ผู้มาเยือนแห่งแวนมิเตอร์: มันมากับราตรี
ในปี 1903 รัฐไอโอว่า สหรัฐอเมริกา เมืองแวนมิเตอร์ (Van Meter City) ได้ก่อตั้งขึ้นมา ประชาชนชาวสหรัฐในยุคนั้นเดินทางอพยพเข้าไปยังดินแดนนั้นกันอย่างล้นหลามเพื่อสร้างบ้าน มีธนาคาร ร้านค้า สถานีตำรวจ และสิ่งอำนวยความสะดวกในยุคนั้นเกิดขึ้นมามากมายตามเทคโนโลยีที่ยุคนั้นจะพออำนวยได้ แต่ทว่า ชาวเมืองแวนมิเตอร์ยังไม่ได้เตรียมตัวและใจให้พร้อมกับสิ่งที่จะมาหลังจากนี้แน่นอน
ผู้มาเยือนแห่งแวนมิเตอร์ เป็นชื่อของอสูรกายลึกลับในตำนานที่ปรากฏตัวออกมาในเมืองแห่งนี้ ผู้คนอธิบายว่าสัตว์ชนิดนี้มีลักษณะน่ากลัว มีปากแหลมยาวหน้าตาคล้ายนก มีความสูงระหว่าง 1.4-1.7 เมตร ยืนสองขาได้แต่ก็จะกระโดดสี่ขาคล้ายจิงโจ้ที่คร่อมกับพื้น แขนของมันเชื่อมกับผังพืดกลายเป็นปีกที่ผิวเป็นหนังที่มีความยาวถึง 3 เมตรเมื่อกางออก มีหงอนแหลมยาวบนหัวและที่หงอนนี้น่าประหลาดยิ่งนัก มันสามารถเรืองแสงออกมาได้อย่างน่าตกใจ ซึ่งแสงที่ส่องออกมาจากหงอนนี้จะสว่างมากๆ พอสมควร
การพบเห็นครั้งแรกเริ่มขึ้น เมื่อ ยู จี กลิฟฟิทธ์ (U. G. Griffith) เจ้าของร้านขายของชำได้ตื่นจากเสียงร้องบางอย่าง เขาจึงได้ไปที่ชั้นสองของร้านที่เขาดัดแปลงเป็นที่นอนและมองออกไปนอกหน้าต่าง เขาได้บอกว่าเขาพบอสูรกายลึกลับปากแหลมยาวกำลังเกาะหลังคาส่งเสียงร้องดังก้องในยามราตรี กลิฟฟิทธ์เห็นดังนั้นจึงคว้าปีนคู่ใจยิงใส่อสูรกายตัวนั้นไปหนึ่งนัด มันร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดและบินหนีออกไปในท้องฟ้ายามค่ำคืน วันรุ่งขึ้นเขาได้รายงานให้ตำรวจฟัง แต่ก็ไม่มีใครเชื่อ
"ทว่า มันยังไม่จบหรอกนะ"
ต่อมาไม่กี่สัปดาห์ คุณหมอจากคลีนิคในเมืองนาม ปีเตอร์ ดันน์ (Peter Dunn) ได้ออกมาข้างนอกในคืนหิมะตกและเห็นเจ้าอสูรกายแห่งแวนมิเตอร์ออกมากระโดดไปบนหิมะ ท่าทางของมันไม่เหมือนนกที่เขารู้จักเลย และมันได้บินหนีไป คาดว่าการกระโดดนั้นคือท่าในการออกตัวสำหรับโผทะยานขึ้นท้องฟ้านั่นเอง ถึงกระนั้น คุณหมอก็ไม่ได้ปักใจเชื่อ เขาคิดว่ามันคือหัวขโมยในชุดสัตว์ประหลาดที่อาจจะกลับมาจากการปล้น เพื่อความปลอดภัยของชุมชน เขาจึงไปดักรอที่ธนาคารที่คนร้ายน่าจะมา แต่ก็ไม่เจออะไร เมื่อกลับมาที่จุดที่เห็นเจ้าอสูรกายนั้น เขาได้หล่อปูนปลาสเตอร์เก็บรอยเท้านั้นเอาไว้ ทว่า ปูนหล่อนั้นก็มิได้อยู่ตกทอดมาจนถึงทุกวันนี้
จากนั้นไม่นาน โอ วี ไวท์ (O.V. White)ได้ออกมาพบเห็นอสูรกายตัวนี้อีกครั้งใกล้บ้านของเขาเอง โดยในขณะที่เขานอนอยู่ที่ชั่นสองของบ้าน แสงไฟสีเขียวคล้ายลำกล้องไฟฉายสาดเข้ามากระทบหน้าของเขา เมื่อตื่นขึ้นมาก็ได้เห็นอสูรกายแห่งแวนมิเตอร์ที่เกาะอยู่บนเสาโทรศัพท์ เขาจึงยิงขู่มันจนมันบินหนีไป เมื่อมีการค้นพบครบสามครั้งแล้ว เหล่าพยานอีกนับร้อยรวมถึงชาวบ้านคนอื่นๆ ก็จะเห็นมันอยู่เรื่อยๆ พวกเขาจึงลงบันทึกหนังสือพิมพ์ประจำเมือง ทว่า ทุกการพบเห็นนั้นก็ล้วนบอกตรงกันว่า อสูรตัวนั้นก็ไม่ได้ทำอันตรายใดๆ แก่ชาวเมืองเลย
ถึงกระนั้น ชาวเมืองแวนมิเตอร์ไม่ได้นิ่งนอนใจ พวกเขาคาดว่าอสูรกายตัวนี้น่าจะนอนในตอนกลางวันและคงใช้ถ้ำขนาดใหญ่ในการนอน พวกเขาจึงบุกไปยังเหมืองถ่านหินเก่าข้างเมืองที่มีโพรงถ้ำขนาดใหญ่ เหมืองนี้น่าจะเป็นที่เหมาะสมสำหรับสัตว์ขนาดใหญ่ที่น่าจะนอนพัก พวกเขาจึงได้เข้าไปข้างในด้วยตะเกียงและอาวุธครบมือ เมื่อเข้าไปก็ต้องประหลาดใจ ในถ้ำมีอสูรกายถึงสองตัว คาดว่าเป็นตัวผู้ตัวเมีย พวกมันเมื่อเห็นผู้บุกรุกก็ส่งเสียงร้องทุ้มต่ำครางออกมาขับไล่เหล่าชาวเมืองจนล่าถอยไป จากนั้นวันต่อมาพวกเขาจึงมารวมตัวกันจุดระเบิดไดนาไมท์ปิดปากถ้ำฆ่าเจ้าสัตว์ประหลาดทั้งสองให้ตายในถ้ำที่ปิดตาย หลังจากนั้นจึงไม่มีคนได้พบเห็นมันอีกเลย ปิดตำนานของอสูรกายแห่งแวนมิเตอร์ผู้มาเยือนในยามราตรีไปอย่างถาวรตลอดกาล
จากบันทึกที่มีและตำนานเมืองที่มีอันน้อยนิด นักสัตวลึกลับวิทยาได้กว่าวว่า สิ่งมีชีวิตที่พวเขาเห็นอาจจะเป็นนกหรือสัตว์ปีกที่ไม่ทราบชนิด แต่เมื่อมองดูใกล้ๆ แล้ว พวกมันกลับคล้ายกับสัตว์ดึกดำบรรพ์ที่สูญพันธุ์ไปแล้ว อย่างเช่น เทอราโนดอน (Pteranodon) หรือเทอโรแดกทิลลัส (Pterodactylus) ที่เป็นสัตว์เลื้อยคลานบินได้ดึกดำบรรพ์จากสมัย 120-95 ล้านปีที่แล้ว ที่อาจจะเหลือรอดและวิวัฒนาการเพื่ออาศัยในถ้ำมืดและหากินยามราตรี ที่หงอนอาจจะมีสารเรืองแสงหรือแบคทีเรียที่หลั่งสารเรืองแสงที่สัมผัสกับอ็อกซิเจนแล้วจะเกิดเป็นแสงไฟใช้ในการล่อเหยื่ออย่างค้างคาวหรือกบเข้ามาก่อนจะถูกกิน หรือไม่ก็ใช้ในการสื่อสารกับพวกเดียวกัน ถึงกระนั้นหลักฐานทางกายภาพก็ไม่มีเลย จึงไม่ได้มีการค้นพบมากนัก และเรื่องลึกลับนี้ก็เป็นเพียงปริศนาต่อไปจนถึงทุกวันนี้
อ้างอิงจาก: https://www.desmoinesregister.com/story/news/2015/07/01/van-meter-remembers-1903-visit-from-winged-monster/29583469/
https://cryptidz.fandom.com/wiki/Van_Meter_Visitor
https://dailyyonder.com/visiting-with-the-van-meter-visitor-as-the-festival-takes-shape-this-fall/2021/08/06/
พืชที่มีพิษร้ายแรงเทียบเท่าพิษงูเห่า
'ฮุนเซน' ควันออกหู หลังลาวฉวยโอกาสขายของตัดหน้า แย่งสัมปทานจีน
‘ดร.ธรณ์’ แนะนำ ถ้าจะย้ายที่อยู่ จังหวัดไหนเหมาะที่สุด ที่ไม่มีมลพิษของฝุ่นและภัยพิบัติทางธรรมชาติ
พบเครื่องบิน "โบอิ้ง 737" ที่หายไป 13 ปี ถูกจอดทิ้งกลางสนามบิน
แคปซูลกาลเวลา 1,700 ปี การค้นพบหลุมศพโรมันที่ "สมบูรณ์แบบ" ในฮังการี
🔍 ถอดรหัสปี 2568! คนไทยค้นหาอะไรบน Google มากที่สุด สะท้อนภาพสังคมแห่งปี
10 อันดับเมืองที่มีมลพิษสูงสุดกรุงเทพฯ
ชาวนาเขมรยกมือไหว้วอนคนไทย “เปิดด่านช่วยด้วย” หลังราคาข้าวทรุดหนัก สวนทางคำพูดในอดีตที่เคยดูแคลนไทย
สภาทนายความ แจงเหตุลบชื่อ ‘ทนายคนดัง’ ออกจากทะเบียนทนาย
ชาว เกษตรกร เขมร กดดันไทยเปิดด่าน ควบรถไถเหยียบนาข้าวทิ้ง ราคาตกต่ำสุดขีด
เปิดการบ้านภาษาไทย เรียงอักษรให้เป็นคำ แบบนี้ยากไปไหม
แบงก์เขมรปิด ฮุน โต! เผ่นหนี ลูกค้าถอนเงินไม่ได้
ซาอุฯ สั่ง "มันอัดเม็ดไทย" เพิ่ม 30,000 ตัน! เกษตรกรเฮลั่น
นี่คือสิ่งมีชีวิตที่สูงที่สุดและใหญ่ที่สุดในโลก Redwood และ Sequoia
เฮลิคอปเตอร์ไร้คนขับของจีน ทดสอบบินและยิงกระสุนจริงครั้งแรกแล้ว
‘ดร.ธรณ์’ แนะนำ ถ้าจะย้ายที่อยู่ จังหวัดไหนเหมาะที่สุด ที่ไม่มีมลพิษของฝุ่นและภัยพิบัติทางธรรมชาติ







