ท่องโลกดึกดำบรรพ์: จุดเริ่มต้นหรือจุดจบ
มอนทาน่า รัฐแห่งหนึ่งทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของสหรัฐอเมริกา มีพื้นที่กว้างประกอบจากแผ่นดินรกร้างมากมาย สถานที่แห่งนึ้ขึ้นชื่อเรื่องการขุดค้นพบฟอสซิลและซากดึกดำบรรพ์อันหลากหลาย เป็นศูนย์กลางการค้นพบไดโนเสาร์นานาชนิด และได้มีเหล่านักวิทยาศาตร์ผู้อุทิศตนให้กับการศึกษาสถานที่แห่งนี้เช่นกัน ถ้าสนใจแล้วและพร้อมแล้วก็ตามมากันเลย
66 ล้านปีที่แล้ว คือช่วงเวลาสุดท้ายของยุคครีเตเชียส เมื่อนับสืบย้อนไป ตอนนี้โลกกำลังดำเนินมาอย่างช้าๆ เช่นเดียวกับเหล่าไดโนเสาร์ในดินแดนนี้ มอนทาน่าในยุคครีเตเชียสนั้นมากไปด้วยพืชพันธุ์นานาชนิด มีความเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำมาก ต้นไซเปรสโบราณที่คล้ายสนงอกแทงรากขึ้นจากพื้นดินที่ชุ่มแฉะมากมาย ซ้ำอากาศเองก็อบอุ่นกว่ามากกว่าช่วงยุคปัจจุบันด้วย การนับเวลาถอยหลังจะเริ่มนับไล่มาอย่างช้าๆ และไม่นานนัก ภัยพิบัติครั้งใหญ่จะทำลายโลกนี้
(เอ็ดมอนโตซอรัส)
ในช่วงเวลานี้เอง อเมริกาเหนือมไม่มีไดโนเสาร์คอยาวเหลือให้เห็นแล้ว แต่กลับถูกแทนที่ด้วยไดโนเสาร์กลุ่มออร์นิโธพอดมากมายหลายชนิด ซึ่งคาดว่าพวกมันคงอพยพมาจากทวีปเอเชียผ่านสะพานแผ่นดินที่ไซบีเรียและทอดตัวยาวลงมายังอะลาสก้า คุณได้เห็นไดโนเสาร์ที่มีรูปร่างคล้ายม้า มีจะงอยปากแข็งและแบน นี่คือ เอ็ดมอนโตซอรัส (Edmontosaurus) พวกมันเป็นไดโนเสาร์กินพืชขนาดใหญ่ มีปากแข็งแรงใช้กัดกินพืชทุกส่วน จะรากแข็งๆ หรือเปลือกไม้ก็สามารถกินได้ และพวกมันสามารถอพยพได้ไกลหลายพันไมล์ ในช่วงนี้คือช่วงฤดูหนาวที่มันหนีหนาวมาจากทางรัฐอะลาสก้าลงมาหากินตามพื้นที่ชุ่มน้ำทางตอนใต้ ด้วยความยาวถึง 10 เมตรและหนักถึง 6 ตัน พวกมันจึงมีขนาดตัวไว้เป็นเครื่องป้องกันตัว ในตัวผู้จะมีหงอนขนาดเล็กใช้ในการดึงดูดเพศตรงข้ามด้วย
(ภาพเปรียบเทียบไทรเซอราทอปส์ (บน) และโทโรซอรัส (ล่าง))
ข้างๆ นั้นมีไดโนเสาร์มีเขาสองชนิดอาศัยยืนหากินปะปนกันไป พวกนี้เป็นกลุ่มเซราท็อปเซียน (Ceratopsian) หรือพวกมีเขาปากนกแก้ว ปากของพวกมันเป็นจะงอยคล้ายนกแก้วใช้แทะกินพืช และเขาบนหัวกับแผงคอนั้นก็สารพัดประโยชน์ ใช้ข่มขู่นักล่าหรือว่าอวดเพศตรงข้ามก็ได้ ในนี้มีสองชนิด ตัวที่มีเขาโค้งยาวสวยงามและปลายเขาชี้ขึ้นด้านบนคือไทรเซอราทอปส์ (Triceratops) ชื่อนี้แปลว่าสามเขา มาจากเขาสองอันและนอที่ปลายจมูกอีกหนึ่งนั่นเอง ส่วนอีกชนิดก็คือ โทโรซอรัส (Torosaurus) ที่ชื่อนี้แปลว่ากิ้งก่าวัว ปลายเขาของมันจะตกลงชี้ลงล่างไม่เหมือนกันนั่นเอง
เมื่อเดินต่อมาอีกหน่อยรอบๆ พื้นที่ชุ่มน้ำ ไดโนเสาร์มีขนคล้ายนกหลายชนิดหากินรอบๆ พื้นที่นี้ เช่น สตรูธิโอมิมัส (Struthiomimus) ที่คอยาวคล้ายนกกระจอกเทศ มันกำลังง่วนกับการสร้างรังโดยเอากิ่งไม้มาสานกันอยู่ การที่มันหากิ่งไม้ได้ไปรบกวนสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมยุคดึกดำบรรพ์เข้า นี่คือซิโมโลมิส (Cimolomys) เจ้าตัวเล็กคล้ายหนูนี้คือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมยุคแรก ซึ่งยังมีขนาดตัวไม่ใหญ่มากนัก แต่ตัวของมันก็ร้องเตือนสตรูธิโอมิมัสให้ระวัง แต่ผู้บุกรุกยังคงไม่สนใจและคาบกิ่งไม้ไปมากพอเต็มปากเพื่อสานรังของตัวเองต่อ
(อันซู)
(เล็ปโตเซราทอปส์)
(แพคคิเซฟาโลซอรัส)
ตอนนี้เรามาพักชมวิวตามแหล่งน้ำกัน พืชอย่างแป๊ะก๊วย แมกโนเลีย กุหลาบ และบัวบานสะพรั่งทำให้ป่ามีสีสันหลากหลายสวยงาม มีอันซู (Anzu) โอวิแรปเตอร์ริดจำนวนหนึ่งคุ้ยเขี่ยหาลูกแป๊ะก๊วยกินเป็นอาหารคู่กับเลปโตเซราทอปส์ (Leptoceratops) และแพคคิเซฟาโลซอรัส (Pachycephalosaurus) เมื่อรอไปสักพัก แองคิโลซอรัส (Ankylosaurus) ไดโนเสาร์หุ้มเกราะหางลูกตุ้มขนาดใหญ่เดินย่างออกมาจากราวป่ามากินลูกแป๊ะก๊วยเช่นกัน ด้วยขนาดตัวที่ใหญ่ของมันเมื่อเสียดสีกับลำต้นก็ทำให้ผลไม้ร่วงลงมามากมายเป็นอาหารให้สัตว์เล็กๆ ตามกันอีกที เมื่อมองดูที่แหล่งน้ำ เควตซัลโคแอตลัส (Quetzalcoatlus) เทอโรซอร์ขนาดใหญ่วงศ์แอซดาร์คิดกำลังจิบกินน้ำหลังจากบินร่อนบนท้องฟ้าหลายกิโลเมตร ทุ่งดอกไม้ริมน้ำตามราวป่านี้ช่างสงบจริงๆ
(แองคิโลซอรัส)
(เควตซัลโคแอตลัส)
ทว่า เสียงฝีเท้าบางอย่างวิ่งตรงรี่ออกมาจากราวป่าอย่างรวดเร็ว นักล่าขนาดใหญ่ตัวโตวิ่งออกมาอ้าปากมุ่งตรงมาอย่างรวดเร็วใส่ฝูงสัตว์เล็กๆ เหล่านี้ นี่คือ ไทแรนโนซอรัส เร็กซ์ (Tyrannosaurus Rex) ไดโนเสาร์กินเนื้อขนาดใหญ่ที่สุดในทวีปอเมริกาเหนือ เรารู้จักและคุ้นเคยกับมันดี หัวขนาดใหญ่มีกรามแข็งแรง ยาวถึง 11 เมตรและน้ำหนักถึง 6 ตัน มันคือนักล่าขนาดใหญ่ที่สุดที่สามารถล้มไทรเซอราทอปส์ได้สบายๆ ตอนนี้พวกสัตว์เล็กวิ่งไปหลบในพุ่มไม้กันหมดแล้ว เหลือแต่แองคิโลซอรัสที่ยืนพิงต้นไม้ เมื่อสัตว์ทั้งสองเห็นกันก็ตั้งท่า แองคิโลซอรัสนอนหมอบติดพื้น เพราะส่วนท้องไม่มีแผ่นกระดูกป้องกันตัวเหมือนบนหลังและตามขา หางที่มีก้อนกระดูกคล้ายลูกตุ้มทุบฟาดไปบนพื้นพร้อมกับเสียงร้องทุ้มต่ำ ไทแรนโนซอรัสชะงักงันและหยุดลงในทันที หางลูกตุ้มนั้นหากฟาดถูกแขนขาหรือแม้แต่ใบหน้าก็คงเจ็บไม่น้อย ทีเร็กซ์จึงล่าถอยออกมาช้าๆ และไม่เข้าใกล้เจ้ารถถังหางลูกตุ้มไปเลย
(ทีเร็กซ์และแองคิโลซอรัส)
ตกค่ำในยามราตรีแล้ว คุณเดินกลับมาที่ทุ่งดอกไม้ตามเดิม รอบนี้มีบางอย่างกำลังนอนแอ้งแม้งอยู่ที่พื้นดิน นี่คือ อันซูผู้โชคร้ายที่ถูกสัตว์อื่นวิ่งชนและถูกเหยียบจนตาย มันนอนแน่นิ่งขณะที่นักล่าขนาดเล็กกำลังแทะร่างของมัน นี่คือ นาโนไทแรนนัส (Nanotyrannus) ไทแรนโนซอร์ขนาดเล็กที่วิวัฒนาการเพื่อล่าสัตว์ที่ตัวเล็กกว่ากินเป็นอาหาร มันกำลังตั้งใจสวาปามเนื้อเข้าไปโดยไม่สนใจคุณ แน่นอนว่าตอนกลางคืนมันควรจะนอนพักผ่อน แต่มันล่าอะไรมาไม่ได้เลยทั้งวัน
(นาโนไทแรนนัส)
และแล้ว ก็ถึงเวลาที่เหล่าไดโนเสาร์ทั้งหมดต้องพากันล้มหายตายจากหายสาบสูญกันไปในที่สุด เมื่ออุกกาบาตยักษ์ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 20 ก.ม. วิ่งผ่านชั้นบรรยากาศของโลกพุ่งตัวเข้ามาและตกลงที่อ่าวเม็กซิโก ด้วยแรงกระทบนั้นส่งชั้นฝุ่นขึ้นไปในชั้่นบรรยากาศลอยฟุ้งไปทั่วสร้างเมฆสีดำปกคลุมไปทั่วโลก นั่นทำให้โลกเริ่มเย็นลงเพราะรับแสงอาทิตย์ที่ผ่านมาไม่ได้ พืชเริ่มเฉาลง และเมื่อไม่มีพืชในห่วงโซ่อาหาร สัตว์กินพืชก็อดตายลง และสัตว์กินเนื้อก็เช่นกัน สัตว์ที่ใช้พลังงานน้อยกว่า ปรับตัวจำศีลในสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงและสภาวะขาดแคลนอาหาร จะอยู่รอดต่อไป สิ่งมีชิวิตหลายกลุ่มหลายสายพันธุ์พากันล้มตายลงไปมากกว่า 90% ในเหตุการณ์เลยทีเดียว
ถึงแม้ไดโนเสาร์จะสูญพันธุ์ไปจากโลก ก็เปิดโอกาศให้นกที่เป็นลูกหลานในสายวิวัฒนาการพัฒนาต่อมาเป็นนกเช่นที่เราเห็น งู จระเข้ กิ้งก่า เต่า ปลาและสัตว์น้ำอื่นๆ ก็พัฒนาขึ้นมาใหม่เช่นกัน และตามด้วยเหล่าแมลงและพืชพันธุ์ที่เริ่มฟิ้นตัวกลับมา แต่ก็จะมีสัตว์กลุ่มหนึ่งที่จะประสบความสำเร็จจนครองโลก และนั่นคือ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมนั่นเอง
ตอนต่อไป เดินทางสู่มหายุคซีโนโซอิก เส้นทางของกาลเวลาเริ่มจะนำเราสู่ยุคปัจจุบันแล้ว! เดินทางมายังอเมริกาใต้สมัย 64 ล้านปีที่แล้ว เมื่องูยักษ์ขนาดตัวเท่ารถไฟเลื้อยในหนองน้ำ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเริ่มพัฒนาขึ้นมาจนหลากหลาย และแหล่งน้ำที่ปลาและเต่ายักษ์แหวกว่ายกันสารพัด นี่คือโลกที่ไร้ซึ่งไดโนเสาร์ จะมีอะไรรอเราอยู่กัน โปรดติดตามใน ท่องโลกดึกดำบรรพ์!
https://www.britannica.com/video/179514/Jan-Smit-extinction-samples-crust-Earth-K-T
https://www.sci.news/paleontology/nanotyrannus-lancensis-12584.html
https://www.dmr.nd.gov/dmr/sites/www/files/documents/paleontology/pdfs/prehistoric-life-map/Hell_Creek.pdf
https://www.fs.usda.gov/sites/default/files/fs_media/fs_document/Last-of-the-Dinosaurs.pdf