งีบหลับระหว่างวัน ควรหรือไม่ควร?
หลายคนชอบงีบหลับพักผ่อนระหว่างวันเพื่อชาร์จพลัง โดยเฉพาะผู้สูงวัยหลายคนใช้ชีวิตอย่างปกติสุขหลังเกษียณ กินอาหารตรงเวลา ทานครบสามมื้อในเวลาเดียวกันทุกวัน เข้านอนเร็ว ตื่นแต่เช้า และงีบหลับตอนเที่ยงเพื่อเติมพลัง แต่เมื่อดูผลการตรวจร่างกายพบว่าระดับไขมันในเลือดสูง ทั้งที่เห็นได้ชัดว่ามีพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ดี การงีบหลับอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ลองมาดูประโยชน์และโทษรวมถึงคำแนะนำในการงีบหลับกัน
- การงีบหลับอย่างเหมาะสมสามารถชะลอความชราของสมองได้
การงีบหลับเป็นสิ่งที่ถูกพูดถึงกันบ่อยๆ ถ้าหากงีบหลับตอนเที่ยง ช่วงบ่าย สมองก็จะฟื้นตัวและยังมีพลังในการทำงานอย่างเต็มที่ มีการศึกษาพบว่าการงีบหลับดีต่อสมองจริงๆ ซึ่งการงีบหลับอย่างเหมาะสมไม่เพียงแต่ช่วยชะลอความชราของสมอง แต่ยังช่วยให้เราได้รับประโยชน์ดังต่อไปนี้:
-ฟื้นฟูพลังงาน: การงีบหลับสามารถเติมพลังให้กับร่างกาย ขจัดความง่วง เคลียร์ความคิดทำให้สมองปลอดโปร่ง และเพิ่มความจำ ทำให้มีพลังงานมากขึ้นเพื่อจัดการกับงานในช่วงบ่าย
-บรรเทาความเครียดและความวิตกกังวล: สมองของทุกคนมียาแก้ปวดตามธรรมชาติที่เรียกว่าเอ็นโดรฟิน การงีบหลับสามารถส่งเสริมการหลั่ง ช่วยให้บรรเทาความเครียดและความวิตกกังวล และผ่อนคลายร่างกายและจิตใจ
-ปรับปรุงภูมิคุ้มกัน: สำหรับคนไข้ที่มีภูมิต้านทานต่ำ เช่น เป็นหวัด ท้องเสีย และผู้ที่ได้รับเคมีบำบัด มักจะรู้สึกเหนื่อยมากขึ้น การงีบหลับในระหว่างวันจะช่วยให้สภาพจิตใจและภูมิคุ้มกันดีขึ้น จึงช่วยส่งเสริมการฟื้นฟูร่างกาย
- หากงีบหลับนานเกินไปอาจส่งผลเสียต่อร่างกายมากขึ้นหรือไม่?
การงีบหลับมีประโยชน์มากมาย บางคนคิดว่ายิ่งนอนนานก็ยิ่งดีต่อสุขภาพ ในทางกลับกัน การงีบหลับนานเกินไปก็ส่งผลเสียต่อสุขภาพได้! เพราะจะเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะสมองเสื่อมและเพิ่มโอกาสเกิดความดันโลหิตสูง นอกจากนี้ การงีบหลับอย่างไม่เหมาะสมยังทำให้เกิดอาการไม่สบายดังต่อไปนี้:
- มองเห็นภาพซ้อน
ท่าทางที่ไม่เหมาะสมระหว่างงีบหลับอาจกดทับลูกตา ส่งผลต่อการไหลเวียนของเลือดในดวงตา ทำให้ดวงตาบวม และทำให้สูญเสียการมองเห็นชั่วคราว ซึ่งอาจปรากฏเป็นการมองเห็นไม่ชัดเมื่อมองวัตถุที่อยู่ห่างไกล และอาจคงอยู่ตามระยะเวลาที่แตกต่างกัน
- ปวดศีรษะ
อาการปวดศีรษะอาจสัมพันธ์กับท่านอนที่ไม่เหมาะสม หมอนที่สูงหรือต่ำเกินไป เป็นต้น ปัจจัยเหล่านี้อาจทำให้กล้ามเนื้อคอตึงจนทำให้เกิดอาการปวดศีรษะได้ การปวดหัวอย่างต่อเนื่องอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพการศึกษาและการทำงานในแต่ละวัน
- ประสิทธิภาพการทำงานต่ำ
การงีบหลับนานเกินไปจะทำให้สมองเข้าสู่สภาวะพักผ่อนลึก และจะใช้เวลาพอสมควรในการกลับสู่สภาวะตื่นหลังจากตื่นนอน ส่งผลให้คิดช้า ปฏิกิริยาตอบสนองช้าลง และใช้เวลาทำงานให้เสร็จนานขึ้น
3. คน 3 ประเภทที่ควรงีบหลับให้น้อยที่สุด
การงีบหลับอย่างเหมาะสมมีประโยชน์ในการชาร์จพลังงาน แต่มีคน 3 ประเภทที่ไม่แนะนำให้งีบหลับ
- ผู้ที่เป็นโรคหัวใจ
สำหรับผู้ที่เป็นโรคหัวใจ การงีบหลับจะเพิ่มภาระให้กับหัวใจ ทำให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ กล้ามเนื้อหัวใจตาย และปัญหาอื่นๆ ได้ง่าย และในกรณีที่รุนแรงอาจทำให้เสียชีวิตกะทันหันได้
- ผู้ป่วยที่มีปัญหาการนอนหลับ
คนที่มีความผิดปกติของการนอนหลับจะมีปัญหาในการนอนหลับยากและตื่นบ่อย หลังจากที่คนประเภทนี้งีบหลับ อาจส่งผลต่อคุณภาพการนอนหลับในเวลากลางคืน ส่งผลให้อาการนอนไม่หลับรุนแรงขึ้นอีก และสร้างวงจรที่แย่ลง
- ผู้ป่วยโรคซึมเศร้า
ผู้ป่วยโรคซึมเศร้ามักมีอาการต่างๆ เช่น อารมณ์ไม่ดีและไม่สนใจ การงีบหลับอาจทำให้รู้สึกหดหู่และทำอะไรไม่ถูกมากขึ้น คนเหล่านี้อาจมีอารมณ์แปรปรวน หงุดหงิด วิตกกังวล ฯลฯ หลังจากงีบหลับ
การงีบหลับนั้นง่ายมาก แต่ถ้าอยากนอนหลับอย่างมีสุขภาพที่ดี ควรใส่ใจคำแนะนำการงีบหลับ ดังนี้
- อย่างีบหลับนานเกินไป
การงีบหลับสามารถช่วยบรรเทาความเหนื่อยล้าและเติมพลังงานได้ แต่ไม่ควรนานเกินไป สำหรับคนปกติ ควรควบคุมเวลางีบหลับไว้ที่ประมาณ 30 นาที
2. อย่างีบหลับในสภาพแวดล้อมที่เสียงดังจนเกินไป
หากสภาพแวดล้อมโดยรอบมีเสียงดังเกินไปหรืออุณหภูมิสูงเกินไประหว่างงีบหลับ จะทำให้นอนหลับได้ยาก ส่งผลให้ประสิทธิภาพในการงีบหลับลดลง ควรเลือกสถานที่เงียบสงบและมืดเพื่อพักผ่อน เช่น ห้องที่เงียบหรือมุมห้องทำงาน
- อย่างีบหลับทันทีหลังรับประทานอาหาร
การเข้านอนทันทีหลังรับประทานอาหารอาจทำให้อาหารไม่ย่อย ทำให้ไม่สบายท้องและอาจปวดท้องได้ แนะนำให้นอนพักครึ่งชั่วโมงหลังอาหาร ขณะเดียวกัน ระวังอย่าทานอาหารมื้อเย็นที่มีไขมันมากเกินไป
- อย่างีบหลับไม่สม่ำเสมอ
การงีบหลับเป็นประจำช่วยให้ร่างกายปรับตัวเข้ากับรูปแบบการนอนหลับได้ดีขึ้น จึงทำให้คุณภาพการนอนหลับดีขึ้น งีบหลับในเวลาเดียวกันทุกวันเพื่อปรับนาฬิกาชีวภาพของร่างกายให้อยู่ในสภาวะที่เหมาะสมที่สุด