กรุงเทพเมืองซอมบี้ ตอนที่ 2. ความวุ่นวายภายในกรุงเทพ
ผมชื่อหนอนผมเป็นตากล้องที่ขายภาพต่างๆ ให้กับเวปไซต์ข่าวต่างๆ ผมทำข่าวมาแล้วหลากหลายพื้นที่ทั่วประเทศไทย ทั้งขึ้นเหนือล่องใต้มุดดินดำน้ำลุยป่าเข้าถ้ำ เพื่อการหาข่าวผมสามารถไปได้ทุกที่พร้อมกล้องคู่ใจ ผมทำข่าวมาแล้วทุกแบบตั้งแต่ข่าวดารายันไฮโซในงานเลี้ยง ไปจนถึงข่าวอาญากรรมที่มีทั้งศพเน่าเละไปจนถึงศพจากสงคราม ผมเห็นมาแล้วทุกรูปแบบทั้งชีวิตทำงานของผม...แต่สิ่งที่ผมเห็นอยู่ตอนนี้มันกลับแตกต่างอย่างสิ้นเชิง ตลอดชีวิตทำข่าวตลอดหลายสิบปีของผมไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน
ผมควรเรียกมันว่าอะไรดี....!!! ความพินาศวอดวาย....!!! หายนะของโลก.... แต่ก็ไม่มีคำไหนเหมาะไปกว่าคำนี้....จุดจบของโลก....!!!!
ก่อนหน้านั้น เวลา 8.29 นาทีวันที่ 14 กุมภาพันธ์
"วันนี้ไม่ไปไหนหรือไง" พี่อ้วนชายไว้หนวดเคราลงพุงสวมหมวกแก๊ปเก่าๆ สีดำ เพื่อนร่วมงานคนขับเฮริคอปเตอร์ประจำช่อง ทักทายผมที่โต๊ะทำงานในเช้าวันทำงานที่แสนน่าเบื่อ
"คงไม่ไปไหนหรอกพี่ ช่วงนี้ไม่ค่อยมีข่าวอะไรน่าสนใจ มีแต่ข่าวประท้วงปิดถนนเอาไว้ยิงกันเมื่อไหร่ผมค่อยไป" ผมนั่งหมุนปากกาที่โต๊ะทำงานด้วยท่าทางเบื่อหน่าย หลังจากทำงานมานานหลายปีพบเจออะไรมามากมาย ตอนนี้มันคงจะถึงจุดอิ่มตัวในอาชีพของผมแล้วก็ว่าได้ ไม่นานผมคงต้องไปหาความท้าทายใหม่ในอาชีพอื่น ไม่ก็คงจะไปสนามรบที่มียิงกันชีวิตผมถึงจะมีสีสัน
"งั้นหรอ นี่มียาแก้ไอบ้างไหม แค่ก แค่ก ไอมาตั้งแต่เช้าแล้วเจ็บคอไปหมดเลย" พี่อ้วนถามผมระหว่างกดน้ำที่ตู้มาดื่ม
"ไม่ไปหาหมอละ เกิดเป็นอะไรขึ้นมาระหว่างบินจะยุ่งเอาเปล่าๆ " ผมเตือนพี่ชายด้วยความหวังดี เพราะเขาคือคนเดียวในสำนักข่าวที่ขับเฮลิคอปเตอร์เป็น
"โอ้ยไม่ได้หรอก ถ้าเกิดกินยาไปแล้วง่วงระหว่างบินจะงานเข้ากว่านี้" พี่อ้วนไอไปพูดไป
"ตู๊ด ตู๊ด ตู๊ด" เสียงโทรศัพท์ที่โต๊ะทำงานของผมดังขึ้นมา "ฮาโหล สถานีข่าวไทยทีวีครับ อ้าวพลอยหรอ" คนที่โทรมาคือพลอยแฟนสาวที่คบกันมา 2 ปี เธอเป็นนางพยาบาลที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง เรารู้จักกันโดยบังเอิญระหว่างทำข่าวอุบัติเหตุ "ขอโทษทีพอดีแบตโทรศัพท์หมด" พลอยคงโทรมาที่มือถือของผมก่อนจะโทรมาที่เบอร์ของสถานี "พอดีช่วงนี้ยุ่ง ๆ เลยลืมชาร์ตไปเลย" ผมโกหก
"ไม่เป็นไรหรอกพลอยทำงานไปเถอะแค่นี้ อ้าว วางสายไปแล้ว" ผมพูดไม่ทันจบพลอยก็วางสายไปก่อน
“มีอะไรหรอ แค่ก แค่ก” พี่อ้วนถามผม
"พลอยโทรมาบอกว่าวันนี้ไปทานข้าวด้วยไม่ได้แล้ว ที่โรงพยาบาลมีคนไข้ป่วยเป็นโรคแปลกๆ มาเต็มโรงพยาบาลเลย เห็นบอกว่าทั้งพยาบาลทั้งหมอวิ่งวุ่นกันทั้งวัน" เสียงของพลอยฟังดูเหนื่อยๆ อย่างเห็นได้ชัด และตอนที่พลอยพูดสายก็มีเสียงไอของคนไข้ดังแทรกขึ้นมาเป็นระยะจนผมยังได้ยิน แถมเสียงไอคล้ายๆ กับเสียงไอของพี่อ้วน
"ได้ข่าวว่าจองโต๊ะร้านหรูที่ตึกใบหยกมาไม่ใช่หรอ สาวไม่ว่างแบบนี้น่าสงสารจริงๆ " พี่อ้วนตะโกนมาจากโต๊ะทำงานของเขา
"ผมขายต่อพี่เอาไหม พี่จะได้ไปกินกับเมียที่บ้าน" ผมตะโกนแซวกลับไป
"เอาซิแต่ข้าจะไปกินกะเมียน้อยนะไม่ใช่อีแก่ที่บ้าน" เราสองคนหัวเราะเมื่อพูดจบ
"หมดเวลาพักแล้วสาวๆ มีงานเข้า" บก.ชายแก่วัย 50 ปีเศษเดินเข้ามาในออฟฟิศพร้อมกระดาษในมือเดินตรงมาที่ผม
"มีข่าวอะไรหรอครับบก." ผมถาม คงเป็นข่าวประท้วงไม่ก็ข่าวตามดาราแน่ๆ ผมคิดแบบนั้น
"เมื่อกี้สายข่าวแถวคลองเตยรายงานว่ามีสารเคมีรั่วไหลลงแม่น้ำที่ท่าเรือคลองเตย ตอนนี้ทางผู้ว่ากรุงเทพกำลังปิดเรื่องนี้อยู่ โชคเข้าข้างเราเพราะตอนนี้ยังไม่มีใครรู้เรื่องนี้นอกจากเรา" บก.พูดกับผม
"สารเคมีจากที่ไหนหรือครับ" ผมถามระหว่างรับกระดาษที่บอกสถานที่ว่าคือจุดไหนของคลองเตย
"น่าจะมาจากอเมริกาไม่ก็แถบตะวันออกกลาง ไปดูเดี๋ยวก็รู้เอง" บก.บอกกับผมก่อนจะหันไปทางพี่อ้วนที่กำลังนั่งไอ "อ้วนแกขับเฮลิคอปเตอร์พาหนอนไปเก็บภาพมุมสูง ก่อนที่ช่องอื่นจะรู้เรื่องนี้เข้าใจไหม" บก.หันมาพูดกับพี่อ้วน
"แล้วต้องมีนักข่าวไปรายงานข่าวไหมครับบก." พี่อ้วนถามบก.ระหว่างไอเป็นระยะๆ
"ไม่ต้องก็ได้ แค่เก็บภาพมาก็พอเดี๋ยวข้อมูลก็ให้สายข่าวเราส่งมาอีกที เพราะตอนนี้นักข่าวของเราออกไปทำข่าวประท้วงกับข่าวโรคประหลาดไม่มีใครว่างเลย" บก.มองหน้าพี่อ้วนเมื่อพูดกับเขา "ท่าทางดูไม่ค่อยดีเลยไหวรึเปล่า" บก.ถามพี่อ้วนเมื่อเห็นเขาหน้าซีดเหงื่อไหลเป็นน้ำ
"ไหวครับแค่นี้เอง" พี่อ้วนพูดยิ้มๆ ระหว่างปาดเหงื่อ “เมื่อคืนคืนอยู่กับเมียน้อยทั้งคืนจนเพลีย” พี่อ้วนเล่นมุกเพื่อบอกว่าเขาไม่เป็นอะไร
"ดีงั้นฝากด้วยแล้วกัน" เมื่อพูดจบบก.เองก็เริ่มไอออกมาเช่นกัน "คอแห้งจังสงสัยต้องกินน้ำมากๆ ซะแล้ว" บก.บ่นกับตัวเองระหว่างเดินกลับไปที่ห้องทำงานของตน
"ไปกันเถอะครับ" ผมเก็บกล้องใส่กระเป๋าพร้อมออกทำงาน
พี่อ้วนพาผมมาที่เฮลิคอปเตอร์ประจำช่องที่จอดอยู่บนดาดฟ้า "โชคดีที่พี่อยู่ที่นี่พอดีผมเลยไม่ต้องขับรถฝ่าม๊อบไปทำข่าวที่คลองเตย"
พี่อ้วนไอแทนคำตอบเมื่อขึ้นขับเครื่องบิน
เฮลิคอปเตอร์เริ่มทำงานมันส่งเสียงดังไปพร้อมกับเสียงไอของพี่อ้วน และระหว่างบินอยู่บนฟ้าพี่อ้วนก็ไอรุนแรงมากขึ้นจนผมรู้สึกเป็นห่วง
"ไหวรึเปล่าพี่" ผมถามพี่อ้วนเพราะผมห่วงชีวิตตนเองมากกว่าในตอนนี้
"ไหวๆ " พี่อ้วนพยักหน้าพูดกับผม "ดูนั่นซิ" พี่อ้วนเปลี่ยนเรื่องพูดเมื่อเขาเห็นอะไรบางอย่างที่ด้านล่าง
"อะไรกันว่ะนั่น!!!! " ผมอุทานออกมาด้วยความตกใจ เมื่อมองลงไปที่ด้านล่างซึ่งตอนนี้มีแต่ความแตกตื่นวุ่นวาย ผู้คนต่างหนีเอาตัวรอดกันอย่างอลหม่าน
บนถนนรถหลายคันวิ่งชนกันไปมาเหมือนกำลังแตกตื่นหนีตายจากอะไรซักอย่าง รถหลายคันพยายามขับเบียดขึ้นมาที่บนฟุตบาท วิ่งชนทับคนที่หนีตายไปหลายคน โดยที่ทุกคนต่างก็พากันเอาแต่วิ่งหนีเอาตัวรอด โดยที่ไม่มีใครสนใจคนที่บาดเจ็บหรือคนตายบนถนนเลย ทุกคนเอาแต่วิ่งหนี
"ม๊อบประท้วงยิงกันรึเปล่า" พี่อ้วนไอไปพูดไประหว่างที่เบื้องล่างเกิดความวุ่นวายที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน
"ไม่ใช่อย่างแน่นอน" ผมหยิบกล้องมาถ่ายทันทีอย่างไม่รอช้า
ผมซูมไปบนท้องถนนที่มีผู้คนหนีตายกันอย่างชุลมุน หลายคนมีสภาพเลือดท่วมตัวบางคนมีแผลแหวะหวะเต็มตัว คนเหล่านั้นวิ่งไล่กัดคนที่ไม่เป็นอะไรอย่างบ้าคลั่ง รถบนถนนหลายคันชนกันติดยาวไปตลอดถนนทั้งสายในกรุงเทพ
"บ้าไปแล้วดูนั่นซิ" พี่อ้วนตะโกนเรียกผมดูรถเมล์ที่ขับชนรถทุกคันที่ขวางหน้าบนถนน ก่อนจะถูกรถตู้อีกคันหนึ่งตรงสี่แยกขับชนอย่างแรง จนคนขับรถเมล์กระเด็นออกมาทางหน้าต่างฝั่งคนขับนอนชักอยู่ในร้านอาหารตามสั่ง ส่วนคนขับรถตู้ก็กระเด็นทะลุกระจกรถตัวเอง อัดก๊อปปี้กับรถเมล์ร่างเละติดรถเมล์สายนั้น
"อะไรกันว่ะ!!!! " ผมอุทานออกมาด้วยความตกใจ สิ่งเหล่านี้มันคือเรื่องจริงที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความฝัน....ผมพยายามรวบรวมสติที่มี ควบคุมตัวเองไม่ให้ตื่นกลัวกับสิ่งที่เกิดขึ้น มือที่จับกล้องของผมสั่นเทาแต่ก็ยังคงทำหน้าที่อยู่
นี่ละมั้งสีสันที่ตามหา....
มือของผมสั่นเทาด้วยความตื่นเต้น มันต่างจากการทำข่าวสงครามที่ผมเคยเจอมาอย่างสิ้นเชิง มันคือหายะที่เกิดจากอะไรบางอย่างที่ทำให้คนเป็นๆ เกิดบ้าคลั่งทำร้ายคนกันเองอย่างไม่มีเหตุผล
ผมซูมลงไปจับภาพต่างๆ ที่เกิดขึ้นบนท้องถนนให้มากที่สุด
ผมเห็นผู้คนต่างหนีตายเข้าไปในร้านสะดวกซื้อเพื่อแย่งอาหาร ร้านขายของหลายร้านเต็มไปด้วยความวุ่นวายของคนเป็นที่ต้องการอาหาร เพื่อไปกักตุนเอาตัวรอดในเวลาที่โลกเกิดหายะ ห้างร้านที่ยังไม่เปิดก็ถูกทุบกระจกเข้าไปแย่งชิงข้าวของ หลายคนใช้โอกาสนี้ขโมยของต่างๆ ออกมา ขณะที่หลายคนพยายามหนีตายเพื่อเอาชีวิตรอด
"มันเหมือนหนังซอมบี้ชัดๆ " ผมซูมไปที่กลุ่มคนที่ก้มๆ เงยๆ เหมือนกำลังรุมกินอะไรบางอย่างอยู่ริมถนน เมื่อซูมไปชัดๆ จึงรู้ว่าคนเหล่านั้นกำลังกินศพคนตายอยู่
ผมเห็นชายคนหนึ่งกำลังนั่งแทะขาของผู้หญิงคนหนึ่งที่มีส้นสูงสีแดงอยู่ที่เท้า ชายคนนั้นแทะขาข้างนั้นอย่างหิวโหยเหมือนกำลังกินน่องไก่ก็ไม่ปาน ถัดไปไม่ไกลผมเห็นเด็กชายหญิงคู่หนึ่งในชุดนักเรียนกำลังยื้อแย่งควักเครื่องในของชายคนหนึ่งอยู่หน้าร้านขายของเล่น ฝั่งตรงข้ามของถนนผมเห็นลุงแก่ๆ วัย 60 ปีเศษกำลังปลุกปล้ำชายหนุ่มคนหนึ่ง ก่อนที่ชายแก่จะกัดที่คอชายหนุ่มจนเลือดกระฉูดออกมาและล้มลงเป็นอาหารให้ชายแกกินทั้งเป็น
"นี่มันบ้าชัดๆ ไม่มีทางเป็นไปได้หรอก" ผมอึ้ง
"บ้าเอ๊ย!!!! " และที่อาคารตึกสูงผมเห็นคนหล่นลงมาจากดาดฟ้า หลายคนหนีตายขึ้นมาบนนี้เพราะถูกฝูงคนตายไล่มา บางคนถูกรุมกินโต๊ะส่วนหลายคนก็เลือกความตายโดยการกระโดดมากกว่ายอมถูกกินทั้งเป็น เสียงกรีดร้องของผู้คน เสียงร้องขอความช่วยเหลือและเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดทรมาน ดังปะปนกันมั่วไปหมดบนท้องถนนวินาทีนี้ ผมเองก็ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าการนั่งดูหายนะครั้งนี้บนเฮลิคอปเตอร์....
"ตูมมมม!!!! " เสียงระเบิดของปั๊มน้ำมันเมื่อมีรถคันหนึ่งวิ่งไปชนปั๊มจนเกิดระเบิด เด็กปั๊มกระเด็นไปไกลข้ามมาที่ร้านอาหารอีกฝั่งของถนน
" พี่เห็นไหมนั่น!!!! " ผมเรียกพี่อ้วนดูกลุ่มคนที่วิ่งหนีตายปะปนไปกับฝูงคนตายที่น่าจะเป็นซอมบี้ หลายคนล้มและถูกเหยียบถูกส้นสูงเจาะที่เบ้าตา (รองเท้ายังคาที่ศพ) บางคนก็ถูกคนตายกัดเลือดฟุ่งกระฉูดและกรีดร้องด้วยความทรมาน ก่อนจะถูกคนตายคนอื่นมารุมกินโต๊ะทั้งเป็นอยู่ริมถนน ตอนนี้วินาทีนี้ทั้งคนเป็นและคนตาย ปะปนกันในกลุ่มคนที่หนีตายอย่างบ้าคลั่ง โดยที่ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร...!!!!
หลายคนพยายามต่อสู้กับสิ่งที่เกิดขึ้น ชายคนหนึ่งคว้ามีอีโต้ขึ้นมาฟันทุกคนที่วิ่งไปมาอย่างบ้าคลั่ง มีทั้งคนที่หนีตายและคนที่เป็นบ้าถูกฟันด้วยความไร้สติของชายคนนี้ และมีเด็กนักเรียนอาชีวะคนหนึ่งเอาปืนออกมายิงทุกคนที่วิ่งเข้ามา แต่ด้วยจำนวนที่มีมากกว่าของคนตายที่ปะปนในความวุ่นวาย สุดท้ายเมื่อกระสุนหมดเด็กนักเรียนอาชีวะคนนั้นก็ถูกรุมฉีกร่างโดยที่ไม่สามารถขัดขืนได้
แม้จะกลัวจนมือของผมที่ถือกล้องสั่นเทา แต่ผมก็ยังไม่หยุดถ่ายภาพที่เกิดขึ้น เหมือนผมต้องการบันทึกเรื่องราวนี้เอาไว้ให้มากที่สุดโดยที่ไม่รู้ว่าวันพรุ่งนี้จะมีรึเปล่าด้วยซ้ำ
และตอนนั้นเองจู่ๆ เครื่องบินก็เกิดส่ายไปมาอย่างรุนแรงเหมือนเครื่องยนต์มีปัญหา
"พี่อ้วน!!!! พี่!!!! " ผมตะโกนเรียกพี่อ้วนด้วยความตกใจ
"ก๊ากกกก ก๊ากกกกก" พี่อ้วนหันมาทางผมด้วยแววตาที่ขาวขุ่นหน้าซีดเผือก มือของเขาไม่ได้อยู่ที่คันบังคับเฮลิคอปเตอร์แล้ว เขาพยายามจะเข้ามากัดผมโดยที่ไม่สนใจเลยว่าตอนนี้เฮลิคอปเตอร์กำลังหมุนและดิ่งลงพื้น
"บ้าเอ๊ย!!!! " โชคดีที่พี่อ้วนเขารัดเข็มขัดนิรภัย เขาจึงมาทำร้ายผมที่นั่งข้างๆ ไม่ได้ แต่ตอนนี้สิ่งที่ผมต้องกลัวมากกว่าคือเรื่องเครื่องที่กำลังจะตกมากกว่า และถ้าผมำม่ทำอะไรซักอย่างผมคงได้ตายแน่ๆ วินาทีนั้นเองที่เฮลิคอปเตอร์กำลังจะหล่นลงที่ด้านบนของห้างสรรพสินค้า ผมเห็นสระว่ายน้ำของห้าง ในวินาทีที่เฮลิคอปเตอร์จะหลง ผมจึงจัดสินใจกระโดดลงน้ำอย่างไม่คิดชีวิต
“ตูม” ผมกระโดดลงในสระน้ำได้อย่างเฉียดฉิว ขณะที่เฮลิคอปเตอร์พุ่งชนส่วนของห้างระเบิดเสียงดังสนั่น
ผมรอดตายอย่างหวุดหวิด แต่กล้องที่ถ่ายเรื่องราวทั้งหมดกลับพังไปพร้อมกับเฮลิคอปเตอร์ไปแล้ว ผมดูนาฬิกาที่ข้อมือของตน มันบอกเวลา9.00นาทีพอดี โชคดีที่ห้างยังไม่เปิดที่นี่จึงนับว่ายังปลอดภัยระดับหนึ่ง
แต่ตอนนั้นเองผมก็นึกถึงสิ่งๆ หนึ่งออกหลังจากรอดชีวิต.... "พลอย!!!! " ผมนึกถึงแฟนสาวที่อยู่โรงพยาบาล ตอนนี้เธอจะเป็นยังไงบ้าง ผมเป็นห่วงเธอจริงๆ ตอนนี้โทรศัพท์ของผมก็ไม่ได้เอามา เบอร์โทรศัพท์ของพลอยที่จะโทรไปผมก็จำไม่ได้
ผมควรจะทำยังไงดี ผมควรฝ่าดงคนตายไปช่วยเธอหรือว่าควรจะเอาตัวรอดอยู่ในห้างแบบนี้ดี.ใครก็ได้บอกผมที....!!!!
ตอนนี้ผมเดินมาที่ริมขอบตึกยืนดูหายนะของกรุงเทพที่ยังคงดำเนินไป เกิดไฟไหม้หลายๆ จุดในตึกและห้าง รถบนท้องถนนแน่นิ่งไม่ขยับไปไหนแล้ว ขณะที่ผู้คนที่รอดชีวิตก็ค่อยๆ หายไป หลงเหลือแต่คนตายที่วิ่งไปมาส่งเสียงดรีดร้องบนท้องถนน....
นี่คือจุดจบของโลกหรือนี่....????