จากสุสานหลวงสู่กาดหลวงตลาดวโรรส
ต่อมา พระเจ้าอินทวโรรสก็ขอซื้อตลาดพร้อมเปลี่ยนชื่อเป็น “ตลาดวโรรส” แต่หลังจากที่พระเจ้าอินทวโรรสถึงแก่พิลาลัย ด้วยปัญหาเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ ของตลาด ทำให้ในปี พ.ศ.2456 พระราชชายาเจ้าดารารัศมีต้องเข้ามาซื้อและบริหารตลาดด้วยพระองค์เอง อีกทั้งได้พัฒนาปรับปรุงตลาดให้ดีขึ้น สร้างเป็นโรงเรือนสำหรับนั่งขายของจนถึง พ.ศ.2476 ที่พระราชชายาเจ้าดารารัศมีสิ้นพระชนม์ ตลาดวโรรสก็ต้องเปลี่ยนเจ้าของอีกครั้งโดยมีเจ้าแก้วนวรัฐซึ่งในเวลานั้นครองตำแหน่งเจ้าหลวงองค์ที่ 9 พร้อมพระญาติของท่านรับช่วงร่วมกันดูแลตลาดเรื่อยมา
ชุมชมบ้านช้างม่อย เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจที่สำคัญ มีอาณาเขตตั้งแต่รอบข่วงเมรุ แนวกำแพงเมืองชั้นนอก คูคลองแม่ข่าถึงริมฝั่งแม่น้ำปิง คุ้มท่าเจดีย์กิ่วถึงท่าน้ำแพ ซึ่งเป็นท่าจอดเรือของเจ้าหลวงเชียงใหม่ เจ้านายสยาม พ่อค้า หมอศาสนา ผู้คนต่างบ้านต่างเมือง ทำให้ชุมชนขยายใหญ่ขึ้น เมื่อพระเจ้าอินทวิชยานนท์ถึงแก่พิราลัยในปี พ.ศ. ๒๔๓๙ จึงเตรียมทำพิธีบริเวณข่วงเมรุ (ในอดีตเป็นสุสานของบรรดาเจ้านายในล้านนา) แต่มีบ้านของชาวบ้านรุกล้ำพื้นที่ ทำให้เจ้าราชวงศ์แก้วนวรัฐลงทุนซื้อบ้านที่รุกล้ำและจ่ายค่ารื้อถอนเกิดเป็นลานโล่ง ต่อมาเจ้าอุปราชแก้วนวรัฐ ได้ขายพื้นที่บริเวณดังกล่าวให้เจ้าอินทวโรรสสุริยวงศ์ และได้จัดดำเนินการในนาม “ตลาดวโรรส” ตามพระนามของเจ้าหลวงเชียงใหม่องค์ที่ ๘
เมื่อเจ้าทิพเนตร พระราชมารดาของเจ้าราชบุตรถึงแก่พิราลัย เจ้าราชบุตรประสงค์จะจัดพิธีทำศพให้สมพระเกียรติจึงนำตลาดไปจำนำกับขุนอนุสารสุนทรกิจและไม่สามารถไถ่ถอนได้ตามกำหนด ในปี พ.ศ. ๒๔๕๒ พระราชชายาเจ้าดารารัศมี ในรัชกาลที่ ๕ เสด็จกลับมาประทับที่เมืองเชียงใหม่ชั่วคราว และได้อัญเชิญพระอัฐิเจดีย์หรือกู่ของเจ้านายบริเวณข่วงเมรุไปไว้ที่วัดสวนดอก เมื่องานฉลองพระอัฐิสิ้นสุดลง พระราชชายาต้องการพัฒนาให้ตลาดวโรรสเป็นแหล่งรายได้ของสายสกุล ณ เชียงใหม่ จึงได้ทูลขอรัชกาลที่ ๖ ให้กู้ยืมเงินจากพระคลังเพื่อซื้อตลาดมาเป็นกรรมสิทธิ์ส่วนพระองค์ หลังจากนั้นได้มีพ่อค้าแม่ค้าหาบเปี๊ยดใส่สิ่งของหลายชนิด อาทิ อาหารพื้นเมือง ของป่า เครื่องนุ่มห่ม มาวางขายกันเนืองแน่น และได้ปรับปรุงตลาดเรื่อยมา จนถึงปี พ.ศ. ๒๕๑๑ เกิดเหตุเพลิงไหม้ตลาด จนทำให้ตลาดวโรรสและตลาดต้นลำไยเสียหายอย่างมาก เจ้าดารารัศมีจึงตัดสินใจขายหุ้นที่เหลือทั้งหมดแก่ห้างหุ้นส่วนอนุสารเชียงใหม่ และ บริษัท อนุสาร จำกัด ของสกุลชุติมาและนิมมานเหมินท์ ต่อจากนั้นบริษัทในเครืออนุสารได้ก่อสร้างตลาดวโรรสและตลาดต้นลำไยให้สะดวกและทันสมัยมากขึ้น และยังคงเปิดดำเนินการมาจนถึงปัจจุบัน
ตลาดวโรรสถือเป็นตลาดใหญ่และสำคัญของคนเชียงใหม่และรอบนอก ทว่าปี พ.ศ. 2511 เหตุการณ์ไฟไหม้ตลาดถือเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ ซึ่งทางหนึ่งได้ทำให้ชีวิตชาวตลาดต้องล้มสลายไป เกิดการโยกย้ายถิ่นฐานและที่ทำมาหากินของเหล่าพ่อค้าแม่ขาย แต่ในอีกทางหนึ่งก็นำการเปลี่ยนแปลงครั้งประวัติศาสตร์เมื่อตระกูลนิมมานเหมินท์-ชุติมา เข้าเป็นเจ้าของ และพัฒนาปรับปรุงรูปแบบตลาดให้ทันสมัยยิ่งขึ้น จากแรกสร้างถึงปัจจุบันแม้บทบาทและสถานะของตลาดวโรรสจะผันเปลี่ยนไปตามยุคสมัย แต่สิ่งหนึ่งที่ยังคงอยู่ก็คือ เป็นตลาดคู่เมืองเชียงใหม่นั่นเอง
อ้างอิงจาก: กรมศิลปากร, ตลาดวโรรส