ท่ามิชชันนารี ท่าร่วมรักพื้นฐานมาจากไหน? 18+
เชื่อว่าหลายๆท่านคงเคยใช้ท่าร่วมรักสุดแสนจะเบสิคอย่าง ท่ามิชชันนารี ซึ่งเป็นท่าที่ผู้หญิงอยู่ข้างล่างผู้ชายอยู่บน เบสิกสุด แล้วท่านี้มันมีที่มาอย่างไรกัน
มันมีตำนานที่เราอาจเคยได้ยินตอนเด็ก ๆ หรือตอนวัยรุ่นว่า ตอนช่วงอาณานิคมมันเป็นท่าที่พวกมิชชันนารีจากโลกตะวันตกเอาไปสอนคนพื้นเมืองที่ชอบร่วมเพศกัน “ท่าหมา” ให้เปลี่ยนมาใช้ “ท่ามิชชันนารี” เพราะเป็นพฤติกรรมที่ดู“ธรรมชาติ” กว่า ศิวิไลซ์กว่า การร่วมเพศแบบนี้ก็เลยถูกเรียกขานกันมาตั้งแต่ช่วงอาณานิคมว่า “ท่ามิชชันนารี”
ถ้าไปถามนักสัตววิทยา พวกเขาจะชี้ว่าน่าจะเกิดมาก่อนมนุษย์อีก เพราะมีการค้นพบว่าลิงขนาดใหญ่อย่างกอริลลา และโบโนโบ้ก็มีการใช้ท่านี้
นจีนโบราณจะชอบท่านี้เป็นพิเศษเพราะการที่ผู้ชายอยู่ด้านบนมันสอดคล้องความเชื่อที่ว่าผู้ชายจะเกิดมาแบบหน้าคว่ำ ส่วนผู้หญิงจะเกิดมาแบบหน้าหงาย อย่างไรก็ดี ท่านี้ก็ไม่ใช่ท่าที่ฮิตในอารยธรรมตะวันตก ในกรีก “ท่าหมา” เป็นที่นิยมกว่า เนื่องจากผู้หญิงสมัยนั้นจะแต่งงานตั้งแต่ยังอายุน้อยกับผู้ชายที่แก่กว่ามาก ทำให้มีสรีระต่างกันพอสมควร และการใช้ “ท่าหมา” นั้นก็เชื่อกันว่าทำให้สอดใส่ได้ง่ายกว่า
อย่างไรก็ดี องค์กรที่พยายามทำให้ท่ามิชชันนารีกลับมาฮิตในสังคมตะวันตกก็ได้แก่ ศาสนจักรในยุคกลาง ซึ่งประกาศชัดเจนเลยว่าการร่วมเพศโดยที่ผู้ชายอยู่ด้านบนและชายหญิงหันหน้าเข้าหากันนั้นคือท่าที่เป็น “ธรรมชาติ” ของมนุษย์ ส่วนท่าอื่น ๆ ถือว่าผิดธรรมชาติทั้งหมด
แต่พอมาถึงช่วงปฏิรูปศาสนา ท่ามิชชันนารีกลับมาอีกครั้งในหมู่คนที่ “เข้ารีต” ใหม่ ๆ หรือเปลี่ยนมานับถือนิกายโปรเตสแตนท์ โดยเฉพาะในอังกฤษและอเมริกา ซึ่งถ้าจะพูดอีกแบบก็คือ การร่วมเพศด้วยท่ามิชชันนารีนั้นกลายมาเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นคนเคร่งศาสนา ซึ่งที่น่าสนใจอีกก็คือ โดยทั่วไปแล้ว ศาสนาคริสต์นิกายโปรเตสแตนท์ต่าง ๆ ในสมัยนั้น ก็ไม่ได้มีการกำหนดว่าต้องร่วมเพศท่าไหนอย่างชัดเจน
คำว่า “ท่ามิชชันนารี” ปรากฏครั้งแรกในปี 1948 หนังสือของนักชีววิทยาที่เชี่ยวชาญเรื่องเพศนามว่า Alfred Kinsley ซึ่งในหนังสือนั้น เขาเคลมตาม “ตำนาน” ที่เราเคยได้ยินนั่นแหละครับว่ามันเป็นคำที่คนพื้นเมืองใช้เรียกท่าร่วมเพศของคนขาวและพวกมิชชันนารี ซึ่งต่างจากท่าที่พวกเขาใช้
อ้างอิงจาก: LOCALRY