Çatalhöyük เมืองเก่าแก่ที่สุดในโลก แหล่งกำเนิดอารยธรรมอันหลากหลาย
ชาทัลโฮยุก หรือ ชาทัลเฮอยึค (Çatalhöyük) เมืองโบราณขนาดใหญ่ ที่ตั้งอยู่ ณ ดินแดนอานาโตเลีย แหล่งกำเนิดอารยธรรมอันหลากหลาย มาตั้งแต่ก่อนประวัติศาสตร์ ปัจจุบันคือประเทศตุรกี
ชาทัลโฮยุก เมืองโบราณแห่งยุคหินใหม่ถึงยุคทองแดง ซึ่งถือเป็นยุคสุดท้ายของยุคหิน มนุษย์เปลี่ยนจากการล่าสัตว์และเก็บของป่า สู่การเริ่มต้นทำเกษตรกรรม ทำปศุสัตว์ และการตั้งถิ่นฐาน
เมืองนี้มีอายุประมาณ 7,500 ถึง 6,400 ปีก่อนคริสตกาล และสมัยที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดคือช่วง 7,000 ปีก่อนคริสตกาล ก่อนที่จะถูกทิ้งร้างประมาณ 5,700 ปีก่อนคริสตกาล
1.การขุดค้นเมือง "ชาทัลโฮยุก" เป็นครั้งแรก
การขุดค้นเมืองชาทัลโฮยุก เป็นครั้งแรก เมื่อปี ค.ศ. 1958 พบหลักฐานสำคัญมากมายไม่ว่าจะเป็นภาพวาดที่ยาวถึง 3 เมตร บนผนังอาคาร มีอายุย้อนกลับไปประมาณ 8,430-8,790 ปีก่อน นักวิชาการชี้ให้เห็นว่านี่อาจเป็นแผนที่เมืองที่เก่าแก่ที่สุดในโลก
2.โครงสร้างผังเมืองชาทัลโฮยุก
ชาทัลโฮยุก ทับถมกันเป็นชั้นๆ ถึง 12 ชั้น ชั้นที่ 4 นักโบราณคดี พบซากเมืองมีผังต่อเนื่องคล้ายเมืองใหญ่ แต่ไม่มีถนน ชุมชนนี้ยังได้รับการขนานนามว่าเป็นชุมชนยุคแรกๆ ของประศาสตร์เลยก็ว่าได้
3.จุดโดดเด่นของเมืองชาทัลโฮยุก
ชาทัลโฮยุก เมืองโบราณที่เชื่อว่าไม่มีการแบ่งชนชั้นทางสังคม ไม่มีบ้านสำหรับนักบวชหรือผู้นำชุมชน ไม่มีศาสนสถาน, พื้นที่สาธารณะ หรือสุสาน ศพที่เสียชีวิตจะถูกฝังไว้ใต้พื้นบ้าน จึงเชื่อกันว่าเป็นเมืองแห่งสังคมความเท่าเทียม
4.การขุดพบรูปแกะสลักลักษณะอ้วนท้วน
นักโบราณคดีพบรูปแกะสลักหินปูน อายุกว่า 8 พันปี ที่ชาทัลโฮยุก มีลักษณะอ้วนท้วนสมบูรณ์
สันนิษฐานว่าเป็นรูปสลักของเทพีแห่งความอุดมสมบูรณ์ หรือเป็นตัวแทนของหญิงสูงอายุที่มีสถานะสูงในสังคมมากกว่าเป็นตัวแทนของตำแหน่งในสังคมที่เสมอภาค รูปแกะสลักนี้มีความสูงราว 17 ซม. กว้าง 11 ซม. อายุประมาณ 6300-6000 ปีก่อนคริสต์กาล
5.ความเชื่อและสภาพสังคม
นักสำรวจโบราณคดี เชื่อว่าภาพวาดและรูปปั้นแกะสลักที่ค้นพบที่เมืองแห่งนี้ อาจเคยเป็นศูนย์กลางทางศาสนามาก่อน รูปปั้นผู้หญิงจำนวนมากที่พบ สันนิษฐานได้ว่าชาวเมืองชาทัลโฮยุก ให้เกียรติผู้หญิงมาก และเป็นไปได้ว่าผู้ชายและผู้หญิงมีสถานะทางสังคมที่เท่าเทียมกัน หรือผู้หญิงอาจจะมีสิทธิ์และอำนาจเหนือกว่าผู้ชายก็เป็นได้
ชาทัลโฮยุก (Çatalhöyük) ถือเป็นหนึ่งในเมืองโบราณที่น่าทึ่งที่สุดในโลก เนื่องจากบรรพบุรุษของเรา เริ่มหันมาใช้ชีวิตในแบบสังคมเมือง รู้จักปลูกผัก เลี้ยงสัตว์ และพัฒนาสิ่งต่างๆ มาจนถึงปัจจุบัน
อ้างอิงจาก: ภาพจากวิกิพีเดีย