ต้นพูดกับชายแก่ด้วยท่าทางไม่ค่อยพอใจ ระหว่างเดินเข้ามาในบ้านที่เต็มไปด้วยสิ่งประดิษฐ์มากมาย ที่ดูเหมือนไร้ประโยชน์ที่ปู่ของเขาเป็นคนสร้างมันขึ้นมา ปู่ของต้นเป็นนักประดิษฐ์แต่ไม่เคยสร้างผลงานเป็นชิ้นเป็นอันได้เลยซักครั้งแต่ต้นจำความได้
"ใช่ๆ ปู่โทรไปบอกแม่แกเองล่ะว่าเย็นนี้ให้แกแวะมาหาปู่ เพราะปู่มีอะไรจะให้แกดู!!!" ชายแก่วัยเกือบ70ปีโอบไหล่หลานชายให้เดินออกมาจากบ้าน ผ่านมาทางข้างบ้านเพื่อไปยังโรงเก็บของเก่าที่อยู่หลังบ้านของปู่
"หวังว่าคงไม่ใช่โทรศัพท์ที่เล่นอินเตอร์เน็ตได้นะครับ คราวที่แล้วมันระเบิดใส่ผมจนเกือบผมไหม้ไปทั้งหัวไปทีหนึ่งแล้ว" ต้นพูดด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยชอบใจกับสิ่งที่ปู่ของตนทำ เพราะตั้งแต่เด็กปู่ของต้นมักจะประดิษฐ์สิ่งของที่เป็นอันตรายกับครอบครัวมาให้ทดลองเสมอ และครั้งนี้ก็คงเหมือนทุกครั้งที่ต้นถูกโทรตามมา เพื่อให้ทดลองสิ่งประดิษฐ์ของปู่
"เรื่องโทรศัพท์เล่นอินเตอร์เน็ตได้มันเป็นเรื่องกระจิดลิดไปเลยถ้าเทียบกับสิ่งที่ปู่จะให้แกได้ดู" ชายแก่จูงหลานชายมาที่หลังบ้านด้วยท่าทางยิ้มแย้มเหมือนทุกๆครั้งที่เขาสร้างสิ่งของใหม่ๆได้
"หวังว่าคราวนี้มันคงจะไม่ระเบิดหรอกนะครับ" ต้นถูกปิดตาก่อนจะถูกพาเดินมาที่หลังบ้าน
"ไม่แน่นอน คราวนี้ปู่รัปประกันเลยว่ามันต้องไม่ระเบิด เพราะปู่คำนวนมาดีเรียบร้อยแล้ว" ชายแก่พูดยิ้มๆด้วยท่าทางร่าเริง
"คราวที่แล้วก็พูดแบบนี้" เด็กชายบ่นดังๆก่อนจะเดินมาถึงหลังบ้านทั้งที่ถูกปิดตา
"แต่แต๊!!! นี่คือสิ่งประดิษฐ์ชิ้นล่าสุดของปู่!!!" ชายแก่เปิดตาต้นพร้อมกับตะโกนเสียงดังด้วยความภูมิใจเมื่อได้โชว์สิ่งประดิษฐ์ของตน "ปู่ขอเรียกมันว่า เครื่องเดินทางข้ามเวลา!!!T800" ชายแก่เดินมาลูบรถTOYOTA AE86รถรุ่นใหม่ที่ถูกเปลี่ยนรูปร่างไปจากเดิมจนแทบไม่เหลือเค้าโครงเดิมของรถอยู่เลย
"นี่ปู่บ้าไปแล้วหรอเนี้ย!!! นี่มันรถรุ่นใหม่ล่าสุดจากญี่ปุ่น แต่ปู่เอามาปูยี้ปูยำจนกลายเป็นรถกระป๋องอะไรก็ไม่รู้!!!" เด็กชายบ่นดังๆด้วยความโมโห "ผมว่าพ่อกับแม่รู้คงกรี๊ดแตกแน่ๆที่ปู่แอบซื้อรถมาทำแบบนี้" เด็กชายมองมาทางปู่ด้วยท่าทางไม่พอใจ
"อย่ามามองแบบนั้น ปู่ไม่ได้ขโมยเงินแม่แกมาแบบคราวที่แล้วหรอกนะ คราวนี้ปู่ขายสิทธิบัตรโทรศัพท์พกพาเคลื่อนที่ที่สามารถเล่นอินเตอร์เน็ตไร้สายดูหนังฟังเพลงได้ในเครื่องเดียวไปต่างหาก" ชายแก่พูดอย่างภูมิใจเมื่อสามารถทำเงินกับสิ่งที่ตนคิดได้เป็นครั้งแรก
"ไอ้ไอเดียประหลาดล้ำโลกที่ไม่มีทางเป็นจริงแบบนั้นมันขายได้ด้วยหรอเนี้ย!!! ทั้งที่มันเกือบระเบิดผมตายไปแล้วนั่นนะ!!!" ต้นแทบไม่เชื่อในสิ่งที่ปู่ของเขาพูด
"เรื่องนั้นช่างมันก่อน ประเด็นคือเจ้าสิ่งนี้ต่างหาก มันคือผลชิ้นโบว์แดงของปู่เอง มันคือเครื่องเดินทางข้ามเวลาที่ปู่คิดค้นขึ้นมาเมื่อหลายปีก่อน แต่กว่าจะสำเร็จเป็นรูปเป็นร่างได้ก็ตอนนี้นี่เอง" ชายแก่พูดยิ้มๆด้วยความภูมิใจเมื่อได้โชว์สิ่งประดิษฐ์แก่หลานชาย
"นี่มันเลียนแบบหนังเรื่องเจาะเวลาหาอดีตชัดๆ ปู่อย่ามาโม้ผมดีกว่า" ต้นบ่นๆดังๆด้วยความไม่พอใจ เขาเดินดูรถคันสวยที่กลายเป็นรถหน้าตาแปลกๆด้วยความไม่แน่ใจ "ปู่ทดลองขับมันดูรึยังว่าวิ่งได้รึเปล่า" ชายหนุ่มหันมาถามปู่
"โธ่ๆๆ นึกว่าแกจะพูดว่ามันย้อนเวลาได้จริงรึเปล่า ดันถามว่ามันวิ่งได้รึเปล่า ผิดหวังสุดๆเลยขอบอก" ชายแก่พูดเสียงเบาๆด้วยความน้อยใจ "ปู่รึคำนวนแล้วคำนวนอีกกว่าจะได้รถคันนี้ออกมา แต่แทนที่แกจะให้กำลังใจกลับมาพูดแบบนี้"
"อ่ะ อ่ะ ขอโทษแล้วกันครับคุณปู่สุดที่รัก เอาเป็นว่าผมเชื่อแล้วกันว่าปู่ทำเครื่องเดินทางข้ามเวลาได้จริง" ต้นแกล้งเชื่อเพื่อให้กำลังใจชายแก่แม้จะรู้ว่ามันไม่มีทางเป็นจริงอย่างแน่นอน
"พูดแบบนี้มาปลอบใจคนแก่มันไม่ช่วยอะไรหรอก" ชายแก่คิ้วขมวดพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ "ถ้าไม่มีหลักฐานแกคงจะไม่เชื่อปู่ใช่ไหม" ชายแก่หันมาพูดกับต้นที่กำลังยืนเกาหัวด้วยท่าทางเซ็งๆ
"ก็เชื่อนี่แล้วไงครับ ปู่จะเอาอะไรอีก" ต้นพูดไม่ทันจบชายแก่ก็โยนบางสิ่งบางอย่างให้กับต้น
"!!!???" สิ่งที่อยู่ในมือของชายหนุ่มมันคือวัตถุทรงสี่เหลี่ยมฝืนผ้าทำจากวัสดุกึ่งเหล็กกึ่งพลาสติดสีดำ ด้านหน้าเป็นกระจกราบเรียบมีปุ่มทรงวงกลมอยู่ด้านล่างกระจกสีดำและด้านหลังมีสัญญาลักษณ์รูปแอปเปิ้ลถูกกัด
"เจ้านี่มันเรียกว่าไอโฟน6S แกลองกดปุ่มดู" ชายแก่พูดยิ้มๆเมื่อบอกให้ต้นกดปุ่มให้หน้าจอทำงาน
เมื่อต้นกดปุ่มวงกลมด้านล่างของจอ เขาก็พบหลายสิ่งหลายอย่างในนั้น ทั้งวิทยุ GPSดาวเทียม กล้องถ่ายรูป เครื่องเล่นเพลง วีดีโอหนังที่เขาไม่เคยดู ทั้งหมดอยู่ในเครื่องเล่นสิ่งเดียวในมือของต้น
"สุดยอดเลยครับปู่ มันคือเครื่องอะไรครับ!!!" ต้นตาถลึงโตถามชายแก่ด้วยความตื่นเต้นเมื่อไม่เคยเห็นสิ่งของอันน่าแปลกประหลาดแบบนี้มาก่อน
"มันคือโทรศัพท์" ชายแก่พูดยิ้มๆ
"โทรศัพท์อะไรปุ่มก็ไม่มี" ต้นสงสัยกับสิ่งนี้เป็นอย่างมาก
"ดูนี่เสียก่อน" ชายแก่กดกล้องถ่ายรูปถ่ายหน้าหลานชายตนเองแล้วให้เขาดูในจอ
"ปู่ทำได้ไง!!!??? ไม่ต้องใช้ฟิลม์ก็ถ่ายรูปได้แถมยังเห็นรูปเลยเหมือนกล้องโพราลอยเลย!!! เป็นไปได้ไง!!!" ชายแกอึ้งทึ้งงงเป็นอย่างมาก
"มันทำอะไรได้ตั้งหลายอย่าง มีทั้งเกมให้เล่น มีหนังให้เราดูในนี้ มีอินเตอร์เน็ตไร้สายให้เราติดต่อใครก็ได้ถึงเขาจะอยู่อีกซีกโลกก็ตาม แถมที่สำคัญที่สุดคือมันโทรได้ด้วย" ชายแก่พยายามกดโทรออกแต่ไม่สามารถทำได้ "อ้อ!!!ลืมไปว่าในยุคนี้โทรศัพท์เครื่องนี้ยังไม่ถูกสร้างมันเลยใช้งานไม่ได้ ต้องอีก18ปีต่อจากนี้ถึงจะใช้ได้" ชายแก่พูดไปยิ้มไป สายตาของเขามองไปทางหลานชายที่กำลังตกตะลึงกับสิ่งที่เห็น
"ปู่สร้างสร้างมันขึ้นมาเองหรอครับ!!!" ชายแก่ส่ายหน้าเมื่อต้นถาม
"จะว่าสร้างเองก็ไม่ถูก ต้องพูดว่าปู่ขายแบบแปลงความคิดให้คนที่สร้างไปถึงจะถูก" ชายแก่พูดอ้อมๆกับต้น
ต้นมองตาชายแก่ แววตาของเขาบ่งบอกถึงสิ่งที่คิดอยู่ในใจที่เขาไม่อาจจะเชื่อได้ "งั้นก็แปลว่าปู่ไปอนาคตมาจริงๆหรอ!!!" ต้นจับไหล่ปู่เขย่าด้วยความตื่นเต้น
"กะก็ใช่น่ะซิ หรือจะดูเงินที่ไปแลกมา ปู่เอาทองที่มีไปขายในยุคนั้นมา ทองแค่2บาทปู่ขายได้เงินเกือบ50000" ชายแก่โชว์เงินที่เป็นยุคปัจจุบัน(อนาคต)ให้หลานชายดู
"งั้นสิทธิบัตรโทรศัพท์พกพาที่ปู่ขายไป เพื่อเอาเงินมาซื้อรถปู่ก็เอาต้นแบบมาจากเจ้านี่ใช่ไหม" ต้นมองมาทางชายแก่อย่างรู้ทันนิสัยของเขา "ทำแบบนี้มันไม่ส่งผลถึงห้วงเวลาแบบในหนังหรอ ปู่ไปเปลี่ยนแปลงอนาคตแบบนั้น" ต้นพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
"จะว่าแบบนั้นมันก็ถูกแค่ครึ่งเดียว ปู่ก็แค่ซื้อเจ้าโทรศัพท์นี่มาแล้วก็แกะดูเครื่องในมันก่อนจะเขียนแบบแปลงคราวๆแล้วเอาไปเสนอขายกับคนที่ยอมซื้อ ปู่ไม่ได้เอาเจ้าโทรศัพท์นี่ให้เขาดู และอีกอย่างปู่ไม่ได้ย้อนไปอดีตแต่ปู่ย้อนไปอนาคตที่ยังมาไม่ถึง ซึ่งนั่นก็เท่ากับว่าสิ่งเหล่านั้นยังไม่เกิดขึ้น ก็เท่ากับว่าปู่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรเพราะอนาคตเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ตรงข้ามถ้าเราย้อยไปอดีตแล้วไปเปลี่ยนแปลงบางสิ่งเข้า มันอาจจะไปกระทบถึงห้วงเวลาซึ่งอาจจะทำให้มิติเวลาเปลี่ยนแปลงจนเกิดหลายสิ่งที่เราคาดไม่ถึงได้" ชายแก่อธิบายถึงกฏการย้อยเวลาให้หลานชายตนฟัง
"ฟังแล้วงงจัง" ต้นเกาหัวด้วยความสงสัย
"สรุปง่ายๆคือ เราจะไม่ย้อนไปอดีตเพราะมันอันตรายที่เราอาจจะเผลอไปเปลี่ยนอะไรเข้าโดยไม่รู้ตัว ตรงข้ามเราสามารถไปอนาคตได้เพราะมันยังไม่เกิดขึ้นเข้าใจรึยัง" ชายแก่ตบหัวหลานชายเบาๆเพื่อสั่งสอนเขา
"สรุปง่ายๆแบบนี้ก็รู้เรื่องแล้ว" ต้นบ่นดังๆด้วยความไม่พอใจ ก่อนจะหันมาสนใจรถที่เป็นเครื่องเดินทางข้ามเวลา "ปู่ครับผมขอไปอนาคตบ้างได้ไหม ผมอยากไปดูว่าตัวเองในอนาคตจะเป็นอย่างไร" ต้นพูดยิ้มๆกับชายแก่
"มันยังเร็วไปที่เด็กอย่างแกจะขับรถและล่วงรู้อนาคต เอาไว้โตกว่านี้แล้วปู่จะสอนวิธีใช้มันแล้วกัน" ชายแก่พูดยิ้มๆก่อนจะเอาผ้ามาคลุมรถเก็บไว้ตามเดิม
"ปู่ก็ เห็นแบบนี้ผมก็ขับรถเป็นแล้วนะจะบอกให้" ต้นช่วยปู่คลุมรถพร้อมกับอ้อนวอนทางสายตาให้ปู่ใจอ่อนยอมให้ตนใช้เครื่องเดินทางข้ามเวลา
"งั้นปู่พาผมไปก็ได้ ผมสัญญาว่าจะไม่ทำให้ปู่เดือดร้อนแบบคราวก่อนๆ" เด็กชายต่อรอง สายตาของเขาอ้อนวอนส่งกระแสความเห็นใจให้ช่ายแก่ แต่ดูเหมือนมันจะไม่ได้ช่วยอะไรเลยแม้แต่น้อย
"ไม่ได้แกยังเด็กไป อีกอย่างห้ามไปบอกเรื่องนี้กับใครอย่างเด็ดขาด เพราะถ้ามันตกไปอยู่ในมือของคนเลวมันจะยุ่ง" ชายแก่พูดด้วยสีหน้าจริงจังกับหลานชาย ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นยิ้มแย้ม "อยากพูดแบบนี้มาตั้งนานแล้ว" ชายแก่พูดเสร็จก็เดินจากไปทิ้งหลานชายยืนมองเครื่องเดินทางข้ามเวลาโดยไม่พูดอะไร
"ถึงไม่พูดก็ไม่บอกใครอยู่แล้ว ใครจะไปเชื่อเรื่องนี้กัน" ต้นพูดด้วยน้ำเสียงเซ็งๆเมื่อตนเองถูกห้าม
เขาเดินออกมาจากบ้านของชายแก่เมื่อไม่ได้ตามที่หวัง
"ระวัง!!!!" ไม่ทันที่ต้นจะเดินพ้นประตูรั้วของบ้าน เขาก็ได้ยินเสียงร้องตะโกนโวยวายด้วยความตกใจของหญิงสาว ก่อนที่เขาจะรู้ตัวและถูกจักรยานBMXคันใหม่ชนเข้าอย่างจัง
ทั้งต้นและหญิงสาวที่ขี่จักรยานต่างล้มลงไปกองบนพื้นด้วยด้วยความเจ็บปวด เขาลุกขึ้นยืนพร้อมกับเด็กหญิงที่พยายามยกจักยานคันเก่งของตนให้ตั้งตรงด้วยขาตั้ง และตรวจดูสภาพรถจักยานด้วยความเป็นห่วงแทนที่จะสนใจต้นที่เธอเป็นคนขี่รถไปชนเขา
"นี่แม่คุณ ขอโทษเป็นบ้างไหมขี่รถมาชนคนเขาล้มแบบนี้!!!" ต้นพูดเสียดุใส่เด็กหญิงรุ่นราวคราวเดียวกับตน หญิงสาวผมสั้นหยิกผิวคล้ำสวมแว่นและมีไฝที่ริ้มฝีปากซ้าย เธอหันมามองทางต้นก่อนจะหันมาดูรถต่อ
"ขอโทษ พอดีเพิ่งหัดขี่เลยทรงตัวไม่ดี" เด็กหญิงพูดโดยไม่มองมาทางเด็กชายแม้แต่น้อย
"พ่อแม่ใครสั่งใครสอนให้พูดขอโทษคนอื่นแล้วไม่มองหน้ากัน!!" ต้นพูดเสียงดุด้วยความโมโห
"ก็ขอโทษแล้วไงจะเอาอะไรอีก!!!" เด็กหญิงตะโกนกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ดังพอๆกัน จนปู่ของต้นได้ยินจึงออกมาดู
"มีอะไรกันเสียงดังโวยวาย" ชายแก่เดินเกาหัวออกมาจากบ้าน
"ก็เด็กคนนี้เค้าชนผม/หนู ทั้งที่หนูก็ขอโทษแล้ว/เด็กคนนี้มาชนผมก่อน" ทั้งคู่พูดพร้อมกันเพื่อฟ้องชายแก่
"พอเลยทั้งคู่ฟังไม่รู้เรื่องเลย ทั้งแกทั้งหนูหยก เอาน่ายอมๆกันไปจะได้จบเรื่อง" ชายแก่บอกกับเด็กทั้งสองคน
"เห็นแก่คุณตานะไม่งั้นหนูไม่ยอมจริงๆด้วย" เด็กหญิงพูดจบเธอก็ขึ้นคร่อมรถจักยานและขี่ส่ายไปมาจากไป แต่เธอก็ไม่ลืมที่จะหันมาแลบลิ้นใส่ต้นด้วยความไม่ชอบขี้หน้า
"ชิ ยัยขี้ริ้ว หน้าตาแบบเธอชาตินี้คงไม่มีใครเอา!!!" ต้นบ่นดังๆใส่เด็กหญิงที่ขี่จักยานจากไป
"แกก็ด้วยเลิกนิสัยขี้บ่นเป็นคนแก่ได้แล้ว" ชายแก่ดุหลานชายตน "เอานี่ไปเฝ้าบ้านให้ปู่ซักเดี๋ยว พอดีมีธุระแถวห้างเมอรี่คิง เดี๋ยวขากลับจะซื้อขนมมาให้เป็นค่าเฝ้าบ้าน" ชายแก่ส่งกุญแจบ้านให้ต้นเมื่อพูดจบ ก่อนจะเดินจากไปทิ้งหลานชายเอาไว้คนเดียวที่หน้าประตูรั้ว
"แบบนี้ก็เสร็จโก๋น่ะซี๊!!!" เด็กชายตะโกนดังลั่นบ้านด้วยความดีใจ เขาเปิดเทปเพลงหินเหล็กไฟที่เป็นเพลงร๊อคในยุคนั้นสนั่นลั่นบ้านจนเจ้าหมาหุ่นยนต์เฝ้าบ้านถึงกับเครื่องรวน เมื่อเจอเพลงร๊อคเสียงดังสั่นจงจรไฟฟ้า
"วู๊!!!! สะจายยยยย!!!" ต้นกระโดดโลดเต้มด้วยความสะใจเพลงแล้วเพลงเล่าจนข้างบ้านตะโกนพร้อมกับเขวี้ยงขวดรองเท้ามาใส่หลังคาด้วยความโมโห
"เสียงดังจังโว๊ยยยย!!! ฟังหวยไม่รู้เรื่องเลย!!!" สิ่งที่หญิงแก่ข้างบ้านตะโกนออกมาทำให้ต้นหยุดเหมือนเขาจะคิดอะไรบางอย่างออก
"วันนี้หวยออกอย่างงั้นหรอ....เดี๋ยวก่อนนะ" ต้นคิดในใจแต่พูดออกมาดังๆออกมาจากปากโดยไม่รู้ตัว "ถ้าเรานั่งเครื่องข้ามเวลาไปอนาคตแล้วไปซื้อหนังสือรวมหวยมาอ่าน แบบที่มาร์ตี้ในหนังเรื่อง back to the future ทำไม่แน่เราอาจจะรวยก็เป็นได้ แถมเรายังไม่ได้ไปเปลี่ยนแปลงอะไรเลยอีกต่างหาก เพราะอนาคตยังไม่เกิดขึ้นอย่างที่ปู่ว่ามา" ต้นคิดแบบเดียวกับในหนังดังเรื่อง back to the future เจาะเวลาหาอดีต ที่พระเอกไปซื้อหนังสือรวมกีฬาตลอด100ปีมาจากอนาคต แต่ถูกตัวโกงขโมยไปและเอาไปเล่นพนันกีฬาจนรวยเปลี่ยนแปลงปัจจุบันจนหมด ต้นจึงคิดจะทำแบบเดียวกัน
ต้นรีบวิ่งไปที่โรงจอดรถเขาเปิดผ้าคลุมรถออก เขาเปิดประตูโยนรองเท้าสเก็ตเข้าไป และนั่งลงในรถฝั่งคนขับด้วยความดีใจกับสิ่งที่กำลังจะทำในอีกไม่กี่นาทีต่อจากนี้
"เอ๋....??" ซึ่งเมื่อเข้ามานั่งในรถต้นก็ต้องงุนงงกับสิ่งที่เห็นบนแผงหน้าจอคอนโซนรถ ที่เต็มไปด้วยปุ่มต่างๆมากมายที่ตนเองไม่รู้ว่าปุ่มไหนถูกใช้ทำอะไรบ้าง
"ถ้าจำไม่ผิดปู่มักจะทำคู่มือเอาไว้เสมอนี่นา!!!" ต้นนึกออกถึงนิสัยของปู่ตนที่มักจะจดบันทึกทำคู่มือเกี่ยวกับการใช้สิ่งประดิษฐ์ของตนเอาไว้ทุกชิ้นพอสร้างเสร็จ เมื่อคิดได้แบบนั้นต้นก็รีบไปหาหนังสือคู่มือเล่มนั้นมาทันที่โต๊ะทำงานของปู่ตน
"เจอแล้ว!!" ต้นรีบอ่านคู่มือถึงปุ่มที่อยู่บนหน้าจอว่าใช้ทำอะไรบ้าง "ปุ่มนี้เป็นปุ่มเปิดปิดเครื่องยนต์รถ" พอต้นกดปุ่มรถก็สต๊ากเสียงดังขึ้นมาทันทีพร้อมกับแผงไฟที่บ่งบอกสถานะพร้อมทำงานที่หน้าจอ "ต่อไปก็กดปุ่มตั้งเวลา ห้ามย้อนไปเวลาที่ไกลเกินไปเพราะพลังงานอาจจะไม่เพียงพอต่อการเดินทาง และหลงอยู่ในห้วงเวลาจนไม่สามารถเดินทองออกมาได้" ต้นอ่านคู่มืออย่างละเอียด "ตอนนี้ปี2538ก็เท่ากับปี1995ถ้าไปอนาคตซัก20ปีตอนนั้นเราก็น่าจะอายุราวๆ34-35แล้วแน่ๆ แค่20ปีคงไม่ไกลเกินมั้ง" ต้นพูดกับตัวเองดังๆ
"สวัสดีค่ะด๊อกเตอร์สุดหล่อ วันนี้คุณจะเดินทางไปที่ไหนคะ" เสียงหญิงสาวดังขึ้นมาที่ลำโพงรถสร้างความตกใจให้ต้นเป็นอย่างมาก
"เอ่อ ผมไม่ใช่เอ่อ" ต้นรีบอ่านคู่มือเมื่อได้ยินเสียงรถพูดกับตน "เธอชื่อสิริเป็นโปรแกรมที่คอยเตือนเรื่องพลังงานกับเรื่องเวลาที่เราจะไป อ๋อ แบบนี้นี่เอง ไม่ต้องสนใจเสียงกดปุ่มตั้งเวลาเลย" ต้นอ่านในคู่มือก่อนจะกดตั้งเวลาตามที่คู่มือบอก
"วันที่3กันยายนปี2015 เวลาปรมาณ4โมงเย็นแล้วกัน" ต้นกดปุ่มตั้งเวลา "อืม....แล้วก็ต้องตั้งพิกัดบนจอสัมผัสตรงนี้" ต้นกดไปที่หน้าจอสัมผัสที่เป็นGPSบอกพิกัดที่จะไปในอนาคต ที่บอกเส้นทางถนนเป็นภาษาไทยแบบเดียวกับGPSในโทรศัพท์มือถือสมัยนี้(ปัจจุบัน)
"GPSจะบอกตำแหน่งที่คุณต้องการจะไปในอนาคต กรุณาเลือกสถานที่ค่ะ" เสียงหญิงสาวบอกต้น
"งั้นเอาเป็นที่บ้านปู่นี่ล่ะ 20ปีข้างหน้าหวังว่าบ้านคงยังอยู่" ต้นกดเลื่อนดูเส้นทางบนหน้าจอที่เป็นเส้นๆแบ่งสีบอกสถานที่ในอนาคตก่อนจจะเจอบ้านขอปู่ตนและปักหมุดตำแหน่งเอาไว้(ภาพประกอบการทำความเข้าใจ)
"พร้อมแล้วกรุณาคาดเข็มขัดเพื่อความปลอดภัย" เสียงหญิงสาวบอกตนให้รัดเข็มขัดนิรภัย
"เมื่อพร้อมให้เหยียบคันเร่งรถจะพุ่งออกไปสู่อนาคตทันที ขอให้สนุกกับการเดินทาง" ต้นพูดจบเขาก็เหยียบคันเร่งทันทีตามที่คู่มือบอก
เสียงเครื่องยนต์ดังขึ้นมาอย่างบ้าระห่ำพร้อมกับรถที่สั่นเหมือนมีคนมาเขย่ารถจนต้นเอนไปมา ขณะที่ด้านหน้ารถเริ่มมืดสนิททั้งที่ยังเป็นเพียงช่วงบ่ายและอยู่ในโรงรถ แต่รอบตัวของต้นกลับมืดสนิทเหมือนอยู่ในอุโมงค์ที่ไม่มีทางออก
พวงมาลัยของรถส่ายไปมาจนต้นต้องจับมันเอาไว้และขืนมันให้อยู่นิ่งๆ ระหว่างที่เลขหน้าจอที่บอกเวลาเป็นสีแดงก็วิ่งไปมาอย่างรวดเร็วไปพร้อมกับรถที่เขย่าอย่างรุนแรง ใจของชายหนุ่มเริ่มหวั่นไหวและหวาดกลัว เขาขมวดคิ้วสายตาสอดส่ายมองรอบๆหน้าปัดที่วิ่งไปมาอย่างบ้าคลั่ง เขาคิดที่จะเปิดประตูเพื่อออกไปจากรถเพื่อยุติทุกอย่างที่กำลังเกิดขึ้น
"อันตรายกรุณาอย่าออกนอกรถเมื่อทำการข้ามเวลา" เสียงสิริดังขึ้นเมื่อต้นจะเอามือจับที่เปิดประตูรถ แต่รถก็ล๊อคตัวเองจนต้นเปิดประตูออกไปไม่ได้ "ประตูถูกล๊อคเพื่อความปลอดภัย และจะเปิดต่อเมื่อถึงที่หมายเท่านั้น"
"ฉันจะออกไปจากที่นี่ ปู่บ้า...!!!" ต้นกลัวสุดขีดเขาเขย่ารถไปมาด้วยความโกรธก่อนจะเกิดแสงสว่างจนแสบตาที่ปลายแสงในความมืด
"วู๊ป!!! ฟู๊....!!!" เสียงเครื่องยนต์ดังเป็นอึกสุดท้ายเมื่อรถหยุดเขย่าพร้อมกับแสงสว่างจนแสบตา จนต้นต้องเอามืดปิดตาตัวเองเพื่อบังแสงที่จู่ๆก็พุ่งเข้ามาหลังจากอยู่ในความมืดไปหลายนาที
"ขอต้อนรับสู่อนาคต วันที่3กันยายนปี2015ค่ะด๊อกเตอร์" เสียงสิริหญิงสาวในรถพูดกับต้นตามด้วยเสียงปลดล๊อครถ
ต้นที่เริ่มปรับสายตาเข้ากับแสงสว่างภายนอกได้ เขาจึงเปิดประตูรถออกมาอย่างช้าๆ สิ่งที่เขาเห็นนั้นมันคือความแปลกใจและตกใจจนต้นแทบจะไม่เชื่อสายตาของตนเอง
"ปู่ทำได้จริงๆหรือเนี้ย เป็นไปไม่ได้!!!" ต้นอุทานออกมาดังๆด้วยแปลกใจ เมื่อเขายืนอยู่ในโรงรถที่เดิม ทุกสิ่งทุกอย่างยังคงวางอยู่ที่เดิมเหมือนเมื่อสิบนาทีที่แล้วก่อนที่เขาจะขึ้นรถ
"ปู่นะปู่หลอกกันได้" ต้นบ่นออกมาดังๆด้วยความโมโห เขาก้มลงไปหยิบรองเท้าสเก๊ตที่อยู่ในรถออกมาด้วยความไม่พอใจ ความรู้สึกของเขาตอนนี้รู้สึกโมโหและอับอายเมื่อคิดถึงท่าทางกลัวสุดขีดของตนเมื่อก่อนหน้านี้ ซึ่งความจริงแล้วมันก็คือมุกแกล้งกันเล่นขำๆของปู่ที่ต้องการแกล้งตนอย่างแน่นอนต้นคิดแบบนั้น
"พลังงานของเครื่องเดินทางข้ามเวลากำลังจะหมด กรุณาเติมพลังงานก่อนเดินทางครั้งต่อไป" เสียงหญิงสาวในรถพูดกับต้นเมื่อเขาก้มไปหยิบรองเท้า
"ไปหลอกหลานคนอื่นเถอะมุกนี้ ไม่เชื่อปู่แล้ว" ต้นพูดเสียงดังใส่แป้นบอกเวลาที่ดับไปแล้วด้วยความไม่พอใจ
เขาสวมรองเท้าสเก็ตและออกจากโรงรถของปู่ด้วยความไม่พอใจ ระหว่างทางเมื่อมาที่หน้าบ้านต้นก็พบหมาหุ่นยนต์ของปู่ยืนแน่นิ่งไม่ขยับตัวเห่าเขาเหมือนแต่ก่อน ซึ่งต้นเองก็ไม่ใส่ใจอะไรกับมัน เขารีบออกจากบ้านของปู่เพื่อไปขึ้นรถเมล์กลับบ้าน
ระหว่างทางที่ตนกำลังวิ่งไปนั้นเขาก็รู้สึกแปลกๆกับทิวทัศน์ที่เปลี่ยนไปในความคิดของเขา ทั้งบ้านเรือนถนนและซอยดูแปลกไปจากปกติที่เขาเห็นบ่อยๆ
"หรือเราจะคิดไปเอง สงสัยถูกรถนั่นเขย่ามากไป" ต้นบอกกับตัวเองระหว่างวิ่งด้วยรองเท้าสเก็ตออกมาจากซอย "กรรม!!! ดันหยิบคู่มือติดมาด้วย" ต้นบ่นออกมาดังๆก่อนจะม้วนสมุดคู่มือไว้ในกระเป๋ากางเกง "พรุ่งนี้ค่อยแอบเอาไปคืนแล้วกันขี้เกียจกลับไปแล้ว" ต้นบ่นกับตัวเองระหว่างวิ่งอยู่บนถนนในซอย
จนกระทั่งเขามาถึงหน้าปากซอยต้นก็ต้องตกใจสุดขีด เมื่อเขาเห็นรถจำนวนมากจอดทิ้งเอาไว้บนถนนโดยไม่มีคนขับ และด้านบนถนนก็มีทางเดินรถไฟขนาดใหญ่จอดแน่นิ่งอยู่บนนั้น
"!!!!!" ต้นตกใจสุดขีดจนอ้าปากค้างพูดอะไรไม่ออกเมื่อเห็นสิ่งเหล่านี้
"นี่เรามาอนาคตจริงๆหรือเนี้ย!!!" ต้นหยิกตัวเองแรงๆเพื่อเรียกสติก่อนจะรู้ว่าเขานั้นไม่ได้ฝันไป
ต้นเดินสำรวจริมถนนด้วยความแปลกใจ เมื่อเขาเห็นรถมากมายจอดทิ้งเอาไว้แต่ไม่มีผู้คนอยู่เลยแม้แต่คนเดียว
รองเท้าสเก็ตทำให้ต้นสามารถเคลื่อนที่ด้วยความเร็วระหว่างวิ่งไปบนฟุตบาททางเท้า เขาพยายามมองหาผู้คนทั้งในรถและร้านค้าหรือบ้านคน แต่ทุกอย่างกลับเงียบสนิทและสกปรกไปด้วยขยะ
"คนหายไปไหนกันหมด!!!????" ต้นบ่นออกมาดังๆด้วยความแปลกใจ ก่อนจะหยุดวิ่งลงทันทีเมื่อตรงหน้าของเขานั้นคือรถถังขนาดใหญ่ที่จอดอยู่พร้อมกับรถทหารอีกหลายคันที่จอดทิ้งเอาไว้โดยไม่มีคนอยู่เลย และไม่ไกลออกไปจากรถถังก็มีกองเศษขี้เถ้าขนาดใหญ่หลายกองอยู่บนถนน
"โอ๊วรถถัง....!!! นี่มันอะไรกัน???" ต้นค่อยๆเดินสำรวจรถถังด้วยความตื่นตาตื่นใจ ก่อนจะเดินไปสำรวจกองขี้เถ้าด้วยความสงสัย
"เฮ้ยๆๆๆ!!!" ต้นอุทานออกมาเสียงดังด้วยความตกใจสุดขีด เขาล้มลงก้นกระแทกพื้นตาเหลือกโตจองมองไปที่กองขี้เถ้าเหล่านั้น ซึ่งความจริงแล้วมันคือกองซากศพคนที่ถูกเผารวมกันเป็นกองเดียวอย่างน่าอนาจ
"นี่มันเกิดอะไรขึ้น!!!" ต้นอุทานออกมาดังๆด้วยความตกใจ "ทำไมอนาคตถึงได้เป็นอย่างนี้ล่ะ" ต้นมองซ้ายมองขวาเพื่อหาคนอื่นที่อาจจะรอดชีวิต
"เฮ้ย!!! มีใครอยู่ไหม!!! ถ้ามีตอบด้วย" ต้นตะโกนเสียงดังเพื่อหาคนอื่น แต่กลับไม่มีเสียงใดตอบกลับมาเลยนอกจากความเงียบ
"ก๊ากกกกก ก๊ากกกกก!!!" และจู่ๆก็มีเสียงร้องแหลมๆดังขึ้นมาในความเงียบนั้น พร้อมกับกลุ่มคนสามสี่คนที่วิ่งมาด้วยความเร็วผ่านซากรถพุ่งตรงมาทางนี้
"โล่งอกที่มีคนอยู่" ต้นบอกตัวเองด้วยความโล่งอกเมื่อเห็นผู้รอดชีวิตคนอื่น
"ก๊ากกกกก ก๊ากกกก!!" แต่ในช่วงวินาทีหนึ่งต้นก็รู้สึกแปลกใจกับสิ่งที่เห็น กลุ่มคนเหล่านั้นร้องเสียงแปลกๆและวิ่งอย่างบ้าคลั่งชนรถไปมาจนเกิดเสียงดังตึงตัง ซึ่งดูผิดปกติที่คนธรรมดาจะทำกัน
ต้นลังเลว่าควรจะทำอย่างไร เขาเกาหัวยืนดูร่างเงานั้นวิ่งมาหาตนโดยไม่ทำอะไรจนกระทั่งร่างเหล่านั้นวิ่งมาหาเขาในระยะสายตาที่ต้นพอจะมองเห็นชัด สภาพคนเหล่านั้นเสื้อขาดรุ่งริ่งและมีบาดแผลฉกรรจ์ตามตัวทั้งชายหญิง ซึ่งดูยังไงคนเหล่านั้นก็ไม่น่าจะใช่คนปกติธรรมดาอย่างแน่นอน
"บ้าไปแล้ว บ้าไปแล้ว!!!" ต้นหันหลังวิ่งด้วยความตกใจสุดขีด เมื่อเห็นคนเหล่านั้นในสภาพที่เหมือนผีดิบที่เพิ่งลุกขึ้นมาจากหลุม กำลังวิ่งไล่ตามเขาเหมือนนักกีฬาโอลิมปิกวิ่งแข่ง ซึ่งถ้าไม่ใช่เพราะรองเท้าสเก็ตที่ต้นสวมเขาคงวิ่งหนีซอมบี้เหล่านั้นไม่ทันอย่างแน่นอน
ด้วยความที่ต้นคุ้นเคยกับการใช้รองเท้าติดล้อวิ่งในแหล่งชุมชนที่มีคน และสิ่งของมากมายเป็นอุปสรรคในการวิ่ง เขาจึงสามารถวิ่งมันหลบหลีกสิ่งกีดขวางที่อยู่บนทางเท้าได้เป็นอย่างดี ขณะที่เหล่าซอมบี้ที่วิ่งตามมาแม้จะวิ่งด้วยความเร็วแต่สิ่งกีดขวางที่มีอยู่มากมายกับการวิ่งตรงไปข้างหน้าโดยไม่สนใจอะไรเลยของพวกมัน ก็ทำให้ต้นได้เปรียบในการหนีครั้งนี้ได้อย่างไม่ยากเย็น
แต่.....
"ก๊ากกกกก ก๊ากกกก!!!!" แม้ต้นจะวิ่งเร็วแค่ไหนแต่เขาก็ไม่สามารถรู้ได้เลยว่าข้างหน้าที่เขาวิ่งไปนั้นจะมีอะไรรออยู่ และในที่นี้ก็คือซอมบี้อีกตัวที่วิ่งอยู่ตรงหน้ากระโจนเข้าใส่ต้นโดยที่เขาไม่ทันตั้งตัว
ทั้งคู่หกล้มลงไปลงไปบนถนน ต้นพยายามรั้งหน้าของซอมบี้หญิงสาวหน้าเละที่พยายามจะกัดต้น แต่เขากลับสู้แรงนั้นไม่ไหว และในขณะที่เขากำลังจะพลาดท่าตอนนั้นเองก็มีอะไรบางอย่างมาพลัก(ถีบ)ร่างของซอมบี้หญิงสาวกระเด็นไปไกลจากต้น
"ลุกไหวไหมไอ้น้อง!!!!" หญิงสาวผมยาวสวมเสื้อยืนเก่าๆกางเกงยีนส์ขายาวขาดๆ วัยสามสิบต้นๆรีบพยุงต้นให้ลุกขึ้นยืน
เมื่อต้นยืนขึ้นได้หญิงสาวก็จุดไฟแช๊คใส่ขวดเหล้าที่มีน้ำมันอยู่ก่อนจะปาใส่กลุ่มซอมบี้ที่วิ่งตามต้นมา จนพวกมันลุกเป็นไฟชักดิ้นไปมาในกองเพลิงต่อหน้าต่อตาต้น ก่อนที่เธอคนนั้นจะเดินอย่างช้าๆไปทางซอมบี้หญิงสาวที่กำลังพยายามลุกขึ้น แต่ก็ถูกเธอคนนี้เอาไม้เบสบอลฟัดอย่างแรงที่หัวจนซอมบี้หญิงสาวหัวสมองไหลนอนชักอยู่บนพื้น
"เอ่อ.....????" ต้นมีคำถามมากมายอยู่ในหัวถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับตน เขามองหญิงสาวที่อายุห่างจากต้นถึง20ปีด้วยความทึ่งและประทับใจไปพร้อมๆกัน
"ตามมาถ้าไม่อยากเน่าที่นี่" หญิงสาวมองต้นตั้งหัวจรวดเท้าก่อนจะเดินกึ่งวิ่งนำต้นเข้าไปในซอยๆหนึ่งไม่ไกลจากนั้น
"เอ่อ....นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันครับผมไม่เข้าใจ ทำไมคนพวกนั้นถึงได้เป็นเป็น...เอ่อ..." ต้นพูดไม่ถูกเขาไม่รู้ว่าจะเรียกพวกนั้นว่าอะไรดี เพราะในยุคนั้นสิ่งที่เรียกว่าซอมบี้ยังเป็นอะไรที่ไกลตัวกว่ายุคนี้มากมายนัก
"ซอมบี้!!!" หญิงสาวพูดคำสุดท้ายให้ครบประโยค เธอหันมามองต้นอีกครั้งตั้งแต่หัวจรวดเท้าด้วยสีหน้าแปลกใจเล็กน้อย "นายไปอยู่ไหนมาไอ้หนูถึงไม่รู้เรื่องนี้!!!" สีหน้าแววตาของหญิงสาวที่แสดงออกมาทำให้ต้นรู้สึกคุ้นเคยอย่างน่าประหลาดทั้งที่เขาเพิ่งเคยเจอเธอเป็นครั้งแรก
"แบบว่ามันซับซ้อนที่จะอธิบายตอนนี้ เอาเป็นว่านี่มันเกิดอะไรขึ้นน้ารีบบอกผมมาก่อนดีกว่า ผมงงไปหมดแล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้น!!!" ต้นถามหญิงสาว
"พี่ก็พอ ไม่ต้องเรียกแก่ขนาดนั้นก็ได้ ฉันชื่อหยกนายล่ะชื่ออะไรไอ้น้อง" หญิงสาวหันมาพูดกับต้นก่อนจะเดินต่อ เธอเดินข้ามศพที่นอนแห้งตายบนพื้นอย่างหน้าตาเฉยเหมือนมันเป็นแค่เศษขยะที่ไม่มีใครสนใจ ยกเว้นต้นที่มีท่าทางตกใจและหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด
"ต้นครับ" ต้นตอบระหว่างเดินหันซ้ายหันขวาด้วยท่าทางตกใจกับสิ่งที่เจอ ดูเหมือนทุกอย่างจะน่าตกใจเป็นอย่างมากสำหรับเขา ซึ่งก็ไม่แปลกถ้าเราจะเจออะไรแบบนี้อย่างต้น
"ฉันเองก็ไม่รู้หรอกนะว่ามันเกิดจากอะไรทำไมยังไง ฉันรู้แค่ว่าจู่ๆคนที่รู้จักและไม่รู้จักต่างก็เริ่มไอตั้งแต่เช้า พอตกสายๆทุกคนก็เริ่มกลายเป็นซอมบี้เหมือนในหนัง คนที่รอดชีวิตส่วนใหญ่ก็หนีเอาตัวรอดไปเรื่อยแต่ส่วนมากจะไม่รอดเพราะมัวแต่ทำตัวขี้ขลาดแบบนาย" หยกหันมามองรองเท้าสเก็ตของต้นเมื่อพูดจบ "รองเท้าสวยไปเอามาจากไหนกัน สมัยนี้หาคนเล่นรองเท้าแบบนี้ยากมากเลย เพื่อนพี่สมัยเด็กคนหนึ่งก็ชอบเล่นแบบนี้ ป่านี้ไม่รู้ว่าหมอนั่นจะมีชีวิตรอดอยู่ไหม"
ต้นหยุดเดินเมื่อหญิงสาวพูดถึงตนอย่างไม่ต้องสงสัย ซึ่งแม้ชื่อจะเป็นชื่อเดียวกันแต่หญิงสาวคนนี้นั้นต่างกับหยกคนที่ต้นรู้จักเป็นอย่างมาก หยกคนนี้ทั้งผิวขาวสวยและไม่สวมแว่นแถมไม่มีไฝที่ปากซ้ายแบบหยกที่เขารู้จัก
"เมื่อก่อนพี่เคยสวมวะ!!!" ไม่ทันทีต้นจะพูดจบหญิงสาวก็เอามือรั้งตัวต้นเอาไว้ให้หยุดเดิน
ข้างหน้าของทั้งคู่นั้นเป็นกลุ่มชายฉกรรหลายคนกำลังรื้อค้นข้าวของในร้านโชห่วยร้านหนึ่งในซอยอย่างบ้าคลั่ง
"เราน่าจะไปขอความช่วยเหลือกับพวกเขา" ต้นออกความคิด
"จะบ้ารึไง!!! นายนี่ไม่รู้อะไรเลยใช่ไหม...ว่าคนเราด้วยกันเองนี่ล่ะที่เลวร้ายที่สุด พวกนั้นอาจจะจับฉันข่มขืนส่วนนายก็ถูกฆ่า ดูดีๆซิพวกนั้นมีปืนแล้วก็ไม่มีผู้หญิงในกลุ่มเลยด้วย ถ้าเราเข้าไปเราอาจจะซวยก็ได้ ทางที่ดีถ้านายอยากมีชีวิตรอดต้องเชื่อฉันเข้าใจไหม" หยกพูดกับต้นเบาๆระหว่างแอบอยู่ในมุมหนึ่งของเสาไฟฟ้า
"ไปกันเถอะ!!!" กลุ่มชายฉกรรตะโกนเสียงดังก่อนจะขับรถออกไป ทิ้งไว้เพียงซากความเสียหายในการลื้อค้นสิ่งขอที่มันทิ้งเอาไว้
โชคดีที่มันไม่รู้ที่ซ่อนไม่งั้นได้ซวยยกกลุ่มแน่ เอาล่ะตามมา" หยกพูดกับตัวเองด้วยความโล่งอกก่อนจะหันมาทางต้นเพื่อเรียกเขาให้ตามเธอมา
"ยังมีคนอื่นอีกหรอ" ต้นถามระหว่างเดินตามหญิงสาวไป
"ใช่ พวกเรารวมตัวกันตอนเกิดเรื่องใหม่ๆ มีทั้งเด็กผู้หญิงคนแก่ผู้ชายรวมกันหลายคน โชคดีที่เราไปเจอบ้านหลังใหญ่ที่มีรั้วรอบขอบชิดเลยทำให้เรามีที่ปลอดภัยอยู่" หยกหันซ้ายหันขวาเมื่อมาถึงถนน3แยกในซอย เธอดูบริเวณรอบๆให้แน่ใจก่อนจะวิ่งผ่านไปอย่างรวดเร็ว
"......???" ต้นที่เดินตามมาแสดงสีหน้างุนงงสงสัยออกมาอย่างชัดเจน เขานั้นสับสนงุนงงและจับต้นชนปลายกับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ถูกว่ามันเกิดอะไรขึ้น
"พะผมต้องกลับบ้าน ไม่ซิต้องกลับไปที่รถที่ผมใช้เดินทางมา ป่านี้ปู่น่าจะรู้แล้วว่าผมแอบเอารถเขามาขับ ถ้าผมไม่รีบเอารถไปคืนปู่ต้องโมโหอย่างแน่นอน" ต้นที่วิตกและหวาดกลัวในสิ่งที่เจอมาเมื่อครู่ จึงทำให้เขารู้สึกสับจับต้นชนปลายกับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ถูก
"ใจเย็นก่อน นายกำลังช๊อคเพราะสับสนพี่เองก็เคยเป็นมาก่อนตอนที่เจอเรื่องแบบนี้มาใหม่ๆ เป็นใครก็ช๊อคแบบนี้ทั้งนั้น นายต้องสูดหายใจลึกๆช้าๆ นี่ก็ใกล้จะถึงที่พักแล้วเดี๋ยวนายค่อยไปนอนพักทุกอย่างน่าจะดีขึ้น" หยกเข้ามาพยุงต้นที่กำลังเดินเซเพราะอาการช๊อค
"พี่ไม่เข้าใจผมต้องรีบไป รีบไปบอกทุกคนถึงสิ่งนี้ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป..." ต้นพูดไม่ทันจบเขาก็สลบไปทันที
ผ่านไปซักพักต้นก็รู้สึกตัวสะดุ้งตื่นขึ้นมาในห้องๆหนึ่งที่ตนไม่รู้จักบนเตียงสุดหรู รอบๆห้องมีของตกแต่งราคาแพงมากมายและมีทีวีจอโค้งและคอมพิวเตอร์ตั้งอยู่ในห้องแต่ใช้งานไม่ได้ หน้าต่างของห้องนั้นมืดสนิทมองเห็นแสงจันทร์บนฟ้า
"ฟื้นแล้วหรอ จะมาเรียกนายไปกินข้าวพอดี แต่คิดว่าคงเดินไม่ไหวเลยเอามาให้ดีกว่า" เสียงของหยกทำให้ต้นรู้สึกอุ่นใจมากขึ้น เมื่อเห็นเธอเดินเข้ามาในห้องพร้อมอาหารและชายอีกคนหนึ่งที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับต้น
"รู้สึกปวดหัวยังไงไม่รู้บอกไม่ถูก"ต้นบอกกับหยกเมื่อลงจากเตียง
"นี่อะไรหรอไม่เคยเห็นมาก่อนเลย นี่ด้วยรองเท้ามีล้อรูปทรงแปลกๆไม่เคยเห็นมาก่อน" เด็กชายหยิบเครื่องเล่นเทปแบบพกพา(ตามรูป)และรองเท้าสเก็ตของต้นขึ้นมาดูด้วยความสงสัย
"มันเป็นของฉันเอง ซาวเบ้าท์นี่เป็นรุ่นใหม่ล่าสุดที่เพิ่งวางตลาดเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ส่วนนั่นก็เป็นรองเท้าสเก็ตรุ่นใหม่เพิ่งไปซื้อมาเมื่อวานที่ห้างเมอร์รี่คิง" ต้นพูดอวดด้วยความภูมิใจเมื่อมีคนพูดถึงสิ่งที่ตนอยากโชว์
"..................." แต่คนทั้งคู่กลับมองมาทางเขาด้วยสีหน้าที่ผิดไปจากที่ต้นคิด
"นายเป็นพวกชอบของเก่าหรอ ของพวกนี้ฉันไม่เคยเห็นมาก่อนเชยชมัดเลย" เด็กชายโยนเครื่องเทปคืนให้ต้นก่อนจะเดินออกไป
"อย่าถือสาเลยนะ เด็กสมัยนี้รู้จักแต่แทปเล็ตไม่ก็มือถือ นี่ถ้าไม่มีพวกซอมบี้บุกโลกพวกเราก็คงจะนั่งก้มหน้ากดมือถือกันเหมือนไม่มีมีอะไรเกิดขึ้นไปแล้ว" หยกพูดยิ้มๆกับต้น
"แทปเล็ตคืออะไร...??? มือถือนี่มันคือโทรศัพท์ที่ใช้เล่นเกมฟังเพลงดูแผนที่ได้ใช่ไหม..???" ต้นถามหยกด้วยสีหน้าสงสัย
"นี่นายล้อฉันเล่นใช่ไหม" หยกเปลี่ยนสีหน้าและมองมาทางต้นที่กำลังงุนงงกับสิ่งที่เขาเอ่ยออกมา
"เปล่าพูดจริง" ต้นมองตาหยกก่อนพูดออกมา
"ไม่ตลกเลยนะมุกนี้" หยกหยิบซาวเบ้าท์ของต้นออกมาเปิดดูเทปข้างเมื่อเธอไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อไป เพราะสีหน้าแววตาของต้นนั้นแสดงให้เธอรู้ว่าต้นนั้นไม่ได้เล่นมุกหรือโกหกในสิ่งที่เขาพูด
"นายอาจจะช๊อคจนเพี้ยนไม่ก็เพิ่งออกมาจากโรงพยาบาลบ้าแน่ๆถึงจำอะไรผิดเพี้ยนไปแบบนั้น" หยกกดเปิดเพลงในเครื่องเล่นเป็นเพลงนางแมวยั่วสวาทซึ่งเป็นเพลงที่ดังมากๆในยุคนั้น "นายไปเอามาจากไหน ตลาดคลองถมหรอ สมัยนี้อย่าว่าแต่ตามตลาดคลองถมเลยตามร้านขายของเก่าสภาพใหม่แบบนี้ยังหาซื้อยากเลย"
"ที่ไหนก็มีขายในยุคผม"ต้นบอก
"ว่าไงนะ!!!" หยกนั่งอึ้งมองหน้าต้น "เมื่อกี้นายพูดว่ายุคของนาย" หยกทวยคำที่ต้นพูด
ต้นพยักหน้า "ผมเดินทางมาจากปัจจุบันปี2538หรือราวๆปี1995ถ้าจำไม่ผิด" ต้นบอกด้วยสีหน้าจริงจัง
"ฮ่า ฮ่า บ้าไปแล้ว นายคงช๊อคจนเพี้ยนไปแน่ๆถึงพูดแบบนี้ออกมา ใครจะไปเชื่อกันว่านายเดินทางมาจากอดีต" หยกหัวเราะเสียงดังด้วยความขบขันก่อนจะปิดซาวเบ้าท์และเดินออกไปจากห้อง "พี่ว่านายต้องนอนพักมากๆแล้วล่ะ พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่" หยกพูดจบเธอก็เดินจากไป
"นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้น....!!! งงไปหมดแล้ว!!!" ต้นพูดกับตัวเองด้วยความสับสนก่อนล้มตัวลงนอนและหลับไปอีกครั้ง
"ตื่นๆๆๆเร็วเข้า!!!" ต้นสะดุ้งตัวตื่นเมื่อถูกหยกมาปลุกด้วยสีหน้าแตกตื่นตกใจ "เราต้องหนีแล้ว!!! พวกผู้ชายพวกนั้นมันมาบุกที่นี่ มันฆ่าคนของเราไปหลายคนแล้ว เราต้องรีบหนีที่นี่ไม่ปลอดภัยแล้ว!!!" หยกพาต้นหนีออกมาจากห้องท่ามกลางความวุ่นวายรอบๆบ้านๆ ที่ตอนนี้ถูกกลุ่มชายฉกรรกราดปืนไล่ยิงผู้ชาย ก่อนจะจับตัวผู้หญิงหมายจะข่มขืน
"ก๊ากกกกก ก๊ากกกก!!!" แต่เพราะเสียงปืนและเสียงร้องของผู้คนจึงเรียกพวกซอมบี้ที่ได้ยินมาที่บ้านหลังนี้ ทุกคนจึงกระจัดกระจายแยกย้ายกันไปคนล่ะทิศคนล่ะทางท่ามกลางความวุ่นวาย
ซอมบี้ที่วิ่งกรูเข้ามาที่ประตูรั้งทำให้ทางเข้าออกเพียงทางเดียวถูกปิดตาย ขณะที่คนอื่นๆในบ้านต่างพากันวิ่งหาทางออกทางอื่นที่พอจะคิดออก ขณะที่เหล่าชายฉกรรที่ขับรถชนประตูรั้วเข้ามาก็ไม่มีทางออกไปไหน จนสุดท้ายก็ถูกเหล่าซอมบี้จับแหวกไส้ควักพุงออกมากินอย่างไม่มีทางสู้
"มาทางนี้!!!" หยกพาต้นปีนออกมาทางหน้าต่างของห้องนอนที่ติดกับกำแพงของบ้านพอดี ด้วยเชือกเส้นยาวที่หยกผูกเตรียมเอาไว้เป็นทางออกฉุกเฉินยามมีภัย
"ไม่เคยคิดเลยว่าต้องใช้ทางนี้หนี แค่เตรียมเอาไว้เฉยๆ" หยกบ่นดังๆระหว่างปีนลงมาเป็นคนแรก
"แล้วคนอื่นๆล่ะครับ!!" ต้นถามหยกเมื่อปีนลงมาถึงพื้นท่ามกลางเสียงร้องของเหล่าซอมบี้ เสียงปืนและเสียงโหยหวนด้วยความเจ็บปวดของคนที่ถูกฆ่าและขอความช่วยเหลือโดยไร้ทางหนี
"เราเข้าไปช่วยใครไม่ได้ทั้งนั้น!!! พวกนั้นมีปืนและพวกซอมบี้ก็บุกเข้ามาแล้ว ถ้านายไม่อยากตายก็ตามมา!!!" หยกพูดจบเธอก็รีบวิ่งหนีไปจากตรงนั้น
"แล้วทุกคนล่ะ!!! เราจะทิ้งพวกเขาไปไม่ได้นะ ในนั้นมีเด็กมีผู้หญิงคนแก่ เราต้องไปช่วยเขาออกมา!!!" ต้นตะโกนบอกหยกระหว่างวิ่งตามเธอไป
"กลับไปไม่ได้!!! นายไม่เข้าใจรึไง!!!" หยกตะโกนใส่ต้นด้วยความโมโห "นายคิดว่าฉันไม่อยากกลับไปช่วยพวกเขารึไง!!! ฉันอยากไปช่วยมากกว่านายอีก!!! ในนั้นมีแต่คนที่ฉันรู้จัก ถ้าทำได้ฉันก็อยากเข้าไป แต่ในตอนนี้เราทำแบบนั้นไม่ได้!! ถ้าเข้าไปก็เท่ากับเอาชีวิตไปทิ้ง นายเข้าใจไหม!!!" หยกเขย่าตัวต้นแรงๆและจ้องตาเขา
"คะเข้าใจแล้ว..." ต้นที่มองตาของหยกก็เข้าใจความรู้สึกที่แสดงออกมาจากแววตานั้นดี
"ดีงั้นก็ตามมา" ทั้งคู่ตรงมาที่รถคันหนึ่งที่จอดเอาไว้ไม่ไกลจากที่พักก่อนจะรีบขับออกไป ทิ้งเปลวเพลิงและเสียงร้องโหยหวนของซอมบี้และผู้คนเอาไว้ข้างหลัง
"นี่มันเกิดอะไรกันขึ้น!!! ฉันไม่เข้าใจเลย!!" ต้นตะโกนออกมาเสียงดัง เขาตะโกนโวยวายเตะถีบคอนโซนรถด้วยความโมโหที่ไม่เข้าใจอะไรเลย ขณะที่หยกกลับมีท่าทางนิ่งเฉย เธอขับรถอย่างรวดเร็วตรงไปตามถนนโดยไม่เปิดไฟหน้ารถ
ต้นตะโกนโวยวายจนเหนื่อยเขาก็หยุดร้อง
"นี่นายเพิ่งจะสติแตกครั้งแรกซินะ" หยกถามต้นด้วยน้ำเสียงนิ่งเฉย ดูเธอไม่รู้สึกสะทกสะท้านกับสิ่งที่เกิดขึ้นเลย ทั้งที่เพิ่งจะผ่านเรื่องเลวร้ายที่สุดมา
"หมายความว่าไงว่าสติแตกครั้งแรก" ต้นถามเบาๆด้วยท่าทางหอบ
"เพราะฉันก็เคยเป็นแบบนายมาก่อนตอนเกิดเรื่องครั้งแรก ตอนนั้นฉันต้องฆ่าพ่อกับแม่ตัวเองกะมือ ฉันสติแตกไปตั้งหลายวันกว่าจะทำใจได้" เธอหันมามองทางต้น "นี่ถ้าฉันไม่ใช่คนบ้าที่คิดไปเอง ฉันคงคิดว่านายไม่ใช่คนที่นี่ ถึงได้ทำหน้างงๆเหวอๆตอนเจอซอมบี้ครั้งแรก ไหนจะการแต่งตัวของใช้ที่พกและอาการสติแตกครั้งแรก นายเพิ่งตื่นจากโรงพยาบาลแบบหนังเรื่อง 28 days later หรือไม่ก็ waking dead ซีซั่นแรกใช่ไหม นายถึงไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นตอนนี้"
"เปล่า ไม่ใช่" ต้นส่ายหน้า "พูดไปพี่อาจจะไม่เชื่อก็ได้" เขาถอนหายใจแรงๆเมื่อต้องพูดในสิ่งที่อาจจะดูตลกทั้งที่มันไม่น่าตลกเลยแม้แต่น้อย
"แล้วนายคิดว่าตอนนี้จะมีอะไรที่ไม่น่าเชื่ออีกล่ะ ไหนจะซอมบี้ไล่กินคนเกือบหมดโลก ไหนจะคนที่ฆ่าคนกันเอง แถมเมื่อกี้เราสองคนก็เพิ่งจะหนีเอาชีวิตรอดโดยที่เราไม่ได้คิดจะช่วยใครออกมาเลยด้วย แล้วแบบนี้นายคิดว่าฉันจะไม่เชื่อเรื่องอะไรได้อีก" หยกหันมายิ้มให้ต้นแต่แววตาของเธอนั้นไม่ได้ยิ้มด้วยเลยแม้แต่น้อย
ต้นพูดอะไรไม่ออกเมื่อเห็นแววตาของหยก เขากลั้นหายใจก่อนจะพูดมันออกมาทั้งที่ใจไม่อยากจะพูด "ผมชื่อต้นผมมาจากปัจจุบันในอีก20ปีต่อจากนี้" ต้นมองตาหยกเมื่อพูดจบ
"พูดเป็นเล่น นายมาจากอดีตเมื่อปี2538!!!" หยกอึ้งเล็กน้อย เธอจอดรถและมองมาทางต้นโดยไม่พูดอะไร "นายพูดจริงๆหรอ!!"
"พี่ต้องว่าผมบ้าหรือเพี้ยนไปแล้วใช่ไหม" ต้นถอนหายใจเมื่อพูดจบ
"ไม่เห็นต้องถาม ฉันว่านายเพิ่งจะออกมาจากโรงพยาบาลบ้าอย่างที่คิดจริงๆด้วย" หยกขับรถไปต่อโดยไม่พูดอะไร ซึ่งต้นก็คิดอยู่แล้วว่าหยกต้องพูดแบบกับตน
ทั้งคู่ขับรถไปตามถนนอย่างช้าๆเรื่อยๆหลบรถที่จอดทิ้งไว้บนถนน ทั้งคู่ขับผ่านห้างสรรพสินค้าซีคอนบางแค ก่อนจะแวะมาจอดที่บ้านหลังหนึ่งในซอยใกล้ๆแถวนั้น
"รอที่นี่" หยกค้นหาไม้กระบอกที่เบาะหลังก่อนจะลงไปจากรถไป ไม่กี่นาทีเธอก็เดินมาเปิดประตูรถเรียกต้นให้ลงมา
"ที่นี่ที่ไหน" ต้นถามหญิงสาวเมื่อลงมาจากรถ ขณะที่เธอกำลังค้นหาอะไรบางอย่างที่ท้ายรถ
"อาจจะเป็นบ้านใครซักคน เราคงต้องหลบอยู่ที่นี่ไปก่อนแล้วค่อยคิดกันอีกทีว่าจะเอาอย่างไร" หยกหอบเอากล่องที่ใส่อาหารลงมาจากท้ายรถส่งให้ต้นถือ "ฉันมักจะเตรียมแผน2เอาไว้ยามฉุกเฉินเสมอ นายเองก็ควรจะทำแบบนั้นเอาไว้ถ้าอยากมีชีวิตรอด"
ทั้งคู่เข้ามาในบ้าน2ชั้นที่มืดสนิท ข้าวของในบ้านถูกลื้อค้นกระจายและมีคราบเลือดกระจายอยู่ทั่วบ้านแต่ไม่มีศพให้เห็น
"นอนที่ชั้น2เถอะ นายคงไม่อยากไปดูในห้องน้ำหรอก" หยกบอกกับต้นก่อนที่จะขึ้นไปที่ชั้น2ของบ้าน
ทั้งคู่นั่งทานอาหารเย็นกันท่ามกลางความมืดโดยมีแสงจันทร์เป็นเพียงแสงสว่างเดียวที่มี
เมื่อทานอาหารเสร็จทั้งคู่จึงตัดสินใจนอนกันในห้อง โดยที่ต้นนอนบนพื้นส่วนหยกนอนบนเตียงในห้องนอนสุดหรูภายในห้อง
ต้นที่นอนไม่หลับพยายามหาทางที่จะกลับบ้านแต่เขาไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี เขานอนมองเพดานในความมืดโดยไม่พูดอะไร
"เป็นคนบ้าความจำเสื่อมแบบนายก็ดีเหมือนกันนะ ไม่ต้องรับรู้ไม่ต้องสนใจอะไร สร้างเรื่องราวขึ้นมาใหม่เป็นคนใหม่ ลืมเรื่องร้ายๆที่เกิดขึ้น" หยกพูดขึ้นมาบนเตียงท่ามกลางความมืด
"ผมไม่ได้...."ต้นคิดจะเถียงแต่เขาก็ล้มเลิกความคิดนั้น เพราะพูดไปก็ไม่มีประโยชน์ที่เธอจะเชื่อที่เขาพูด
"ก่อนหน้าที่จะเกิดเรื่องชีวิตฉันก็มีความสุขดีนะ ทำงานสบายเงินดีมีบ้านมีรถเสียอย่างเดียวคือไม่มีแฟน" ต้นนอนฟังชีวิตของหญิงสาวโดยไม่พูดอะไร "แต่พอเกิดเรื่องทุกอย่างก็เหมือนพังทลายลงไม่เหลืออะไรเลย" หยกหยุดพูดไปซักสิบวิก่อนจะพูดต่อ "เห็นนายพูดเรื่องย้อนเวลาแล้วอยากกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง อยากย้อนเวลากลับไปก่อนที่จะเกิดเรื่องขึ้นจะได้หาวิธียับยั้งมัน" หยกหัวเราะ "คิดถึงตอนเด็กจังเลย ตอนนั้นพี่ยังใส่แว่นแล้วก็ชอบขี่จักรยานมากๆ ขี่ทุกวันทั้งวันจนตัวดำไปหมดจนถูกเพื่อนที่ชื่อเดียวกับนายล้อประจำ หมอนั่นชอบพูดว่า"
"ยัยขี้ริ้ว หน้าตาแบบเธอชาตินี้คงไม่มีใครเอา..." ต้นพูดต่อประโยคที่หยกพูด "และครั้งแรกที่หัดขี่จักรยานก็วิ่งไปชนเด็กชายคนหนึ่งที่ชื่อเดียวกับผมที่กำลังออกมาจากรั้วบ้าน"
"เธอรู้ได้ไง!!???" หยกตกใจจนลุกขึ้นจากที่นอนมามองทางต้นที่กำลังนั่งมองมาทางเธอ
"เธอชื่อหยกมีแม่ชื่อพลอยมีพ่อชื่อแหลมมีหมาสามขาชื่อเจ้าเป๋ ส่วนข้างบ้านเธอเป็นตาแก่ที่มีหมาหุ่นยนต์พูดได้คู่กัดกับเจ้าเป๋ เพลงที่เธอชอบฟังคือเพลงถอนสายบัวของนุ๊กสุธิดา เพราะเธอลืมเอาไว้ที่บ้านของปู่ตอนที่มาขอให้ท่านช่วยซ่อมเทปเพลง" ต้นพูดถึงความทรงจำที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานสำหรับเขา แต่กลับหญิงสาวมันคือความทรงจำเมื่อ20ปีก่อนที่เธอเคยลืมมันไปแล้ว
"ไม่จริงน่า นายรู้ได้อย่างไร" หยกตาโตด้วยความตกใจ
" ก็สำหรับผมมันเพิ่งจะเกิดขึ้นมาเมื่อไม่กี่ชั่วโมงเอง ถ้าพี่เชื่อว่าผมมาจากปัจจุบันจริงๆ" ต้นพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
"บ้าไปแล้วบ้าไปแล้ว!!! เป็นไปไม่ได้!!" หยกรู้สึกสับสน เธอเดินไปมาและพยายามตั้งสติกับสิ่งที่เกิดขึ้น "มันคือเรื่องจริงหรอเนี้ย บ้าไปแล้ว!!!"
"ใครจะไปคิดล่ะว่าปู่บ้าของผมจะสร้างเครื่องเดินทางข้ามเวลาได้ ตลกไหมล่ะ" ต้นพูดประชด
"แล้วนายมาทำอะไนที่นี่" หยกถามต้น
"ก็กะมาเที่ยว ปู่สั่งว่าห้ามเดินทางไปอดีต ผมเลยเดินทางมาอนาคตพอมาก็เจอแบบนี้ไง" ต้นถอนหายใจเมื่อพูดจบ
"แล้วรถไม่ซิเครื่องเดินทางข้ามเวลาอยู่ที่ไหน???" หยกถามต่อ
"ก็อยู่ที่บ้านปู่นั่นล่ะครับ แถมพอมาถึงเครื่องก็บอกว่าพลังงานหมด คงต้องกลับไปที่รถแล้วดูว่ามันใช้พลังงานอะไรเครื่องถึงจะทำงาน" ต้นเกาหัวพูดอย่างไม่พอใจเมื่อคิดถึงหนทางกลับไปที่รถ
หยกเดินไปเดินมาทำท่าคิดก่อนจะคิดอะไรบางอย่างออก "คิดออกแล้ว!!!! งั้น!!! ถ้าเราเดินทางกลับไปรถแล้วส่งนายกลับไปที่ยุคของนายแล้วไปเปลี่ยนอดีตล่ะ พยายามหาต้นตอของเชื้อไวรัสว่ามาจากไหนแล้วก็หาทางยับยั้งมันก่อนที่มันจะเกิดขึ้น!!! นายว่าเข้าท่าไหม!!!" หยกที่เริ่มเชื่อในสิ่งที่ต้นพูด เธอหันมาพูดกับเขาอย่างมีความหวัง
"ก็ไม่รู้ว่าจะทำได้ไหม อีกอย่างกว่าเรื่องจะเกิดขึ้นก็กว่า20ปี ถึงตอนนั้นก็ไม่รู้จะไปสืบที่ไหนอะไรอย่างไรแล้วล่ะ" ต้นออกความเห็น
"ใช่ จริงของนาย ยุคนั้นเด็กอย่างเราทำอะไรๆไม่ได้เหมือนเด็กสมัยนี้เสียด้วย..." หยกพูดกับตัวเอง ก่อนจะคิดอะไรบางอย่างออก "งั้นเอาแบบนี้ นายส่งฉันกลับไปที่อดีตซัก1ปี ฉันจะได้หาทางแก้ไขเรื่องนี้ถ้าทำได้ นายคิดว่าไง" หยกยิ้มฟันขาวให้ต้นกับความคิดของตน
"ก็อาจจะทำได้นะ" ต้นคิดทบทวนคำถามก่อนจะพูดขึ้นมา
"ไชโย!!!" หยกดีใจเมื่อสิ่งที่ตนคิดได้ผล
"แต่...." ต้นเบรกอาการดีใจของหยกเอาไว้ด้วยคำๆเดียว
"เราต้องกลับไปที่รถและหาพลังงานมาเติมถึงจะออกเดินทางได้" ต้นพูดถึงอุปสรรคที่อยู่ตรงหน้า
"สบาย ฉันพานายไปได้เรื่องแค่นี้เอง" หยกพูดยิ้มๆ แต่ต้นกลับทำหน้าเครียด
"แต่ผมไม่รู้ว่าเราต้องใช้พลังงานอะไรในการเดินเครื่อง ต้องไปเอาคู่มือมาอ่านถึงจะรู้ว่ามันใช้พลังงานอะไร" ต้นมองหน้าหยก
"อย่าบอกนะว่าเราต้องกลับไปที่บ้านหลังนั้นอีก" หยกถอนหายใจเมื่อพูดจบ
ต้นพยักหน้า "มันคือทางเดียวที่เราจะเดินทางกลับบ้านได้" ต้นมองหน้าหยก
"เป็นไงเป็นกัน" หยกสูดลมหายใจเข้าปอดแรงๆเพื่อตัดสินใจ ก่อนจะพูดออกมา
รุ่งขึ้นทั้งคู่ก็รีบออกไปจากที่พักทันทีเพื่อกลับไปยังบ้านที่พวกตนเคยแอบซ่อนตัวก่อนจะหนีมา หยกขับรถมาจอดไม่ไกลจากบ้านหลังนั้น ก่อนที่เธอจะลงมาค้นหาของที่ท้ายรถ
"สิ่งที่นายควรรู้เกี่ยวกับซอมบี้คือพวกมันไวต่อเสียงเอามากๆ ถ้ามีเสียงดังพวกมันจะร้องเรียกพวกให้มาสมทบ ถึงตอนนั้นต่อให้นายวิ่งหนีก็วิ่งไม่ทันพวกมัน ทางที่ดีคือสู้เท่านั้น" หยกส่งไม้เบสบอลให้ต้นเมื่อพูดจบ "ตีที่หัวอย่างแรง พวกนี้มีจุดอ่อนที่หัว" หยกชี้หัวตัวเองระหว่างพูดกับต้น
"ดะได้ ที่หัว" ต้นพูดเสียงสั่น
"และที่สำคัญที่สุดคือ ถ้าถูกกัดจะกลายเป็นพวกมันทันที ดังนั้นถ้าฉันถูกกัดนายก็ควรไปจากที่นี่ทันที และถ้าเราแยกกันก็มารออยู่ที่นี่ ถ้าสามสิบนาทีแล้วยังไม่มาให้รีบขับรถออกรถไปเลยไม่ต้องรอ นายขับรถเป็นใช่ไหม" หยกถามต้นขณะที่เขาพยักหน้า "ดี งั้นไปกันเลย"
ทั้งคู่ค่อยๆเดินตรงไปที่บ้านหลังเดิม ในมือของทั้งสองมีอาวุทที่เป็นไม้กระบองคนล่ะอันเพื่อป้องกันตัวเอง เมื่อเดินมาถึงที่รั้วประตูบ้านที่พังยับเยินเพราะถูกรถกระบะขนาดใหญ่ชน ร่องรอยความเสียหายยังคงอยู่แม้แต่รถกระบะที่กลุ่มชายฉกรรกลุ่มนั้นขับมาก็จอดทิ้งเปิดประตูอ้าซ่าอยู่ไม่ไกลจากรั้วประตู ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนให้รู้ว่ากลุ่มชายฉกรรที่มาก่อกวนก็คงหนีไม่รอดจากสิ่งที่ตัวเองทำเอาไว้
"อุ๊บ!!!" ต้นที่เดินมาที่หน้ารถ เขาก็เกือบจะอ้วกออกมาเมื่อเห็นสภาพศพของคนขับที่นอนขาดสองท่อนไส้กองอยู่ในรถ ขณะที่มือทั้งสองข้างยังกำพวงมาลัยจนแน่น คิดว่าเขาคงจะตะเกียดตะกายหนีขึ้นรถก่อนจะถูกฉีกร่างจนขาดสองท่อน
"เดี๋ยวก็ชินไปเองเชื่อซิ" หยกบอกกับต้นก่อนจะค่อยๆเดินเข้ามาในบ้าน
เมื่อเข้ามาทั้งคู่ก็พบร่องรอยของความเสียหายที่เกิดขึ้นทิ้งเอาไว้เต็มบริเวณบ้าน ข้าวของที่เคยจัดเป็นระเบียบกลับถูกทำลายกระจัดกระจายปะปนไปกับซากศพของซอมบี้และศพของคนที่เคยอยู่ที่นี่ หยกยืนมองร่างไร้วิญญาณของคนที่เธอรู้จักหลายคนที่เสียชีวิตที่นี่
"หลายคนที่ตายที่นี่เป็นคนดี พวกเราช่วยเหลือกันและกันมาตลอดหลายเดือนที่นี่ ฉันอยากจะร้องไห้ออกมานะ แต่น้ำตามันกลับไม่ไหลออกมาสักหยด" หยกพูดกับต้นโดยไม่หันมามองทางเขา
"พี่พูดเองไม่ใช่หรอ ว่าเราทำได้แค่เอาตัวรอด คงไม่มีใครโทษหรอกที่ทำแบบนี้" ต้นพูดสิ่งที่ตนคิด ซึ่งนั่นก็ไม่ได้ช่วยให้หยกสบายใจขึ้นเลยในความคิดของเธอ
"ไม่ต้องทำมาพูดดีเลย" หยกหันมาพูดด้วยสีหน้าไม่พอใจใส่ต้นก่อนจะเดินเข้าไปในบ้าน เธอหยิบถุงพลาสติกขนาดใหญ่ขยำเป็นก้อนปาใส่ต้นที่ยืนดูศพซอมบี้ "เก็บของที่พอจะเอาไปใช้ได้มาด้วย ไม่แน่เราอาจจะต้องใช้พวกมันถ้างานนี้เราทำพลาด" เธอพูดจบหญิงสาวก็เดินเข้าไปในบ้าน
"ถ้าพลาดก็คงต้องอยู่ที่นี่ไปตลอดชีวิตนั่นล่ะ" ต้นบ่นด้วยความไม่พอใจระหว่างเดินตามหลังหยกไป
"เงียบก่อน...." หยกบอกต้นที่เดินตามมา
เมื่อทุกอย่างอยู่ในความเงียบต้นก็ได้ยินเสียงกึกกักเหมือนเสียงของอะไรบางอย่างกะทบกันเบาๆด้านในบ้าน
"อาจจะมีซอมบี้อยู่ระวังตัวด้วย" หยกบอกต้น
"หรืออาจจะเป็นผู้รอดชีวิต" ต้นออกความเห็น
ทั้งคู่เดินตามหาต้นเสียงจนขึ้นไปบนชั้น2ของบ้าน หยกเดินไปที่ห้องๆหนึ่งที่เกิดเสียง โดยมีต้นค่อยๆเดินตามมาติดๆ
"ห้องอยู่ทางนี้" ต้นกระซิบบอกหยกเมื่อเขาผ่านห้องนอนที่ตนเคยนอนและลืมสมุดคู่มือเอาไว้ที่นั่น
"งั้นนายไปเอาสมุดคู่มือ เดี๋ยวฉันจะไปดูทางนั้นว่าเป็นอะไร" หยกบอกกับต้นก่อนจะแยกย้ายกันไป
ต้นรีบวิ่งเข้าไปในห้องนอนทันที ซึ่งเมื่อเข้ามาเขาก็ต้องตกใจสุดขีด เมื่อพบศพเด็กชายที่ตนเคยคุยด้วยเมื่อตอนนั้นนอนจมกองเลือดสภาพแขนขาดท่อนล่างถูกกินจนเละ เขาอยู่ในสภาพซอมบี้ที่ทำได้เพียงเอื้อมมือตะกายลมมาทางต้นเมื่อเห็นเขาเข้ามาในห้อง
"บ้าเอ๊ย!!!" หยกที่เดินตามมาทีหลังผงะตกใจอุทานออกมาเมื่อเห็นภาพเดียวกันกับที่ต้นเห็น
"เอาไง" ต้นถามหยกเมื่อเห็นสภาพน่าสมเพชของเด็กชายที่กลายเป็นซอมบี้
"รีบเอาคู่มือแล้วไปจากที่นี่" หยกบอกกับต้น ขณะที่เธอยืนดูร่างซอมบี้ที่พยายามตะเกียดตะกายดันเองเองให้ล้มและคลานมาหาหยกเพื่อกินเธอ
ต้นรีบไปหาสมุดคู่มือและเปิดอ่านมันทันทีเพื่อความมั่นใจ เขารีบร้อนเปิดไปอย่างรวดเร็วเพื่อหาหน้าที่เกี่ยวกับพลังงานของเครื่องยนต์
"พลั๊ก!!!" ระหว่างที่ต้นกำลังรีบร้อนอ่านคู่มือก็มีเสียงของวัตถุของแข็งกระทบกันอย่างแรง จนต้นสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียง ก่อนจะหันไปดูทางต้นเสียงก็พบว่าหยกนั้นใช้ไม้เบสบอลพสดใส่หัวซอมบี้เด็กชายจนตายคาที่
"ฉันทำดีที่สุดแค่นี้" หยกบอกกับต้น
"เจอแล้ว พลังงานของเครื่องเดินทางข้ามเวลา ทุกครั้งที่เดินทางข้ามเวลาต้องใช้น้ำมันเบ็นซินเต็มถังและเปลี่ยนแบตเตอร์รี่ใหม่ทุกครั้งหลังเดินทาง ทุกอย่างมีอยู่ที่ท้ายรถ เพื่อเอาไว้ใช้ในกรณีฉุกเฉินเมื่อไปในยุคที่ไม่มีสองสิ่งนี้" ต้นอ่านออกเสียงให้หยกฟัง
"รอบคอบสมเป็นคุณตาจริงๆ" หยกพูดชมก่อนที่ทั้งคู่จะรีบออกไปจากบ้านเมื่อได้สิ่งที่ต้องการ
หยกพาต้นมาที่รถและขับไปตามถนนเพื่อมุ่งหน้าพาต้นกลับมาที่รถที่บ้านของปู่
"ตั้งแต่เรียนจบก็ย้ายออกมาอยู่คนเดียวเพราะทะเลาะกับแม่ วันที่เกิดเรื่องก็รีบมาหาพ่อกับแม่ที่บ้าน แต่ดันเจอท่านในสภาพซอมบี้เลยจัดการส่งพวกเขาไปสู่สุขคติ พูดแล้วรู้สึกผิดยังไงไม่รู้" หยกพูดกับต้นระหว่างขับรถบนถนนที่มีแต่สิ่งกีดขวางทั้งรถทั้งศพและซากความเสียหาย จนบางครั้งหยกต้องขับขึ้นมาบนฟุตบาทและหลายครั้งก็ต้องขับรถชนซอมบี้ที่วิ่งมาชนรถหรือตัดหน้าโดยหลีกเลี่ยงไม่ได้
"เธอขับรถเก่งจัง" ต้นพูดชมจากใจ เพราะระหว่างที่รู้จักกันนั้นหยกสามารถขับรถได้อย่างคล่องแคล่วแม้ถนนจะเต็มไปด้วยสิ่งกีดขวางก็ตาม
"ขอบใจ พอดีชอบเล่นเกมแข่งรถน่ะ สมัยนายคงจะยังไม่มีเกมแข่งรถสมจริงแบบสมัยนี้ เอาไว้นายก็คงรู้เอง" หยกพูดจบเขาก็เหยียบคันเร่งชนซอมบี้ตาย2ตัวบนถนน
"มะไม่เป็นไร" ต้นตกใจทุกครั้งที่ขับรถชนซอมบี้
"ถ้ากลับไปได้คงจะต้องไปขอโทษแม่ที่ทำแบบนั้นลงไป" หยกกดปุ่มปัดน้ำฝนล้างคราบเลือดที่ติดกระจกระหว่างพูด "นายคิดว่าเราจะเปลี่ยนแปลงอดีตได้ไหม ถ้าฉันย้อนตัวเองไป1ปีก่อนหน้านี้"
"ไม่รู้เหมือนกัน แต่ปู่สั่งว่าเราห้ามย้อนกลับไปอดีต เพราะปัจจุบันอาจเปลี่ยนแปลงหรืออาจทำให้มิติเวลาบิดเบี้ยวจนแก้อะไรไม่ได้" ต้นบอกกับหยก "ในคู่มือก็เขียนแบบนั้น" เขายื่นหน้าที่เขียนประโยคนี้ให้หยกดูเพื่อยืนยันสิ่งที่ตนพูด
"กฏการย้อนเวลาคือห้ามไปเปลี่ยนแปลงอดีต และห้ามให้เราเจอตัวของเราเองในยุคนั้นๆเพราะเราไม่รู้ว่ามิติเวลาจะบิดเบี้ยวหรือเกิดอะไรขึ้นบ้าง" หยกอ่านประโยคในคู่มือระหว่างขับรถ
"ระวัง!!!" ต้นบอกหยกเมื่อเห็นซอมบี้ตัดหน้ารถก่อนถูกชนอย่างจัง
"แต่ฉันไม่ได้ย้อนไปอดีตนะ ถ้ายุคของนายคือปัจจุบัน และตอนนี้คืออนาคต ก็แปลว่านายก็แค่ส่งฉันไปอนาคตย้อนหลังเท่านั้น และถ้ามันเกิดอะไรขึ้นสิ่งๆนั้นก็ยังมาไม่ถึง และถ้านายกังวลว่ามันจะเกิดขึ้น นายก็แค่ย้อนเวลากลับมาก่อนหน้าที่พวกเราจะไปเพื่อกันไม่ให้มันเกิดขึ้นก็ได้แค่นี้เอง ฉันเคยดูในหนังเกี่ยวกับย้อนเวลาบ่อยๆ ในการ์ตูนโดเรม่อนก็มีพูดถึงนายน่าจะเคยอ่าน" หยกอธิบายถึงเรื่องการข้ามเวลา
"งั้นหรอ...." มันยากที่เด็กชายอายุ15จะเข้าใจเรื่องราวเกี่ยวกับการย้อนเวลา
"เอางั้นซิ ไม่แน่ฉันอาจจะหาต้นตอของเรื่องที่เกิดขึ้นมาก็ได้ใครจะรู้ แต่ถ้าฉันทำไม่สำเร็จซึ่งนายก็คงไม่รู้หรอกว่าสำเร็จรึเปล่า นายก็เตรียมพร้อมทุกอย่างเอาไว้ด้วย และก็หาทางทำทุกอย่างให้ฉันเชื่อเรื่องนี้ให้ได้ไม่ว่าอย่างไรก็ตามเข้าใจไหม และบอกฉันในอดีตด้วยว่าอย่าติดเพื่อนและเรียนใหจบชีวิตจะดีกว่านี้ และเตรียมพร้อมรับมือกับซอมบี้ในอนาคตด้วย" หยกย้ำกับต้น
"จะพยายาม"ต้นบอกกับหยก
"ขอบใจ ฉันดีใจนะที่ได้เจอนายอีกครั้งเพื่อน" หยกพูดยิ้มๆกับต้นอย่างจริงใจ
ทั้งคู่มาอยู่ที่บ้านของปู่ต้นได้อย่างปลอดภัย ทั้งสองคนรีบเข้าไปที่โรงรถผ่านหมาหุ่นยนต์ที่ยืนพังอยู่หน้าบ้านโดยอ้อมไปทางหลังบ้าน
"นี่ล่ะเครื่องเดินทางข้ามเวลา" ต้นบอกกับหยก "เราต้องรีบแล้วถ้าจะไป" ต้นเปิดท้ายรถและเอาถังน้ำมันกับแบตเตอร์รี่ออกมาเปลี่ยน
"นายไม่อยากรู้หรอว่าตอนนี้นายเป็นอย่างไรบ้าง คุณตาปู่นายเป็นอย่างไร" หยกถามระหว่างเติมน้ำมัน
"ไม่ล่ะ" ต้นบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง "ตอนนี้ผมอาจจะเป็นซอมบี้เดินอยู่ตรงไหนซักแห่งแน่ๆ ส่วนคุณปู่ก็....คุณปู่...!!!" ต้นพูดไม่ทันจบเขาก็เห็นปู่ของตนเดินออกมาจากบ้าน
"อย่าเข้าไป!!!" หยกห้ามต้นเอาไว้ทัน เพราะปู่ของต้นกลายเป็นซอมบี้ไปแล้ว
"ก๊ากกกกกกกกกกกกกกก!!!" ปู่ของต้นที่เป็นซอมบี้ร้องเสียงดังเรียกพวกซอมบี้ตัวอื่นให้มาที่นี่
"บ้าเอ๊ย...!!! เร็วเข้า พวกมันจะแห่กันมาอยู่แล้ว!!" หยกรีบเอาไม้เบสบอลฟาดใส่ปู่ของต้นที่เป็นซอมบี้เมื่อเขาร้องไม่ทันจบ
"เสร็จแล้ว!!!" ต้นปิดฝาและรีบเข้ามาในรถและตั้งเวลาย้อนกลับไป1ปี คือวันที่3กันยายนปี2014
"พร้อมก็ไปกันเลย!!!" หยกที่วิ่งเข้ามาในรถบอกกับต้นด้วยน้ำเสียงรีบร้อน เมื่อข้างนอกเริ่มมีซอมบี้ที่ได้ยินเสียงของปู่เริ่มทยอยมาที่เป็นจำนวนมาก
"ก๊ากกกกกกกกกก ก๊ากกกกกกกกกกกกก!!!" ซอมบี้หลายสิบตัวร้องตะโกนวิ่งเข้ามาที่รถอย่างบ้าคลั่งหลายสิบตัว ทุกตัวพยายามจะพังรถเพื่อเขาไปจับคนทั้งสองออกมากิน
"แต่พวกซอมบี้ที่เกาะรถล่ะ!! เราอาจพามันไปอดีตด้วย" ต้นตะโกนออกมาด้วยความเป็นห่วง
"เรื่องนั้นช่างมันก่อนเถอะ!!! ไปเดี๋ยวนี้เร็วเข้า!!!" หยกตะคอกใส่ต้นด้วยความโมโห ขณะที่รถถูกเขย่าอย่างรุนแรงด้วยฝีมือของซอมบี้
"เอาไงเอากัน!!!" ต้นตะโกนเสียงดังก่อนกดปุ่มข้ามเวลาทันทีและเหยียบคันเร่งทันที!!!
"วู๊บบบบบบบ วู๊บบบบ!!!" ข้างนอกรอบๆตัวรถเต็มไปด้วยความว่างเปล่า ซอมบี้ที่เกาะรถหายไปจนหมดขณะที่รถเขย่าอย่างรุนแรงเหมือนตอนขามา
"กรุณาอย่าเปิดประตูระหว่างเดินทางข้ามเวลา" เสียงหญิงสาวดังทางลำโพงระหว่างเดินทางข้ามเวลา
"มันสั่นแบบนี้ใช่ไหมตอนนายมา" หยกถามต้นด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล
"ประมาณนั้น"ต้นบอก ก่อนจะมีแสงสว่างที่ปลายทางในความมืดจนทั้งสองแสบตา
"ยินดีต้อนรับสู่วันที่3กันยายนปี2014"เสียงหญิงสาวในรถบอกคนทั้งสอง
ทั้งคู่มองหน้ากันโดยไม่พูดอะไรก่อนจะลงไปจากรถอย่างช้าๆและระมัดระวังตัว แต่ภายนอกรถนั้นไม่มีซอมบี้เลยแม้แต่ตัวเดียว
"ทำอะไรกันน่ะพวกเธอ!!!" เสียงปู่ของต้นที่แก่ชรามากแล้วพูดเสียงดุใส่คนทั้งสองเมื่อเห็นเขาออกมาจากรถ
"เย้!!!เราทำสำเร็จแล้ว!!!" หยกกับต้นกอดกันด้วยความยินดีเมื่อเห็นปู่ของต้นที่สภาพเป็นคน
"พวกเธอเดินทางมาจากอดีตกันใช่ไหม พวกเธอไปเปลี่ยนอะไรมารึเปล่า!!! มิติเวลาอาจบิดเบี้ยวได้นะถ้าทำแบบนั้น" ปู่ของต้นบ่นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจเป็นอย่างมาก
"หนูเดินทางมาจากอนาคต ส่วนตานี่เดินทางมาจากอดีตคะ เอาไว้หนูจะเล่าให้ฟังนะค่ะคุณตา" หยกพูดกับกับปู่ของต้นระหว่างเติมน้ำมันรถ ขณะที่ต้นเปลี่ยนแบตเตอร์รี่รถ
"เรียบร้อย" ต้นบอกกับหยก ขณะที่ปู่ของต้นยังบ่นไม่หยุด
"ขอบใจที่ช่วยนะเพื่อน" หยกพูดยิ้มๆกับต้น
"ไม่เป็นไร แล้วเจอกันในอนาคต" ต้นพูดยิ้มๆตอบ
"ถ้าตัวฉันตอนนี้อาจจะใช่ แต่ถ้าตัวฉันในอดีตเดี๋ยวพรุ่งนี้นายก็เจอที่โรงเรียนแล้ว อย่าลืมที่บอกไปล่ะ" หยกปิดประตูเมื่อส่งต้นขึ้นรถ
"ใช่เธอพูดถูก แล้วเจอกันนะ ลาก่อน" ต้นโบกมือลาก่อนจะตั้งเวลาในการเดินทางเพื่อกลับบ้าน ทิ้งหยกกับปู่ไว้ในเวลานี้
"วู๊บ....ฟู๊....!!!" ขอต้อนรับสู่ปัจจุบันคะ" เสียงหญิงสาวในรถบอกกับต้น ซึ่งต้นตั้งเวลาให้ตนเองกลับมาในช่วงที่ต้นเพิ่งย้อนเวลาไปไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้
"กลับมาได้แล้ว ไชโย...!!!" ต้นตะโกนด้วยความดีใจก่อจะเอาสเก็ตที่เอามาด้วยจากในรถ และวิ่งออกมาจากบ้านของปู่ทันทีด้วยความดีใจ
ระหว่างทางเขาพบหยกที่ตอนนี้ยังเป็นเด็กหญิงรุ่นเดียวกับตนกำลังฝึกขี่จักรยาน ต้นก็รีบไปช่วยพยุงก่อนล้มทันที
"ไม่ต้องมาช่วยเลยไอ้บ้า!!!" หยกตะโกนว่าต้น "นายไปทำอะไรมาเสื้อผ้าเปื้อนไปหมดตัวก็เหม็นด้วย" หยกว่าต้น
"พอดีไปเที่ยวอนาคตมาน่ะไม่มีอะไรหรอก" ต้นมองตาหยกแล้วยิ้มให้เธอ "พรุ่งนี้เจอกันที่โรงเรียนนะ ฉันมีอะไรจะบอกเธอมากมายเลย ไปก่อนนะ บาย...." ต้นพูดจบก็วิ่งจากไปด้วยรอยยิ้ม ทิ้งให้เด็กหญิงงุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้นโดยไม่รู้อะไร
"ผมเองก็ไม่รู้หรอกนะว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร แต่ผมจะเตรียมพร้อมรับมือถ้ามันจะเกิดขึ้น" ต้นบอกกับตัวเองระหว่างวิ่งขึ้นรถเมล์ไปบนถนนด้วยรอยยิ้ม