โรคระบาดที่ทำให้คนเต้นจนตาย
ในประวัติศาสตร์มีเหตุการณ์แปลกประหลาดมากมายที่ทำให้ผู้คนต้องตะลึงงัน หนึ่งในเหตุการณ์ที่น่าสนใจและน่าขนลุกที่สุดคือ "โรคระบาดการเต้น" ที่เกิดขึ้นในปี 1518 ที่เมืองสตราสบูร์ก ประเทศฝรั่งเศส เหตุการณ์นี้เริ่มต้นจากหญิงสาวชื่อ Frau Troffea ที่เริ่มเต้นอย่างไม่สามารถควบคุมได้กลางถนน และในเวลาไม่นาน คนอื่นๆ ก็เข้าร่วมกับเธอ ทำให้เกิดการเต้นที่ไม่มีที่สิ้นสุด
เมื่อเดือนกรกฎาคมปีนั้น ผู้คนเริ่มเต้นกันอย่างเมามัน โดยไม่มีการหยุดพัก จนกระทั่งในเดือนสิงหาคม มีผู้คนประมาณ 400 คนที่ถูกดึงดูดให้เข้าร่วมการเต้นนี้ หลายคนล้มลงจากความอ่อนเพลีย บางคนถึงกับเต้นจนตายจากโรคหลอดเลือดสมองหรือหัวใจ สิ่งนี้ทำให้เกิดความวิตกกังวลและความสับสนในหมู่ประชาชนและเจ้าหน้าที่
การวิเคราะห์เหตุการณ์นี้นำไปสู่การเสนอทฤษฎีหลายอย่างเกี่ยวกับสาเหตุของโรคระบาดการเต้นนี้ ทฤษฎีแรกคือคำอธิบายทางศาสนา ที่ชาวคาทอลิกในสมัยนั้นเชื่อว่านักเต้นถูกสาปแช่งโดยนักบุญ Vitus ซึ่งเป็นผู้คุ้มครองนักเต้นและผู้ป่วยโรคลมชัก พวกเขาเชื่อว่าการเต้นนี้เป็นการลงโทษจากพระเจ้าที่เกิดจากการไม่ให้เกียรติ
ทฤษฎีที่สองเกี่ยวข้องกับการเป็นพิษจากเชื้อราเอร์กอต ซึ่งเป็นเชื้อราที่สามารถเจริญเติบโตบนข้าวไรและธัญพืชอื่นๆ เชื้อรานี้มีสารที่สามารถทำให้เกิดอาการหลอนและชักกระตุกได้ อย่างไรก็ตาม ผลกระทบจากการเป็นพิษนี้มักจะหมดไปภายในวันเดียว ในขณะที่โรคระบาดการเต้นกลับเกิดขึ้นเป็นเวลานาน
สุดท้าย ทฤษฎีที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดคือ "โรคจิตเภทจากกลุ่มคน" ซึ่งอธิบายว่าการเต้นนี้เกิดจากความตึงเครียดทางสังคมและความวิตกกังวลที่สะสมในสังคม นักประวัติศาสตร์ John Waller เชื่อว่านักเต้นเข้าสู่ภาวะคล้ายสมาธิที่ทำให้พวกเขาสามารถเต้นต่อไปได้แม้จะเหนื่อยล้า
โรคระบาดการเต้นในปี 1518 เป็นเหตุการณ์ที่สะท้อนถึงพลังของจิตใจมนุษย์และผลกระทบของความเครียดทางสังคมที่สามารถนำไปสู่พฤติกรรมที่ไม่ปกติ แม้ว่าเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นในยุคกลาง แต่ก็ยังคงเป็นที่สนใจและเป็นที่ถกเถียงกันในปัจจุบัน การศึกษาเกี่ยวกับโรคระบาดการเต้นนี้ไม่เพียงแต่ทำให้เราเข้าใจถึงประวัติศาสตร์เท่านั้น แต่ยังช่วยให้เราเห็นถึงความซับซ้อนของจิตใจมนุษย์และการตอบสนองต่อความกดดันในสังคมอีกด้วย