พื้นฐานสำคัญที่มือใหม่ควรรู้ ก่อนเข้าสู่วงการคริปโตเคอร์เรนซี
พื้นฐานสำคัญที่มือใหม่ควรรู้ ก่อนเข้าสู่วงการคริปโตเคอร์เรนซี
คริปโตเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) หรือสกุลเงินดิจิทัล เป็นสินทรัพย์ดิจิทัลประเภทหนึ่งที่มีการรักษาความปลอดภัยด้วยการเข้ารหัส ถูกออกแบบมาเพื่อใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนเช่นเดียวกับสกุลเงินทั่วไป (Fiat Currency) เพียงแต่ไม่สามารถจับต้องได้
ในปัจจุบัน คริปโตเคอร์เรนซีได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้มีผู้คนจำนวนมากสนใจที่จะลงทุนในคริปโตเคอร์เรนซี อย่างไรก็ตาม คริปโตเคอร์เรนซีเป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง ดังนั้น ก่อนตัดสินใจลงทุนในคริปโตเคอร์เรนซี มือใหม่ควรศึกษาพื้นฐานที่สำคัญดังต่อไปนี้
1. เข้าใจความหมายของคริปโตเคอร์เรนซี
คริปโทเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) คือ สินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset) ประเภทหนึ่งที่มีการรักษาความปลอดภัยด้วยการเข้ารหัส ถูกออกแบบมาเพื่อใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนเช่นเดียวกับสกุลเงินทั่วไป (Fiat Currency) เพียงแต่ไม่สามารถจับต้องได้
คริปโทเคอร์เรนซีทำงานอยู่บนเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) ซึ่งเป็นระบบฐานข้อมูลแบบกระจายศูนย์ (Decentralized Database) หมายความว่า ข้อมูลจะถูกบันทึกและตรวจสอบโดยคอมพิวเตอร์หลายเครื่องบนเครือข่าย ทำให้ข้อมูลมีความโปร่งใสและไม่สามารถแก้ไขได้
คริปโทเคอร์เรนซีประเภทแรกและเป็นที่รู้จักมากที่สุดคือ บิตคอยน์ (Bitcoin) ซึ่งเปิดตัวในปี 2009 ต่อมามีการพัฒนาคริปโทเคอร์เรนซีอื่น ๆ ตามมาอีกมากมาย เช่น Ethereum, Tether, Binance Coin, Solana, Cardano เป็นต้น
คริปโทเคอร์เรนซีสามารถนำมาใช้ในการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการได้เช่นเดียวกับสกุลเงินทั่วไป แต่ในปัจจุบันยังไม่เป็นที่ยอมรับอย่างแพร่หลายในวงกว้าง ส่วนใหญ่มักใช้ในการเก็งกำไรหรือการลงทุน
ประโยชน์ของคริปโทเคอร์เรนซี ได้แก่
- มีความโปร่งใสและไม่สามารถแก้ไขได้
- ไม่สามารถถูกควบคุมโดยรัฐบาลหรือธนาคารกลาง
- สามารถทำธุรกรรมได้อย่างรวดเร็วและค่าธรรมเนียมต่ำ
ความเสี่ยงของคริปโทเคอร์เรนซี ได้แก่
- มีความผันผวนของราคาสูง
- ยังไม่เป็นที่ยอมรับอย่างแพร่หลาย
- มีความเสี่ยงต่อการถูกโจรกรรมข้อมูล
สรุปแล้ว คริปโทเคอร์เรนซี คือ สินทรัพย์ดิจิทัลที่ทำงานอยู่บนเทคโนโลยีบล็อกเชน สามารถใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการได้ แต่ยังมีความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาและความเสี่ยงต่อการถูกโจรกรรมข้อมูล
2. บล็อกเชน เกี่ยวอะไรกับคริปโตฯ
บล็อกเชน (Blockchain) คือ เทคโนโลยีระบบฐานข้อมูลแบบกระจายศูนย์ (Decentralized Database) ข้อมูลจะถูกบันทึกและตรวจสอบโดยคอมพิวเตอร์หลายเครื่องบนเครือข่าย ทำให้ข้อมูลมีความโปร่งใสและไม่สามารถแก้ไขได้
คริปโตเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) คือ สินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset) ประเภทหนึ่งที่มีการรักษาความปลอดภัยด้วยการเข้ารหัส ถูกออกแบบมาเพื่อใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนเช่นเดียวกับสกุลเงินทั่วไป (Fiat Currency) เพียงแต่ไม่สามารถจับต้องได้
บล็อกเชน เกี่ยวอะไรกับคริปโตฯ ?
บล็อกเชนมีความสำคัญต่อคริปโตเคอร์เรนซีอย่างมาก เพราะทำหน้าที่เป็นพื้นฐานในการบันทึกข้อมูลธุรกรรมของคริปโตเคอร์เรนซี ทำให้ธุรกรรมของคริปโตเคอร์เรนซีมีความโปร่งใสและไม่สามารถแก้ไขได้
โดยข้อมูลธุรกรรมของคริปโตเคอร์เรนซีจะถูกบันทึกลงบล็อก (Block) แต่ละบล็อกจะเชื่อมโยงกันด้วยระบบโซ่ (Chain) ทำให้ข้อมูลธุรกรรมไม่สามารถแก้ไขได้โดยไม่ได้รับอนุญาตจากคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องบนเครือข่าย
นอกจากนี้ บล็อกเชนยังช่วยให้คริปโตเคอร์เรนซีมีความเป็นอิสระจากการควบคุมของรัฐบาลหรือธนาคารกลางอีกด้วย เนื่องจากข้อมูลธุรกรรมถูกบันทึกและตรวจสอบโดยคอมพิวเตอร์บนเครือข่าย ไม่ใช่โดยองค์กรกลาง
สรุปแล้ว บล็อกเชนเป็นเทคโนโลยีที่สำคัญต่อคริปโตเคอร์เรนซีอย่างมาก เพราะช่วยให้คริปโตเคอร์เรนซีมีความโปร่งใส ไม่สามารถแก้ไขได้ และมีความเป็นอิสระ
3. ความแตกต่างระหว่างคริปโตฯ Coin และ Token
คริปโตเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลัก ๆ คือ Coin และ Token โดยทั้งสองประเภทมีความแตกต่างกันในหลาย ๆ ด้าน ดังนี้
Coin
- Coin เป็นสินทรัพย์ดิจิทัลที่ทำงานอยู่บนบล็อกเชนของตัวเอง เช่น Bitcoin, Ethereum, Tether เป็นต้น
- Coin มักมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการ
- Coin มักมีมูลค่าที่ผันผวนสูง
Token
- Token เป็นสินทรัพย์ดิจิทัลที่ทำงานอยู่บนบล็อกเชนอื่น ๆ เช่น Ethereum, Binance Smart Chain เป็นต้น
- Token มักมีวัตถุประสงค์เฉพาะเจาะจง เช่น ใช้เป็นสิทธิพิเศษในการเข้าถึงบริการ ใช้เป็นส่วนลดในการซื้อขาย หรือใช้เป็นหลักทรัพย์ เป็นต้น
- Token มักมีมูลค่าที่ผันผวนน้อยกว่า Coin
ความแตกต่างที่สำคัญ
ความแตกต่างที่สำคัญระหว่าง Coin และ Token คือ บล็อกเชนที่ทำงานอยู่ โดย Coin มักมีบล็อกเชนเป็นของตัวเอง ในขณะที่ Token มักทำงานอยู่บนบล็อกเชนของแพลตฟอร์มอื่น ๆ เช่น Ethereum
นอกจากนี้ Coin มักมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการ ในขณะที่ Token มักมีวัตถุประสงค์เฉพาะเจาะจง เช่น ใช้เป็นสิทธิพิเศษในการเข้าถึงบริการ ใช้เป็นส่วนลดในการซื้อขาย หรือใช้เป็นหลักทรัพย์ เป็นต้น
ตัวอย่าง Coin
- Bitcoin (BTC)
- Ethereum (ETH)
- Tether (USDT)
- Binance Coin (BNB)
- Solana (SOL)
- Cardano (ADA)
ตัวอย่าง Token
- Utility Token
- Binance Coin (BNB)
- The Sandbox (SAND)
- Axie Infinity (AXS)
- Security Token
- Filecoin (FIL)
- The Graph (GRT)
- Uniswap (UNI)
- Asset-backed Token
- Tether (USDT)
- USD Coin (USDC)
- Binance USD (BUSD)
สรุปแล้ว Coin และ Token เป็นสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีพื้นฐานอยู่บนเทคโนโลยีบล็อกเชน แต่มีความแตกต่างกันในหลาย ๆ ด้าน ทั้งในด้านของบล็อกเชนที่ทำงานอยู่ วัตถุประสงค์ และมูลค่า
4. คริปโตเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) มีกี่กลุ่ม อะไรบ้าง
คริปโตเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) แบ่งออกได้เป็น 7 กลุ่มหลัก ๆ ดังนี้
- กลุ่มรักษามูลค่า (Store of Value)
กลุ่มนี้เน้นไปที่การรักษามูลค่าของสินทรัพย์ดิจิทัล โดยมักมีปริมาณจำกัดและไม่มีการพิมพ์เพิ่ม เช่น Bitcoin, Litecoin, Bitcoin Cash เป็นต้น
- กลุ่มสัญญาอัจฉริยะ (Smart contract)
กลุ่มนี้เน้นไปที่การใช้งานสัญญาอัจฉริยะ (Smart contract) ซึ่งเป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ทำงานอยู่บนบล็อกเชน โดยมักใช้สำหรับการพัฒนาแอปพลิเคชันแบบกระจายศูนย์ (DApp) เช่น Ethereum, Cardano, Polkadot เป็นต้น
- กลุ่ม DeFi (Decentralized Finance)
กลุ่มนี้เน้นไปที่การเงินแบบกระจายศูนย์ (Decentralized Finance) ซึ่งเป็นระบบการเงินที่ทำงานอยู่บนบล็อกเชน โดยมักใช้สำหรับบริการทางการเงินที่ไม่ต้องอาศัยตัวกลาง เช่น การกู้ยืมเงิน การแลกเปลี่ยนเงินตรา การซื้อขายหลักทรัพย์ เป็นต้น เช่น Uniswap, AAVE, Maker เป็นต้น
- กลุ่มส่งต่อมูลค่า (Value Transfer)
กลุ่มนี้เน้นไปที่การส่งต่อมูลค่าของสินทรัพย์ดิจิทัล โดยมักมีความเร็วสูงและค่าธรรมเนียมต่ำ เช่น XRP, Solana, Binance Coin เป็นต้น
- กลุ่ม Oracle
กลุ่มนี้เน้นไปที่การให้ข้อมูลจากโลกแห่งความเป็นจริงเข้าสู่บล็อกเชน โดยมักใช้สำหรับการพัฒนาแอปพลิเคชันแบบกระจายศูนย์ (DApp) เช่น Chainlink, Band Protocol, The Graph เป็นต้น
- กลุ่ม Stablecoin
กลุ่มนี้เน้นไปที่เสถียรภาพของราคา โดยมักอ้างอิงกับสินทรัพย์อื่น ๆ เช่น เงินดอลลาร์สหรัฐ (USD) หรือทองคำ เช่น Tether, USD Coin, Binance USD เป็นต้น
- กลุ่มมีม (Meme)
กลุ่มนี้เน้นไปที่ความนิยมหรือกระแสนิยม โดยมักมีมูลค่าที่ผันผวนสูง เช่น Dogecoin, Shiba Inu, Dogelon Mars เป็นต้น
การเลือกลงทุนในคริปโตเคอร์เรนซี ควรศึกษาข้อมูลของแต่ละกลุ่มให้ดีก่อนตัดสินใจลงทุน เนื่องจากแต่ละกลุ่มมีวัตถุประสงค์และความเสี่ยงที่แตกต่างกัน
5. วิธีสร้างรายได้จาก คริปโตเคอร์เรนซี (Cryptocurrency)
คริปโตเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) เป็นสินทรัพย์ดิจิทัลที่สามารถนำมาสร้างรายได้ได้หลายวิธี ดังนี้
- การเทรด (Trading) : การซื้อและขายคริปโตเคอร์เรนซีเพื่อเก็งกำไรจากการเปลี่ยนแปลงของราคา โดยนักเทรดจะต้องศึกษาข้อมูลตลาดและวิเคราะห์แนวโน้มของราคาอย่างละเอียด
- การขุด (Mining) : การใช้คอมพิวเตอร์ประมวลผลเพื่อสร้างบล็อกใหม่ให้กับเครือข่ายบล็อกเชน โดยการได้รับรางวัลเป็นคริปโตเคอร์เรนซีชนิดนั้นๆ การขุดคริปโตเคอร์เรนซีในปัจจุบันต้องใช้อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่มีสเปคสูงและพลังงานไฟฟ้าจำนวนมาก จึงทำให้ต้นทุนในการขุดค่อนข้างสูง
- การลงทุนระยะยาว (Hodl) : การซื้อคริปโตเคอร์เรนซีมาถือไว้ในระยะยาว โดยเชื่อว่าราคาของคริปโตเคอร์เรนซีจะเพิ่มขึ้นในอนาคต การลงทุนระยะยาวเป็นวิธีสร้างรายได้จากคริปโตเคอร์เรนซีที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เนื่องจากมีความเสี่ยงต่ำกว่าการเทรดหรือการขุด
- Staking : การฝากคริปโตเคอร์เรนซีไว้ในกระเป๋าเงินดิจิทัลเพื่อสนับสนุนการทำงานของเครือข่ายบล็อกเชน โดยจะได้รับรางวัลเป็นคริปโตเคอร์เรนซีชนิดนั้นๆ เป็นการวิธีสร้างรายได้จากคริปโตเคอร์เรนซีที่ได้รับความนิยมมากขึ้น เนื่องจากมีความเสี่ยงต่ำกว่าการเทรดหรือการขุด
- Airdrop : การแจกฟรีคริปโตเคอร์เรนซีให้กับผู้ที่เข้าร่วมกิจกรรมของโครงการต่างๆ เช่น การลงทะเบียนใช้งาน การให้คะแนน หรือการตอบคำถาม เป็นต้น เป็นการวิธีสร้างรายได้จากคริปโตเคอร์เรนซีที่ไม่ต้องลงทุน แต่มีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่สูง
- Yield Farming : การนำคริปโตเคอร์เรนซีไปฝากไว้ใน Liquidity Pool ของแพลตฟอร์ม DeFi เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้กับแพลตฟอร์ม โดยจะได้รับรางวัลเป็นคริปโตเคอร์เรนซีชนิดต่างๆ เป็นการวิธีสร้างรายได้จากคริปโตเคอร์เรนซีที่ได้รับความนิยมมากขึ้น เนื่องจากมีความเสี่ยงต่ำกว่าการเทรดหรือการขุด
วิธีสร้างรายได้จากคริปโตเคอร์เรนซีที่ดีที่สุดขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น ระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ ความรู้และประสบการณ์ในการซื้อขายคริปโตเคอร์เรนซี และเงินทุนที่มี
6. ศัพท์ คริปโตเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) ที่มือใหม่ควรรู้
ศัพท์คริปโตฯ ที่มือใหม่ควรรู้ มีดังนี้
-
คริปโตเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) คือ สินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset) ประเภทหนึ่งที่มีการรักษาความปลอดภัยด้วยการเข้ารหัส ถูกออกแบบมาเพื่อใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนเช่นเดียวกับสกุลเงินทั่วไป (Fiat Currency) เพียงแต่ไม่สามารถจับต้องได้
-
บล็อกเชน (Blockchain) คือ เทคโนโลยีระบบฐานข้อมูลแบบกระจายศูนย์ (Decentralized Database) ข้อมูลจะถูกบันทึกและตรวจสอบโดยคอมพิวเตอร์หลายเครื่องบนเครือข่าย ทำให้ข้อมูลมีความโปร่งใสและไม่สามารถแก้ไขได้
-
Coin คือ สินทรัพย์ดิจิทัลที่ทำงานอยู่บนบล็อกเชนของตัวเอง เช่น Bitcoin, Ethereum, Tether เป็นต้น
-
Token คือ สินทรัพย์ดิจิทัลที่ทำงานอยู่บนบล็อกเชนอื่น ๆ เช่น Ethereum, Binance Smart Chain เป็นต้น
-
Fiat Currency คือ สกุลเงินที่ออกโดยรัฐบาลหรือธนาคารกลาง เช่น เงินบาท ดอลลาร์สหรัฐ ยูโร เป็นต้น
-
All-time high (ATH) คือ ราคาสูงสุดตลอดกาลนับตั้งแต่สินทรัพย์นั้น ๆ เข้าสู่ตลาด
-
All-time low (ATL) คือ ราคาต่ำสุดตลอดกาลนับตั้งแต่สินทรัพย์นั้น ๆ เข้าสู่ตลาด
-
Bull Market คือ สภาวะตลาดขาขึ้นที่ราคาสินทรัพย์มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
-
Bear Market คือ สภาวะตลาดขาลงที่ราคาสินทรัพย์มีแนวโน้มลดลง
-
FUD คือ ข้อมูลเท็จหรือข้อมูลที่บิดเบือนความจริงที่เผยแพร่ออกไปเพื่อสร้างความตื่นตระหนกในตลาด
-
FOMO คือ ความกลัวที่จะพลาดโอกาสสำคัญในการทำกำไร
-
HODL คือ การลงทุนระยะยาว โดยไม่สนว่าราคาจะขึ้นหรือลง
-
Mining คือ กระบวนการสร้างบล็อกใหม่ให้กับเครือข่ายบล็อกเชน โดยผู้ที่สามารถสร้างบล็อกใหม่สำเร็จจะได้รับรางวัลเป็นคริปโตเคอร์เรนซีชนิดนั้น ๆ
-
Exchange คือ แพลตฟอร์มสำหรับการซื้อขายคริปโตเคอร์เรนซี
-
Wallet คือ กระเป๋าเงินดิจิทัลสำหรับเก็บคริปโตเคอร์เรนซี
-
DeFi คือ การเงินแบบกระจายศูนย์ (Decentralized Finance) ซึ่งเป็นระบบการเงินที่ไม่ต้องอาศัยตัวกลาง เช่น การกู้ยืมเงิน การแลกเปลี่ยนเงินตรา การซื้อขายหลักทรัพย์ เป็นต้น
-
Smart contract คือ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ทำงานอยู่บนบล็อกเชน โดยมักใช้สำหรับการพัฒนาแอปพลิเคชันแบบกระจายศูนย์ (DApp)
ศัพท์คริปโตฯ เหล่านี้เป็นพื้นฐานที่มือใหม่ควรรู้ก่อนเริ่มต้นลงทุนในคริปโตเคอร์เรนซี โดยควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับคริปโตเคอร์เรนซีอย่างละเอียด เพื่อให้เข้าใจถึงความเสี่ยงและโอกาสก่อนตัดสินใจลงทุน
7.ทำความเข้าใจกับภาษี คริปโตเคอร์เรนซี (Cryptocurrency)
คริปโตเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) หรือสกุลเงินดิจิทัล เป็นสินทรัพย์ดิจิทัลประเภทหนึ่งที่มีการรักษาความปลอดภัยด้วยการเข้ารหัส ถูกออกแบบมาเพื่อใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนเช่นเดียวกับสกุลเงินทั่วไป (Fiat Currency) เพียงแต่ไม่สามารถจับต้องได้
ในประเทศไทย คริปโตเคอร์เรนซีได้รับการจัดให้เป็นทรัพย์สินประเภทหนึ่ง ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 40(4)(ซ) และมาตรา 40(4)(ฌ) หมายความว่า ผู้ที่มีรายได้จากการซื้อขายหรือแลกเปลี่ยนคริปโตเคอร์เรนซีจะต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
ประเภทของภาษีคริปโตฯ
ภาษีคริปโตฯ แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลัก ๆ ดังนี้
-
ภาษีหัก ณ ที่จ่าย : ภาษีที่หักจากเงินได้ของผู้รับเงินทันที โดยผู้จ่ายเงินมีหน้าที่หักและนำส่งภาษีให้กับกรมสรรพากร
-
ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา : ภาษีที่คำนวณจากกำไรสุทธิจากการซื้อขายหรือแลกเปลี่ยนคริปโตเคอร์เรนซี โดยผู้มีหน้าที่เสียภาษีจะต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีและชำระภาษีให้กับกรมสรรพากร
อัตราภาษีคริปโตฯ
อัตราภาษีคริปโตฯ เป็นไปตามอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามปกติ โดยแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้
-
ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่มีรายได้จากคริปโตฯ เพียงอย่างเดียว : เสียภาษีในอัตราคงที่ 15%
-
ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่มีรายได้จากคริปโตฯ ร่วมกับรายได้จากแหล่งอื่น ๆ : เสียภาษีตามอัตราก้าวหน้า 5-35%
การคำนวณภาษีคริปโตฯ
การคำนวณภาษีคริปโตฯ เป็นไปตามหลักเกณฑ์การคำนวณกำไรสุทธิจากการซื้อขายหรือแลกเปลี่ยนทรัพย์สินอื่น ๆ โดยกำไรสุทธิคำนวณได้จากสูตรดังนี้
กำไรสุทธิ = (ราคาขาย - ราคาซื้อ) - ค่าธรรมเนียม
ตัวอย่างการคำนวณภาษีคริปโตฯ
สมมติว่า คุณซื้อบิตคอยน์ (BTC) จำนวน 1 BTC ในราคา 100,000 บาท และขายบิตคอยน์จำนวน 1 BTC ในราคา 200,000 บาท โดยมีค่าธรรมเนียมในการซื้อขาย 1,000 บาท กำไรสุทธิจากการซื้อขายบิตคอยน์ของคุณจะคำนวณได้ดังนี้
กำไรสุทธิ = (200,000 - 100,000) - 1,000 = 99,000 บาท
ดังนั้น ภาษีที่ต้องเสียจากการซื้อขายบิตคอยน์ของคุณจะคำนวณได้ดังนี้
ภาษี = 99,000 * 0.15 = 14,850 บาท
การยื่นภาษีคริปโตฯ
ผู้มีหน้าที่เสียภาษีคริปโตฯ ต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภ.ง.ด.90/91 ภายในวันที่ 31 มีนาคมของปีถัดไป โดยสามารถยื่นแบบแสดงรายการภาษีผ่านช่องทางออนไลน์หรือสำนักงานสรรพากรพื้นที่ที่ตนมีภูมิลำเนา
นอกจากนี้ ผู้มีหน้าที่เสียภาษีคริปโตฯ ยังต้องจัดทำบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน (แบบ ภ.ง.ด.94) เพื่อแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินทั้งหมดที่มี ณ วันที่ 31 ธันวาคมของปีภาษีนั้น ๆ โดยสามารถจัดทำบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินผ่านช่องทางออนไลน์หรือสำนักงานสรรพากรพื้นที่ที่ตนมีภูมิลำเนา
บทลงโทษหากไม่เสียภาษีคริปโตฯ
ผู้มีหน้าที่เสียภาษีคริปโตฯ แต่ไม่ยื่นแบบแสดงรายการภาษีหรือชำระภาษีให้ถูกต้องครบถ้วน ภายในระยะเวลาที่กำหนด จะต้องเสียเบี้ยปรับและเงินเพิ่มตามประมวลรัษฎากร มาตรา 39 และมาตรา 40 ดังนี้
-
เบี้ยปรับ : เสียเบี้ยปรับร้อยละ 1.5 ของภาษีที่ต้องเสีย
-
เงินเพิ่ม : เสียเงินเพิ่มร้อยละ 0.5 ของภาษีที่ต้องเสีย ตั้งแต่วันที่พ้นกำหนดชำระจนกว่าจะชำระเสร็จสิ้น
นอกจากนี้ ผู้มีหน้าที่เสียภาษีคริปโตฯ ที่ไม่ยื่นแบบแสดงรายการภาษีหรือชำระภาษีให้ถูกต้องครบถ้วน อาจถูกดำเนินคดีอาญาตามประมวลรัษฎากร มาตรา 37 และมาตรา 38 อีกด้วย
สรุป
คริปโตเคอร์เรนซีเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลประเภทหนึ่งที่ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ผู้ที่มีรายได้จากการซื้อขายหรือแลกเปลี่ยนคริปโตเคอร์เรนซีจะต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา โดยอัตราภาษีเป็นไปตามอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามปกติ ผู้มีหน้าที่เสียภาษีคริปโตฯ ต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษี ภ.ง.ด.90/91 ภายในวันที่ 31 มีนาคมของปีถัดไป
ทั้งหมดนี้คือความรู้พื้นฐานที่มือใหม่ควรรู้ก่อนจะเข้าสู่วงการ คริปโตเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) ขอให้ทุกท่านโชคดี
ข้อมูลในบทความนี้มาจากแหล่งข้อมูลดังนี้
* เว็บไซต์ของหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง เช่น ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
* เว็บไซต์ของสื่อมวลชน เช่น หนังสือพิมพ์ นิตยสาร เว็บไซต์ข่าว
* เว็บไซต์ของผู้เชี่ยวชาญและนักลงทุนคริปโตเคอร์เรนซี
นอกจากนี้ ยังมีแหล่งข้อมูลอื่น ๆ ที่มือใหม่สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ เช่น
* หนังสือและบทความเกี่ยวกับคริปโตเคอร์เรนซี
* หลักสูตรการเรียนรู้คริปโตเคอร์เรนซี
* ชุมชนหรือกลุ่มสนทนาเกี่ยวกับคริปโตเคอร์เรนซี
โดยมือใหม่ควรเลือกแหล่งข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถือและเชื่อถือได้ เพื่อให้ได้รับข้อมูลที่เป็นความจริงและเป็นประโยชน์