12 ข้อคิดหนังเรื่อง "หลานม่า" ฝากอะไรไว้ให้คนดู หนังที่เรียกน้ำตาท่วมจอ
12 ข้อคิดหนังเรื่อง "หลานม่า" ฝากอะไรไว้ให้คนดู หนังที่เรียกน้ำตาท่วมจอ "พาครอบครัวไปดูเถอะ หนังดีที่สอนอะไรในครอบครัวหลายอย่างมากมาย " หลานม่า"
1) สำหรับหนังเรื่องนี้ cast บทอาม่า กับบทหลานที่ เล่น คือ chemistry ดีมากๆ ดูแล้วเราเชื่อว่าเป็นครอบครัวเดียวกันทั้งบ้าน รวมไปถงนักแสดงอื่นๆ และบทให้เราเห็นความคิดของอาม่าในการเลี้ยงลูก ทำให้เรารู้เลยว่าอาม่าทัศนคติดีมากๆ ให้บทเรียนกับทุกครอบครัวได้ดีเพราะ "ทุกวันนี้ เราได้ให้เวลา ใส่ใจ และดูแลคนในครอบครัวดีพอรึยัง?"
2) เรามักจะคิดว่าพ่อแม่รักลูกไม่เท่ากัน แต่จริงๆแล้ว เพราะลูกแต่ละคนไม่เหมือนกัน มันเลย treat ไม่เหมือนกัน เลี้ยงไม่เหมือนกัน มองลูกไม่เหมือนกัน ดูแลพวกเขาไปตามธรรมชาติที่เขาเป็น จึงทำให้มุมมองของลูกที่ได้อะไรไม่เหมือนกัน กลายเป็นความลำเอียง แต่จริงๆแล้ว เป็นความเข้าใจผิดต่างหาก
3) อาม่ารู้สึกดีใจที่ลูกบางคนไม่มาหา เพราะความคิดของอาม่าคือ "ลูกหลานไม่มา หมายความว่าชีวิตเขาไปได้ดีแล้ว ถ้าเขามาหาบ่อยๆ แสดงว่าเขามีปัญหา" คนเป็นพ่อเป็นแม่จะรู้เสมอว่าลูกกำลังมีปัญหา จึงกลับมาบ้าน หาที่พึ่งทางใจ แต่ถ้าชีวิตดีแล้ว แทบไม่เคยกลับบ้านมาเลย นั่นคือความจริงที่ทำให้ผู้ใหญ่ที่บ้าน 'เหงา ด้วยความเข้าใจลูกหลาน'
4) บางที ยิ่งเราโตขึ้น เรายิ่งยุ่งมาก เราลืมบางคนไปเลย ไม่มีเวลาให้หรอก เพราะเขาก็ต้องทำงานหาเงินกันหมด ดังนั้น มันยากมากๆที่จะเอาเวลาไปให้คนแก่ที่บ้าน แต่จริงๆสิ่งที่ควรเป็นคือการบริหารเวลา และรักษาสมดุลทางเวลา เพราะถ้าเรามีเวลาให้สิ่งไหน แสดงว่าสิ่งนั้นสำคัญกับเราอยู่ แต่ถ้าเราไม่มีเวลาให้ ก็แสดงว่าเราไม่ได้ให้ความสำคัญ มันไม่ใช่ไม่มีเวลา แต่เป็นเพราะว่าเราไม่เคยให้คุณค่ามากพอที่จะให้ตัวเองมีเวลาว่างให้สิ่งนั้นต่างหาก
5) รายละเอียดในวัยเด็กทุกอย่าง ไม่ว่าเราจะจดจำได้หรือไม่ แต่สำหรับคนที่รักเรากลับจำเรื่องของเราได้เสมอในทุกๆอย่างที่เป็นเรา เราจะได้เห็นความใส่ใจ ความเสียสละ และสิ่งเล็กๆน้อยๆที่ซ่อนไว้เสมอในเรื่องเล่าของคนในครอบครัว เรื่องที่เราอาจจะเคยมองข้าม มักเป็นสิ่งสำคัญของคนที่ไม่เคยลดความสำคัญของเราไปเลย
6) พอเราโตขึ้น เวลาของเรามีค่ามาก เวลาเป็นเงินเป็นทองในทุกวินาที ทุกคนต่างวิ่งหาสิ่งที่ให้ประโยชน์กับตัวเอง การลืมครอบครัวไว้ข้างหลังมันมักจะหาเหตุผลที่สำคัญมาได้เสมอที่จะทำให้พวกเขาถูกลืม แต่เหตุผลเดียวของคนที่ยังรอเรากลับบ้านมาเจอเสมอ ก็คือ ทุกเวลาของเขา ยังคงมีเราเสมอในใจของเขา ไม่ได้มีเรื่องวุ่นวายยุ่งเหยิงเหมือนคนวัยทำงาน ที่ focus แต่เรื่องรอบตัวเต็มไปหมดจนลืมคนที่บ้าน
7) หลายคนคิดถ้าไม่ทำงานหาเงิน ก็ไม่มีกิน ไม่มีเงินกลับมาเลี้ยงคนแก่ที่บ้าน ไม่มีเงินดูแลครอบครัว นั่นเป็นเพราะรัฐสวัสดิการที่ไม่ตอบโจทย์ชีวิตคนในประเทศ ไม่อาจจะเลี่ยงชีวิตที่ทำงานหาเงินอย่างหนัก เพราะเราไม่มีอะไรรองหลัง คนชนชั้นกลางไม่ได้มีทางเลือกในชีวิตมากพอที่จะดูแลผู้สูงอายุ และไม่สามารถมีเวลาได้เต็มที่นักหรอก
8 ) น่าคิดว่าตอนเราเด็กๆ พ่อแม่ก็มีเวลาให้เราดูแลเราได้ เขาสามารถให้ความสำคัญกับเราอย่างเต็มที่ แต่พอเราโตขึ้น แค่เราจะกลับไปเยี่ยมพ่อแม่เรา กลับกลายเป็นเรื่องยากมาก โครงสร้างสังคมในทุกวันนี้บีบให้เรายุ่งเหยิง กว่ายุครุ่นพ่อแม่เรา ปัจจุบันคนให้ความสำคัญกับการสร้างฐานะ สร้างความมั่นคง เพราะเงินหายากมากขึ้น และเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ทำให้คนเลือกที่จะทำแต่งาน หมกมุ่นกับเรื่องเงินทอง มากกว่าให้คุณค่ากับคนในบ้าน และความรู้สึกของคนในครอบครัว
9) เรามักจะไม่รู้จักคุณค่าของเวลา และกว่าจะรู้ว่ามันสำคัญแค่ไหน ก็ต่อเมื่อสูญเสียสิ่งที่เรารักไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ ฉะนั้น "เวลาที่ยังมีกันอยู่" คือสิ่งที่มนุษย์ไม่ควรประมาท เพราะการมานั่งเสียดายสิ่งที่จากไปแล้วทีหลัง ไม่มีประโยชน์อะไรเลย เพราะเราไม่สามารถทวงเวลาอันมีค่าคืนกลับมาให้คนที่เรารักได้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง จงใช้เวลาที่มีอยู่ให้ดีที่สุดกับคนในครอบครัวที่รักเรา
10) หลายๆครั้ง ความรักดีๆมักถูกลืม และถูกมองข้ามเสมอ เหมือนการรักเขาอยู่ข้างเดียว ที่ไม่เคยได้รับความใส่ใจหรือเหลียวแลเลย ทั้งๆที่เมื่อเดือดร้อน มีปัญหา และต้องการที่พึ่ง เขามักจะเป็นคนแรกที่ยื่นมือมาช่วยเรา ถามไถ่ เป็นห่วงเรา แต่ผู้คนเหล่านั้นกลับอยู่ลำพัง และถูกลืม ถูกละเลย ลองถามตัวเองว่า เราได้ทอดทิ้งใครไประหว่างเส้นทางของชีวิตเราบ้างหรือไม่ อย่าลืมกลับไปขอบคุณเขา ที่ทำให้เรามีวันที่สวยงามอย่างทุกวันนี้นะ
11) ทุกการจากไป จะปล่อยวางได้อย่างดี เมื่อเราเตรียมพร้อมกับมันอยู่เสมอ ด้วย 'มรณานุสติ' จงพึงระลึกถึงความตายอย่างเข้าใจมันเป็นปกติ การเจริญมรณานุสติ จะช่วยรับมือกับความตายที่ดีที่สุด คือ การทำใจให้คุ้นชินกับความตายเป็นอันดับแรก เพื่อจะให้เกิดความไม่ประมาท เราและทุกคนต้องตายจากกัน วันที่อยู่ได้ทำอะไรดีๆให้กัน วางแผนก่อนการตายอย่างดี และไม่ทิ้งความเจ็บปวดใดๆไว้ให้คนข้างหลัง เรา และคนรักของเราจะจากลากันไปในวันที่เราพร้อมและเข้าใจจริงๆ
12) สมบัติที่ล้ำค่าที่สุดของครอบครัว ที่เราไม่ต้องตามล่าค้นหา แต่ต้องร่วมสร้างมันขึ้นมา ก็คือความรักความอบอุ่น และความเข้าใจที่เรามอบให้กันและกันได้เสมอ โดยไม่มีสิ่งใดทดแทนได้ และเป็นสมบัติที่ไม่อาจจะประเมินค่าได้ ลูกหลานไม่ต้องแย่งกัน แต่ต้องรักษามันไว้ให้ดี เพราะต่อให้ยากจน ต้นทุนต่ำ แต่ความรักที่ดี จะนำพา ขับเคลื่อนชีวิต และสร้างสรรค์ครอบครัวไปสู่ความก้าวหน้า ยิ่งกว่าทรัพย์ทั้งปวง
ชื่อเรื่อง หลานม่า (How to Make Millions Before Grandma Dies)
ประเภท ดรามา / ครอบครัว
นำแสดงโดย พุฒิพงศ์ อัสสรัตน์, อุษา เสมคำ, ต้นตะวัน ตันติเวชกุล, สัญญา คุณากร
กำกับโดย พัฒน์ บุญนิธิพัฒน์ กำหนดฉาย 4 เมษายน 2024
ความยาว 125 นาที