หนุ่มหัวร้อนปาดหน้า-ดึงกุญแจรถปาทิ้ง! สาวสู้ไม่ถอย ควงทนายเอาเรื่องถึงที่สุด หลังพบพฤติกรรมซ้ำซาก 5 ครั้ง*
**หนุ่มหัวร้อน ปาดหน้าดึงกุญแจรถปาทิ้ง พบเคยก่อเหตุแบบเดียวกัน 5 ครั้ง สาวยันเอาเรื่องถึงที่สุด ควงทนายแจ้งความแล้ว แจงปมลดกระจกลงสุด ใช้มือถือเพราะไม่ชินเส้นทาง**
วันที่ 7 ก.ค. 2567 เวลาประมาณ 15.30 น. น.ส.แอ๋ม วัย 28 ปี ผู้เสียหายจากเหตุการณ์หนุ่มหัวร้อนปาดหน้ารถและดึงกุญแจรถปาทิ้ง ได้ให้สัมภาษณ์กับ 'ข่าวสดออนไลน์' โดยเปิดเผยว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 3 ก.ค. 2567 ขณะที่เธอเดินทางจากลำปางไปทำธุระที่ศาลจังหวัดเชียงใหม่
ในระหว่างขับรถในเลนขวา บนทางขึ้นสะพาน น.ส.แอ๋มสังเกตเห็นว่ามีรถคันหนึ่งขับจี้มาใกล้ ๆ เธอพยายามเปลี่ยนไปยังเลนซ้ายแต่เนื่องจากมีรถมากทำให้ไม่สามารถทำได้ทันที หลังจากที่สามารถเบี่ยงไปเลนซ้ายได้ เธอได้บีบแตรสองครั้งเพื่อขอโทษและแสดงความโมโหเล็กน้อย
รถคันดังกล่าวกลับขับมาปาดหน้ารถของเธอ คนขับชายลงมาจากรถพร้อมใช้ถ้อยคำหยาบคายและกล่าวหาว่าเธอเล่นโทรศัพท์มือถือขณะขับรถ น.ส.แอ๋มพยายามจะอธิบายว่าเธอใช้โทรศัพท์เพียงเพื่อถ่ายคลิป แต่ชายดังกล่าวดึงกุญแจรถของเธอและโยนทิ้งไปข้างทางทำให้กุญแจรีโมตชำรุด
น.ส.แอ๋มยอมรับว่าตอนนั้นเธอกลัวและตกใจมาก โดยเฉพาะเมื่อมีลูกชายวัย 7 ขวบนั่งมาในรถด้วย เธออธิบายว่าลดกระจกลงสุดเพราะเป็นระบบอัตโนมัติของรถ และยืนยันว่าไม่ได้เล่นโทรศัพท์ขณะขับรถ แต่เปิดแผนที่ในโทรศัพท์และให้ลูกชายถือ
วันนี้ น.ส.แอ๋มได้เดินทางมาแจ้งความพร้อมกับทนายความที่ สภ.ช้างเผือก จังหวัดเชียงใหม่ โดยเบื้องต้นยังไม่ทราบตัวผู้ก่อเหตุแต่พบว่ามีผู้เสียหายที่ถูกชายดังกล่าวก่อเหตุในลักษณะคล้ายกันถึง 5 คดี หนึ่งในนั้นถูกทำร้ายร่างกาย นอกจากนี้ยังพบว่าชื่อเจ้าของรถกับคนขับไม่ใช่คนเดียวกัน
สุดท้าย น.ส.แอ๋มอยากฝากให้เรื่องราวนี้เป็นอุทาหรณ์บนท้องถนน ไม่อยากให้ใช้ความรุนแรง และอยากให้ใช้สติ หากอารมณ์ร้อนไปและเกิดความรุนแรงขึ้นมาอาจจะเกิดความสูญเสียมากกว่านี้
หลังจากเรื่องราวนี้เผยแพร่ออกสู่โลกโซเชี่ยลก็มีผู้คนมาแสดงความคิดเห็นกันเป็นจำนวนมาก อาทิเช่น "จัดหนักเลยครับคนพันธุ์นี้" "แบบนี้ต้องจัดหนักเลย" "ว่าไมมันคล่องจัง เอาให้หนักครับ" "โครตเฮง ที่ผ่านมาไม่เคยเจอรุ่นปุ่มสตาร์ทเลย" "เอาเรื่องให้ถึงที่สุด พวกสันดานต่ำตม" เป็นต้น