7 นิสัยง่ายๆ สไตล์ญี่ปุ่น เปลี่ยนคุณเป็นคนใหม่!
7 นิสัยง่ายๆ สไตล์ญี่ปุ่น เปลี่ยนคุณเป็นคนใหม่!
The BookTeller ช่องยูทูปชื่อดังที่มีเรื่องเล่าสาระดีมาฝากประจำ วันนี้ ella J ขอหยิบเอาสาระดีๆมาแชร์ให้ท่านผู้อ่านในหัวข้อ "7 นิสัยง่ายๆ สไตล์ญี่ปุ่น เปลี่ยนคุณเป็นคนใหม่!" The BookTeller มีโอกาสที่ฟังครูชาวญี่ปุ่นคนหนึ่งเขาได้มาแชร์นิสัยง่ายๆแต่สำคัญสำหรับคนญี่ปุ่นที่มีส่วนช่วยพัฒนาชีวิตประจำวันของคนเราได้ ไม่ใช่ใครพัฒนาภายนอกเท่านั้น แต่จะพัฒนาจากภายในจิตใจของเราด้วยในตอนนี้เลยขอรวบรวมมาเป็น 7 นิสัยง่ายๆสไตล์ญี่ปุ่นที่จะเปลี่ยนคุณเป็นคนใหม่ ซึ่งแต่ละนิสัยเป็นนิสัยที่เราต่างคนเคยกันดีแต่เราอาจจะไม่ได้ใส่ใจทำมันสักเท่าไหร่นิสัยเหล่านี้มีความเรียบง่ายลงมือทำได้ทันทีและมันยังช่วยให้จิตใจของเรานั้นดีขึ้นอย่างแน่นอน
1. นิสัยการทำความสะอาดห้องน้ำ ในญี่ปุ่นถือว่านิสัยการทำความสะอาดห้องน้ำให้สะอาดสะอ้านนั้น มีส่วนทำให้คนเรานั้นสามารถสร้างชีวิตที่ประสบความสำเร็จได้ ซึ่งตัวอย่างของคนญี่ปุ่นที่ประสบความสำเร็จมากมายที่เป็นระดับแบบ CEO ระดับผู้ประกอบการระดับโลก ต่างก็มีนิสัยชอบทำความสะอาดห้องน้ำด้วยตัวเองเช่นกัน บุคคลที่เขายกตัวอย่างมา เช่น คุณโคโนสุเกะ มัตซึชิตะ ผู้ก่อตั้ง Panasonic ทาเกชิ คิตาโนะผู้กำกับหนังพันล้าน โซอิจิโร่ ฮอนดะผู้ก่อตั้ง Honda ในบุคคลอื่นอีกมากมายที่พวกเขานั้นต่างมองเป็นเสียงเดียวกันว่านิสัยการทำความสะอาดห้องน้ำด้วยตัวเอง มีส่วนสร้างตัวตนที่ประสบความสำเร็จของพวกเขา นิสัยการทำความสะอาดห้องน้ำก็มีที่มาที่ไปในเรื่องของความเชื่อในเรื่องของการสร้างนิสัยที่แบ่งออกเป็นเหตุผล 3 ประการดังนี้
เหตุผลที่ 1เป็นเรื่องของความเชื่อเรื่องโชค ในญี่ปุ่นเชื่อว่าการทำความสะอาดห้องน้ำให้สะอาดสะอาดอยู่เป็นประจำ จะทำให้โชคดีเข้ามาหาชีวิตเพราะคนที่มีนิสัยชอบทำความสะอาดจะทำให้จิตใจนั้นรู้สึกบริสุทธิ์สะอาดและสงบได้ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทำให้ชีวิตประจำวันของคนที่รักความสะอาดได้สนใจทำเป็นสิ่งดีๆมองหาเรื่องดีๆให้เข้ามาในชีวิตนั่นเอง เมื่อคนเราตั้งใจมุ่งมองและทำสิ่งดีๆก็อาจจะมีส่วนเพิ่มโอกาสให้โชคดีนั้นเข้ามาหาตัวได้และในญี่ปุ่นชอบเขายังมีความเชื่อว่ามีเทพเจ้าองค์นึงที่เป็นเทพแห่งห้องสุขาที่มีนามว่าอุซึซามะ เชื่อกันว่าเทพองค์นี้จะนำความสำเร็จและชีวิตที่ดีมาให้คนที่ดูแลความสะอาดของห้องน้ำ ด้วยความเชื่อนี้ถูกส่งต่อมายังรุ่นต่อรุ่นอย่างในเพลงหนึ่งของญี่ปุ่นที่ชื่อว่าโทะอิเรโนะคามิซามะ เพลงนี้เล่าถึงคุณยายที่บอกกับหลานสาวว่าที่บ้านของเราทุกคนมีเทพเจ้าประจำห้องน้ำอยู่ด้วยนะ ถ้าเราหมั่นทำความสะอาดห้องน้ำให้สะอาดสะอ้านงดงามอยู่เสมอเทพเจ้าก็จะอวยพรให้เรานั้น กลายเป็นคนที่มีชีวิตอันงดงามได้นั่นเอง
เหตุผลที่ 2 การล้างห้องน้ำนั้น ทำให้เกิดความถ่อมตัว คนญี่ปุ่นบอกว่าถ้าคุณทำความสะอาดห้องน้ำเป็นประจำควรจะกลายเป็นคนถ่อมตัว และความถ่อมตัวนั้นจะส่งผลมายังการงานและความสัมพันธ์ของคุณด้วย เพราะถึงแม้เราจะยิ่งใหญ่แค่ไหนก็ตาม แต่ก็ต้องรู้จักรับผิดชอบเก็บกวาดเช็ดล้างสิ่งสกปรกที่ตัวเองก่อไว้เสมอไม่มีข้อยกเว้น
เหตุผลที่ 3 การล้างห้องน้ำนั้นจะทำให้เรามีชีวิตที่เป็นระเบียบเรียบร้อย เมื่อห้องน้ำของเราสะอาดเราก็อยากให้ห้องอื่นของเรานั้นสะอาดและเรียบร้อยไปด้วย ซึ่งมันจะทำให้เราเป็นคนที่มีระเบียบไปโดยปริยาย เวลาที่เราเห็นห้องนอนรกรุงรังเราจะต้องจัดแจง อยากให้หน้าบ้านของเราดูดี อยากให้ชั้นวางรองเท้าเป็นระเบียบเรียบร้อย อยากให้ห้องครัวสะอาดสะอ้าน สิ่งนี้จะส่งผลต่อชีวิตของเราไปทีละเล็กทีละน้อย ห้องที่สะอาดบ้างที่ดูดีหรือแม้แต่เนื้อตัวของเราที่แต่งตัวดีๆก็จะทำให้เราได้มีจิตใจที่มีความสุขสงบทำให้ชีวิตนั้นมีระเบียบและเป็นระบบที่เรียบร้อยมาก
2. การรู้จักสำนึกขอบคุณชีวิต คุณคงเคยเห็นภาพบรรยากาศบนโต๊ะอาหารของชาวญี่ปุ่นที่ก่อนจะรับประทานอาหารทุกคนจะพนมมือพร้อมกันและพูดว่าอิตาดากิมัส แล้วจึงลงมือรับประทานอาหาร หากดูแล้วสิ่งนี้ก็เพื่อเป็นการแสดงถึงความขอบคุณต่ออาหารที่กินเท่านั้นเอง อาจจะดูเหมือนแค่เป็นวัฒนธรรมธรรมดาๆที่ไม่ต่างอะไรกับวัฒนธรรมตะวันตกของฝรั่งที่เขาจะขอบคุณพระเจ้าก่อนที่จะรับประทานอาหาร แต่จริงๆแล้วคำว่า อิตาดากิมัส มีความหมายที่ลึกซึ้งเกินกว่าแค่คำว่าขอบคุณอาหารที่ได้กิน อิตาดากิมัสตามวัฒนธรรมของประเทศญี่ปุ่นที่ปฏิบัติสืบต่อกันมานั้น เป็นการแสดงให้เห็นถึงความเคารพและให้ความสำคัญกับสิ่งมีชีวิตทุกชนิดบนโลก เพราะฉะนั้นการกล่าวคำว่า อิตาดากิมัส จึงเป็นการขอบคุณความเสียสละของสัตว์ทั้งหลาย พืชต่างๆที่มาเป็นวัตถุดิบ ให้กับอาหารของเรา รวมถึงขอบคุณคนปรุงอาหารที่ทำอาหารให้เรากิน คนปลูกผัก ปลูกข้าว เป็นต้น รวมทั้งเป็นการขออนุญาตรับประทานอาหารเหล่านี้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเราด้วย คนญี่ปุ่นจึงมักจะทานอาหารที่หมดจานไม่มีเหลือแสดงถึงความขอบคุณวัตถุดิบต่างๆและแรงกายแรงใจของคนปรุงอาหารในแต่ละมื้อ
3. มีความสุขกับสิ่งที่มี คนเรามักจะเป็นทุกข์เพราะมองหาสิ่งที่เราขาดแต่เรามักไม่ค่อยมองเห็นคุณค่าของสิ่งที่เรามีมันจึงทำให้จิตใจของเรานั้น ไม่มีความสุขว้าวุ่นทุกวัน คนญี่ปุ่นจะรักและพอใจในสิ่งที่ตนมีพวกเขาจะดูแลข้าวของ ทรัพย์สมบัติของตัวเองเป็นอย่างดี เช่น บางคนมีอยากได้รถใหม่ แต่เราไม่เคยมองเห็นคุณค่าของคันเดิมที่มีอยู่เลย หรืออยากได้บ้านหลังใหม่ แต่หลังเก่าไม่ดูแลเลย แทนที่เราจะมัวมองหาอยากได้สิ่งที่เรายังไม่มี ให้เราหันมาสนใจสิ่งที่เรามีอยู่ด้วย อยากได้สิ่งใดอยากมีสิ่งใดถามตัวเองว่า ทุกวันนี้เราดูแลและให้ความสำคัญกับสิ่งที่เรามีแล้วหรือยัง
4. ใส่ใจทุกคำพูด คนญี่ปุ่นเขาจะมีคำว่า โคโตะดามะ หมายถึง จิตวิญญาณแห่งภาษาซึ่งความเชื่อ มีอำนาจลึกลับอยู่ในถ้อยคำคำพูดคำพูดนั้นเป็นเหมือนคำศักดิ์สิทธิ์ คือทุกคำพูดที่มนุษย์เปล่งออกมามีพลังและจิตวิญญาณแฝงอยู่คำพูดจึงมีความศักดิ์สิทธิ์พูดอย่างไรก็ได้อย่างนั้น บางคนชอบพูดด้อยค่าตัวเอง ด่าตัวเอง ว่าตัวเองในทางลบ จิตใจของเราก็จะเชื่อตามนั้นจริงๆทำให้เราเป็นคนที่ไม่ค่อยมีความสุข ชีวิตก็จะมีแนวโน้มที่แย่ตามไปด้วย หากเราพูดดีกับตัวเอง พูดดีกับคนอื่น พูดดีกับสิ่งรอบตัว เราก็จะมีความคิดและจิตใจที่ดี มีการกระทำที่ดีและมันก็จะดึงดูดสิ่งดีๆเข้ามาหาเราได้ เคยมีงานวิจัยหนึ่งที่ทดสอบว่าคำพูดนั้น จะมีผลต่อต้นไม้ที่เราปลูกอย่างไร ซึ่งงานวิจัยนี้ได้ให้คนนำต้นไม้ชนิดเดียวกันไปปลูก ปลูกที่เดียวกัน ดินเดียวกัน รดน้ำพรวนดิน ใส่ปุ๋ยเหมือนกันทุกอย่าง มีแค่สิ่งหนึ่งที่ต่างกันก็ตรงที่กลุ่มหนึ่งให้พูดจาแบบลบๆคำพูดแย่ๆหยาบคายใส่ต้นไม้ทุกวัน กับอีกกลุ่มหนึ่งให้พูดจาดีๆ พูดจาไพเราะเสนาะหู ให้ต้นไม้ฟังทำแบบนี้ทุกวันเป็นเวลา 30 วัน ผลปรากฏว่ากลุ่มที่พูดจะแย่ใส่ต้นไม้นั้น ได้ต้นไม้ที่ไม่งดงามเป็นโรคดูไม่ดีเลย แต่กับกลุ่มที่ผู้ใช้ดีๆกับต้นไม้ครับต้นไม้นั้นเจริญงอกงามให้ดอกให้ผลดี พลังของคำพูดเพราะเขาพูดอาจจะทำให้สิ่งๆหนึ่งแย่ลงหรือที่ขึ้นได้ กับตัวเราเองก็เหมือนกันเลิกพูดจาแย่ๆกับตัวเองแล้วหันมาเลือกใช้คำพูดที่ดีและสร้างสรรค์กับตัวเองในทุกๆวันจะดีกว่า
5. ตรงต่อเวลา คนญี่ปุ่นมีนิสัยตรงต่อเวลามากๆแบบเป๊ะๆเป็นนาทีเลยทีเดียว นิสัยการตรงต่อเวลานี้เป็นวินัยของคนญี่ปุ่นมาตั้งแต่สมัยโบราณและก็จริงจังมากขึ้นเมื่อประเทศมีการพัฒนาเป็นอุตสาหกรรม เพราะเวลาทุกนาทีหมายถึงผลผลิตการทำงานที่ออกมาเป็นจำนวนชิ้น พ่อแม่ชาวญี่ปุ่นจึงมักจะปลูกฝังวินัยดีๆให้กับลูกๆตั้งแต่เด็ก อย่างรถไฟที่ญี่ปุ่นเนี่ยก็จะมีการระบุเวลามาอย่างแบบแน่นอนเป็นนาทีเลยหากมีการมาช้าทางเจ้าหน้าที่ก็จะประกาศขอโทษผู้มาใช้บริการแบบจริงจังเลย เรียกได้ว่าใส่ใจให้ความสำคัญกับเวลามากๆเลย นอกจากนั้นคนญี่ปุ่นยังให้ความสำคัญกับเวลานัดหมายมากๆด้วย โดยมารยาทเขาจะรู้กันอยู่แล้วว่าถ้านัดหมายกับใครต้องไปถึงก่อนเวลาอย่างน้อย 5-10 นาที เรื่องนี้เป็นการแสดงออกถึงความใส่ใจและเคารพเวลาของผู้อื่นนั่นเอง
6. เก็บขยะ ในเรื่องนี้มีเรื่องที่เรียกเสียงฮือฮาจากสื่อและชาวเน็ตไปทั่วโลกเลย ในการแข่งขันฟุตบอลโลกเมื่อปี 2022 ที่ผ่านมาคือภาพการเก็บขยะหลังการแข่งขันทุกแมท โดยกลุ่มแฟนบอลชาวญี่ปุ่นจะเก็บขยะกันอย่างจริงจัง แม้มันจะไม่ใช่ขยะของตัวเองก็ตามและถ้าเราได้ดูตามทีวีตาม YouTube หรือมีโอกาสได้ไปเที่ยวญี่ปุ่น เราก็จะสังเกตว่าประเทศญี่ปุ่นนั้นเป็นประเทศที่ใส่ใจเรื่องความสะอาดมากๆ คนที่ไปญี่ปุ่นมาก็จะบอกว่าญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ถังขยะหายากมาก แต่บ้านเมืองนั้นสะอาดจนหน้าตกใจเลยทีเดียว คนญี่ปุ่นมีวิธีการคิดว่าการทำความสะอาดพื้นที่สาธารณะนั้น คือหน้าที่ของทุกคน ไม่ใช่หน้าที่ของคนใดคนหนึ่ง สิ่งนี้เป็นการปลูกฝังนิสัยความรับผิดชอบการมีวินัย รักความสะอาดและความนึกถึงใจเขาใจเรา
7. การกินพออิ่มท้อง ก็กินพออิ่มท้องหรือที่คนญี่ปุ่นเรียกว่าการกินแบบฮาราฮาจิบุ ซึ่งเป็นการกินอาหารแบบพออิ่มเพียง 80% ของกระเพาะซึ่งเป็นแนวคิดที่ได้รับความนิยมในประเทศญี่ปุ่นมานานหลายศตวรรษ และเชื่อว่าวิธีนี้ก็เป็นวิธีที่ดีในการมีสุขภาพที่ดีและอายุยืนยาวนิสัยการกินพออิ่มท้องของคนญี่ปุ่น จะเป็นการกำหนดปริมาณพลังงานในร่างกายไม่ให้มากเกินไป ซึ่งมันจะช่วยกระตุ้นการทำงานของยีนส์ให้ทำงานที่ดีขึ้น ตัวยีนส์นี้มีบทบาทสำคัญในการผลิตโปรตีนที่ทำหน้าที่ซ่อมแซมเซลล์ผลิตพลังงานและทำงานเกี่ยวกับกลไกชะลอความแก่เมื่อเจ้ายีนส์ตัวนี้ทำงานได้ดีก็จะช่วยชะลอความแก่และชะลอการเกิดโรคต่างๆได้ดี ซึ่งเคล็ดลับการกินแบบฮาราฮาจิบุ มีหลักอยู่ 3 อย่างง่ายๆก็คือ
1. กินให้น้อยลงเอาแบบพออิ่ม แต่ไม่ใช่แบบกินน้อยแต่ทรมานร่างกายให้มันหิวโหยไม่ใช่แบบนั้น
2. เลือกกินแต่สิ่งที่ดีต่อร่างกาย เช่น หลีกเลี่ยงอาหารแปรรูป อาหารที่มีไขมัน น้ำตาล โซเดียมสูง
3. การกินเป็นเวลาไม่กินจุกจิกและที่สำคัญก็คืออย่าหักดิหักโหม สำหรับคนที่กำลังเริ่มค่อยๆเป็นค่อยๆไปค่อยๆให้ร่างกายของเราและได้ปรับตัว ดังนั้นหากเราไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย ไม่ค่อยได้ใช้แรงเยอะๆ เราก็ควรหันมาทานแบบพอดีๆกันดีกว่า