พญานาคองค์ดำตำนานเกาะภูเก็ตและเมืองระนอง
เปิดตำนาน พญานาคสีดำ ตระกูลกัณหาโคตมะ หรือ องค์ดำแสนสิริจันทรานาคราช จะประวัติความเป็นมาอย่างไรบ้างนั้นไปตามอ่านกันได้เลยครับ
องค์ดำแสน เป็นพญานาคในตระกูลกัณหาโคตรมะ เป็นหนึ่งในสี่ตระกูลของพญานาคผู้เชี่ยวชาญด้านการรบ ชอบในศิลปะการต่อสู้อย่างมาก เพราะต้องมีหน้าที่หลัก คือ การทำลายล้างคนชั่วร้าย หรือพญานาคชั่วร้าย
องค์ดำแสน เป็นพญานาคหนุ่มรูปงาม และอาศัย ณ วังบาดาล อยู่ทางตอนใต้ของไทย แถบทะเลอันดามัน ท่านมีนิสัยโอบอ้อมอารี มีเมตตาต่อทุกผู้ ซึ่งผิดจากวงศ์วานของพญานาคตระกูลกัณหาโคตรมะอื่นๆซึ่งมักเป็นพญานาคที่มีนิสัยเกรี้ยวกราว ห่ามๆ และดุดันมาก
จริงๆ แล้วพญานาคตระกูลนี้ หาใช่เป็นอันธพาล แต่มีจิตใจดีงามทีเดียว เพียงแต่กิริยามารยาทแข็งกระด้างเกินไป จึงไม่ถูกอัธยาศัยของตระกูลอื่น
องค์ดำแสนมีความฉลาดเฉลียว เรียนศิลปะวิทยาการใดๆ ทั้งศาสตร์การต่อสู้ วิชามนตรา วิชาอำพรางกาย วิชาศาตราวุธ ก็แตกฉานกว่านาคอื่นๆ จึงเป็นที่รักและเอ็นดูแก่เหล่าทิพยาจารย์ทั้งหลาย องค์ดำแสนได้รับมอบหมายให้เป็นราชทูตของวังบาดาลไปเจริญสัมพันธไมตรีกับ พญาอนันตนาคราช ราชาแห่งนาคตระกูลวิรูปักข์ที่มีลำตัวสีทอง ผู้ครองวังบาดาลอันรโหฐาน และได้เป็นที่รักของพระองค์
ต่อมาองค์ดำแสนจึงได้ขันอาสา พญาอนันตนาคราช ไปสู้รบกับกองกำลังพญาครุฑที่มารุกราน ด้วยวิชาการรบที่เชี่ยวชาญ อีกทั้งยังได้ “หอกศรีอนันต์เศษ” อาวุธวิเศษที่ได้รับประทานจากพญาอนันตนาคราช ที่สามารถซัดออกไปคราเดียว แต่กระจายตัวเองออกมาเป็น 2 เล่ม 3 เล่ม และขยายแบ่งเป็นร้อยๆ พันๆ เล่มเข้าพุ่งแทงเหล่าครุฑจนตายสิ้น จนองค์ดำแสนได้รับชัยชนะ และได้นำเอาสมบัติของพญาครุฑกลับมามอบให้เป็นกำนัลแด่พญาอนันตนาคราช
และพญาอนันตนาคราช ได้ทรงมอบพระธิดา “เทวีวิชุราอารดี” ผู้มีความงดงามเป็นเลิศกว่านางนาคิณีใด ให้เป็นพระชายา เพื่อเป็นการผูกสัมพันธไมตรี องค์ดำแสนได้นำพระชายากลับมา ยังวังบาดาลของตน ชาวนาคตระกูลกันหาโคตรมะต่างแซ่ซ้องในวีรกรรมขององค์ดำแสน และจัดพิธีปราบดาภิเษกเป็น นาคาธิบดี 1 ใน 9 กษัตริย์นาคราช
นามว่า “พญาองค์ดำแสนสิริจันทรานาคราช”
ครองวังบาดาล ณ ต่อจากพระราชบิดาที่สละราษฎร์สมบัติเพื่อบำเพ็ญสมาบัติกาลเวลาล่วงไป องค์ดำแสนครองราชย์สมบัติ ณ วังบาดาลจึงเบื่อหน่ายและสละราชสมบัติต่อให้ราชโอรสสืบสานต่อ
และพระองค์ได้นำ “หอกศรีอนันต์เศษ” ที่รับประทานจากพญาอนันตนาคราช ได้เคยทำศึกเข่นฆ่าศัตรูมากมายไปทำลายตรงหน้าผา โดยทำลายให้เป็นผุยผงหล่นกระจายไปในทะเล แต่ด้วยอานุภาพแห่งหอกที่หล่อจากบุญญาธิการของพญาอนันตนาคราชนั้น ทำให้ผงของหอกนั้นมีสีเทามันวาวขยายแผ่ปริมาณออกไปอย่างอนันต์ และกระจายไป 2 ทิศทาง คือ
ทางแรก ได้ไหลไปตามน้ำและไปรวมกันอยู่ตามชายฝั่งของเกาะหนึ่งไม่ไกลจากวังบาดาลของพระองค์
ต่อมามีผู้คนมาอาศัยเกาะนี้ และได้ขุดเจอผงแร่ที่เกิดจากหอกศรีอนันต์เศษ ที่เป็นเกร็ดประกายใส จึงเรียกว่า “แร่ดีบุก” เป็นเหมือนก้อนเกร็ดเม็ดเล็กๆที่ขยายตัวเองได้จนเต็มพื้นที่เกาะเป็นภูเขา ชาวบ้านจึงเรียกเกาะนั้นว่า “เกาะภูเกร็ด” ต่อมาจึงเรียกว่า “เกาะภูเก็ต”
ส่วนทิศทางที่สองผงศรีอนันตเศษ ได้ลอยน้ำไปทางเหนือซึ่งไปรวมตัวยังริมชายฝั่งอันดามันกลายเป็นแร่ใส กาลต่อมามนุษย์ได้มาตั้งรกรากที่นั่นและได้นำเอาผงแร่ที่เกิดจากหอกศรีอนันค์เศษนั้นมาสร้างวัตุถต่างๆ และแร่นี้ได้ขยายตัวไม่จำกัดเช่นกัน ยิ่งนำไปใช้ยิ่งเพิ่มปริมาณ จนเอ่อนองพื้นที่รอบชายฝั่ง ชาวบ้านจึงเรียกพื้นที่เมืองนั้นว่า แร่นอง หรือ “เมืองแร่นอง” จนต่อมาจึงเพี้ยนกลายมาเป็น “เมืองระนอง”