ท่องโลกดึกดำบรรพ์: ยักษ์ใหญ่แห่งแดนทะเลทราย
ยุคโอลิโกซีน (Oligocene era) เป็นยุคที่เริ่มตั้งแต่ 32-20 ล้านปีที่แล้ว ยุคนี้เริ่มต้นขึ้นหลังจากที่แอฟริกาเชื่อมต่อกับยุโรปและตะวันออกกลาง อินเดียต่อกับทวีปเอเชียกลางยกตัวขึ้นเป็นเทือกเขาหิมาลัย อเมริกาเหนือและใต้ยังคงแยกกันเอกเทศ และเอเชียตะวันออกเริ่มมีการขยับขึ้นลงของรูปทรงทวีปอยู่ เป็นช่วงเวลาก้าวกระโดดของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมหลายๆ ชนิดที่วิวัฒนาการขึ้นมามากมาย และมีสัตว์หลายๆ กลุ่มพัฒนาขึ้นมามากขึ้น วันนี้ เราจะพาทุกท่านเดินทางไปยังหมวดหินฮซันดา กอล (Hsanda Gol formation) ในประเทศมองโกเลียตะวันออก ถ้าสนใจแล้วไปดูกันเลย!
เมื่อโลกเริ่มเย็นตัวลง ทะเลทรายและทุ่งหญ้าในซีกโลกเหนือกระจายตัวขึ้น พืชเขตหนาวอย่างสน โอ๊ก เบิร์ช ท้อ แอ็ปเปิ้ล และเฮล์มก็ปรากฏขึ้นในซีกโลกเหนือแล้ว หญ้าเองก็เฟื่องฟูที่สุดในยุคนี้และกลายเป็นพืชอีกกลุ่มที่กระจายพันธุ์มามากขึ้น แต่ที่ฮซันดา กอล เป็นทะเลทรายและกึ่งทุ่งหญ้าเสียมาก ดูคล้ายกับทุ่งหญ้าซะวันน่าแถบแอฟริกาซับซาฮาร่า กระนั้นเอง ในสถานที่แห่งนี้ ก็มีสิ่งมีชีวิตมากมายอาศัยกันอยู่นะ
(โปรลากัส)
เมื่อคุณเดินทางไปตามร่องเขา ต้นไม้ขนาดใหญกลุ่มเฮลม์และอาเคเชียขึ้นสูงตระหง่าน มีสัตว์เล็กๆ จำพวกกระต่ายดึกดำบรรพ์อย่างโปรลากัส (Prolagus) เป็นกระต่ายยุคแรกๆ ที่วิวัฒนาการขึ้นมา พวกมันใช้ประโยชน์จากขนาดตัวที่เล็กและว่องไวในการกินพืชพุ่มเตี้ยตามพื้นทรายต่างๆ ได้ กระนั้นเองก็ยังสามารถขยายพันธุ์ได้มากเช่นกันด้วยอัตราการเมตาบอลลิซึ่มที่รวดเร็ว แต่ก็แลกมากับการกินอาหารจำนวนมากให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายด้วย กระนั้นเอง กระต่ายชนิดนี้ก็เป็นสัตว์เล็กๆ ที่อยู่ล่างสุดของห่วงโซ่อาหาร
(นิมราวัส)
เมื่อคุณมองดู คุณก็ได้เห็นสัตว์คล้ายแมวป่าขนาดใหญ่ขึ้นมาเล็กน้อย มันมีเขี้ยวยาวจากกรามบนดูโดดเด่นหนึ่งคู่ ความยาวพอๆ กับสุนัขขนาดกลางและตัวเรียวบาง นี่คือ นิมราวัส (Nimravus) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมกินเนื้อดึกดำบรรพ์ที่คล้ายกับแมวป่า เป็นญาติห่างๆ ของสัตว์ตระกูลแมว มีเขี้ยวยาวใช้เจาะคอหอยของเหยื่อให้ตายสนิทคล้ายเสือเขี้่ยวดาบ นิมมาวารัสย่อตัวรอกระต่ายน้อยเข้ามาใกล้แล้วรีบคว้าเหยื่อในทันที กัดเพียงไม่กี่ครั้งก็จับเหยื่อให้ตายได้ นิมมาวารัสรีบคาบเหยื่อของมันก่อนจะวิ่งขึ้นไปข้างบนต้นไม้ บนพื้นดินของทะเลทรายช่วงบ่ายๆ ที่แดดเริ่มน้อยลงทำให้เหล่าสัตว์นักล่าอื่นๆ ที่รอหากินก็ออกมาแย่งอาหารกันอีกด้วย
(พาราเซราเธอเรี่ยม)
เดินมาต่ออีกนิด คุณก็ต้องสะเทือนต่อเสียงฝีเท้าขนาดใหญ่ที่เบา และแล้ว สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมประหลาดสี่ขาคอยาวเดินออกมาจากแมกไม้ หน้าตาของมันดูน่ากลัว เสียงฟืดฟัดจากจมูกพ่นลมหายใจราวกับโกรธเกรี้ยว นี่คือ พาราเซราเธอเรี่ยม (Paraceratherium) สัตว์กีบคี่ขนาดใหญ่ เป็นญาติของแรดและสมเสร็จ พวกมันมีกีบเท้าสามกีบในแต่ละนิ้ว มีความสูงถึง 4 เมตรจากหัวไหล่ และยาวจากหัวจรดหางถึง 8 เมตร นอกจากไดโนเสาร์แล้ว สัตว์ที่สูงใหญ่ขนาดนี้ในยุคปัจจุบันก็หาตัวไหนเทียบไม่ได้ พาราเซราเธอเรี่ยมวิวัฒนาการคอที่ยาวคล้ายยีราฟเพื่อเข้าถึงยอดไม้อ่อนบนต้นไม้ และขนาดตัวที่ใหญ่กับขายาวใช้ในการป้องกันตัวจากนักล่า แถมยังมีขายาวในการเดินทางอพยพระยะไกลด้วย พวกมันไม่ได้อยู่เป็นฝูงใหญ่แบบช้าง แต่อยู่กันอย่างหลวมๆ กระจายออกไป
(ยูเมริกซ์)
เมื่อคุณดูการกินของพาราเซราเธอเรี่ยม มันใช้ริมฝีปากที่ยืดคล้ายงวงค่อยๆ รูดและริดใบไม้เข้าปาก เป็นสัตว์ที่มีพฤติกรรมการกินอาหารแปลก แต่สิ่งนี้คือการปรับตัวเพื่อกินอาหาร แรดบางชนิดในปัจจุบันก็มีริมฝีปากที่ริดอาหารกินได้แบบนี้เช่นกัน นอกจากนี้ ยังมีสัตว์อื่นมาร่วมกินอาหารด้วยกันอีกด้วย อย่างสัตว์กีบคู่รูปร่างคล้ายกวางที่ตัวใหญ่พอๆ กับวัวปัจจุบันอย่าง ยูเมริกซ์ (Eumeryx) ถึงจะมีหน้าตาเช่นนี้ แต่สัตว์ชนิดนี้เป็นญาติห่างๆ ของยีราฟ พวกมันกินใบไม้และกิ่งไม้ที่หักจากการขย่มกินของสัตว์ใหญ่อย่างพาราเซราเธอเรี่ยมอีกด้วย ยูเมริกซ์นั้นอยู่กันเป็นฝูง ด้วยความที่พวกมันตัวเล็กกว่า จึงต้องอยู่กันหลายๆ ตัวเพื่อป้องกันตัวจากนักล่า
(ไฮยีโนดอน)
ขณะที่มียูเมริกซ์กลุ่มหนึ่งเดินแยกตัวออกมา จู่ๆ มีสัตว์คล้ายหมาป่าวิ่งออกมาจากพุ่มไม้กระโจนเข้าไปกดหนึ่งในนั้นแล้วกัดที่ลำคอ เสียงกระดูกแตกพร้อมกับเสียงแผดร้องอย่างทรมานของเหยื่อดังขึ้น นี่คือ ไฮยีโนดอน (Hyeanodon) ไม่ใช่ญาติของสุนัขหรือแมว และถึงจะมีชื่อแบบไฮยีน่า นี่กลับไม่ใช่ได้เกี่ยวข้องกัน พวกมันเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมกินเนื้อที่พิเศษมากจนนักวิทยาศาตร์จัดแยกอนุกรมวิฐานของพวกมันเป็นอันดับแยกอีกที ไฮยีโนดอนมีจุดเด่นที่ฟันกรามเลื่อยขนาดใหญ่และการกัดที่เน้นการบดเหยื่ออย่างแรง จะไม่ใช่การกัดเข้าที่จุดตายสำคัญของเหยื่อ ดังนั้น เหยื่อจึงจะตายช้ากว่าและทรมานมากกว่าจากการโจมตีแบบนี้ มีไฮยีโนดอนถึงห้าชนิดอาศัยอยู่ในหมวดหินฮซันดา กอลแห่งนี้ ชนิดที่ใหญ่ที่สุด ก็คือไฮยีโนดอน กีกัส (Hyeanodon gigas) ซึ่้งยาวถึง 4 เมตรและหนัก 2 ตัน ยาวกว่าเสือโคร่งเพียงเล็กน้อย ซึ่งก็คือชนิดที่คุณกำลังเห็นมันลงมือกินเหยื่ออยู่ข้างหน้านี่เอง
(เอนเทโลดอน)
ตอนนี้คุณเดินหลบมาอยู่ใต้ต้นแป๊ะก๊วย นี่ก็เป็นพืชอีกกลุ่มที่หลงเหลือมาจากยุคของไดโนเสาร์และรอดมาจนถึงทุกวันนี้ ในยุคโอลิโกซีน พวกมันก็เจอได้ตามทุ่งหญ้าและทะเลทราย เพราะเป็นแหล่งอาหารสำคัญของนกและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม มีสัตว์หน้าตาคล้ายหมูที่มีขายาวและหน้ายื่นกำลังขุดคุ้ยกินลูกแป๊ะก๊วย นี่คือ เอนเทโลดอน (Entelodon) เป็นสัตว์ในวงศ์เดียวกับฮิปโปและวาฬซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับหมู และนี่คือ ตัวอย่างของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่กินทั้งพืชและสัตว์ มันมีทั้งฟันตัด ฟันเขี้ยว และฟันบด นอกจากจะกินเนื้อแล้ว พวกมันยังกินพืชเพื่อเสริมสารอาหารอีกด้วย แต่แน่นอน เวลาพวกมันออกล่า ด้วยฟันตัดและฟันเขี้ยวที่คมกริบ การกัดนี้บดกระดูกและกล้ามเนื้อของเหยื่อได้ดีทีเดียว เอนเทโลดอนปกติแล้วยาวได้ถึง 4 เมตรและหนัก 2 ตัน จัดเป็นนักล่าขนาดใหญ่อีกชนิดเลยในพื้นที่แถบนี้
ตอนนี้มีบางสิ่งดึงดูดความสนใจของเอนเทโลดอน มันจึงออกวิ่งไปในทันที กลิ่นเหม็นคาวชวนอ้วกดึงดูดนกแร้งและเหยี่ยวให้เข้ามากินซาก นี่คือซากของพาราเซราเธอเรี่ยมวัยอ่อน แม่ของมันแท้งลูกตัวนี้และก็ยังยืนเฝ้าซากมาได้สองวันกว่าๆ แล้ว สัตว์กินซากจึงมายืนรอรวมกันเพื่อกันอาหารมื้อใหญ่ ดูสิ! มีเอนเทโลดอนจำนวนมากกำลังวิ่งเข้ามากินมันเยอะแยะเลย
และแล้ว แม่พาราเซราเธอเรี่ยมก็ทำสิ่งที่ไม่คาดคิด นี่คือสิ่งที่ไดโนเสาร์หรือสัตว์น้อยชนิดจะมี สัญชาติญานในการดูแลลูกและความหวงแหนในสายใย เราอาจจะไม่รู้ว่าพวกมันคิดลึกซึ้งได้ขนาดนี้เชียวหรือ แต่ขนาดสัตว์ใหญ่อย่างช้างหรือแรดก็ยังเฝ้าลูกได้เลย เจ้ายักษ์ส่งเสียงร้องและกระทืบเท้าเตือนสัตว์กินซากให้ถอยออกไป พวกนกแร้งบินขึ้นฟ้า ฝูงเอนเทโลดอนวิ่งเข้าไปและคำรามพร้อมกับเริ่มจะกัดไปที่ขาและลากซากหนี แม่ของพาราเซราเธอเรียมวิ่งเข้ามาและใช้หน้าแข้งยาวสี่เมตรเตะนักล่าที่เข้าใกล้ลูกของมัน เอนเทโลดอนตัวแล้วตัวเล่าถูกเตะกระเด็นจนเริ่มล่าถอยเพราะสู้ไม่ได้ ขณะที่สู้กัน มีเอนเทโลดอนตัวหนึ่งเข้ามากัดซากและคาบชิ้นเนื้อหนีไปได้ เจ้าตัวนี้ถือว่าเลือกได้ดี หากยังดันทุรังเข้าไปลากซากทั้งตัวมากิน อาจจะต้องถูกหน้าแข้งเตะฟาดจนบาดเจ็บทำให้การล่าลำบากขึ้นไปอีกหลายเท่าตัว
หมวดหินฮซานดา กอล เป็นหมวดหินที่สำคัญต่อการศึกษาวิวัฒนาการสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมหลายๆ กลุ่ม และช่วยให้เราเข้าใจรูปลักษ์ การเปลี่ยนแปลง วิวัฒนาการและสภาพแวดล้อมของโลกที่ทรหดและเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาได้ แต่ว่า ในยุคต่อๆ ไป สภาพแวดล้อมแบบนี้ก็จะค่อยๆ ทยอยหดหายไปจากการเข้ามาของสัตว์กลุ่มใหม่ๆ อย่างแน่นอน
ตอนต่อไปเดินทางไปยังอเมริกาเหนือในยุคโอลิโกซีน ไปยังดินแดนที่มีชื่อว่าอาเกต ฟอร์เมชั่น เมื่ออเมริกาไร้ซึ่งไดโนเสาร์ และมีสัตว์ที่วิวัฒนาการขึ้นมามากมาย มีทั้งตัวที่แปลก ตัวที่ดุร้าย และตัวที่ว่องไว จะมีอะไรรอเราอยู่กันแน่ โปรดติดตามใน ท่องโลกดึกดำบรรพ์!
อ้างอิงจาก: https://en.wikipedia.org/wiki/Hsanda_Gol_Formationhttps://www.researchgate.net/figure/The-Hsanda-Gol-Formation-in-the-Taatsiin-Gol-left-side-section-TGL-B-Inser_fig1_343729238
https://www.semanticscholar.org/paper/The-Oligocene-Hsanda-Gol-Formation,-Mongolia-:-a-;-Mellett-Expeditions/9d5d604860ba2a90717d7a51ce02a8ce41f65843