ที่มาของ"ธนบัตร"ในประเทศไทย
ธนบัตรในประเทศไทย เริ่มมีการใช้ในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยได้มีการใช้ "เงินกระดาษ" เป็นครั้งแรก แต่ยังไม่ได้เรียกว่า "ธนบัตร" ใช้คำว่า "หมาย" เรียกแทน โดยออกใช้เมื่อ พ.ศ. 2396 และคงใช้ต่อมาทั้งสิ้น 3 รุ่น
การเปลี่ยนแปลงจากสกุลเงินเหรียญแบบดั้งเดิมเป็นสกุลเงินกระดาษในประเทศไทยในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) และการแนะนำธนบัตรอย่างเป็นทางการ
นี่คือบทสรุปที่สำคัญ:
1. ตั๋วกระดาษ (กระดาษอรรถ): ในปีพ.ศ. 2417 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้นำ “ตั๋วกระดาษ” มาใช้แทนเหรียญที่ขาดแคลน ตั๋วกระดาษเหล่านี้มีราคา 1 แอต คำว่า “กระดาษอัตถะ” เป็นคำบัญญัติและใช้เรียกขานในหมู่ประชาชน
2. ธนาคารและธนบัตรต่างประเทศ: ระหว่างปี พ.ศ. 2432 ถึง พ.ศ. 2442 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงอนุญาตให้ธนาคารต่างประเทศ เช่น ธนาคารฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้ ธนาคารชาร์เตอร์แห่งอินเดีย ออสเตรเลีย และจีน และธนาคารแห่งอินโดจีน เปิดสาขาใน ประเทศไทย. ธนาคารเหล่านี้ได้รับอนุญาตให้ออกธนบัตรของตนเอง ซึ่งมักเรียกว่า "ธนบัตร" หรือ "บัตรธนาคาร" ธนบัตรเหล่านี้ถือเป็นสกุลเงินรูปแบบหนึ่งในประเทศไทย
3. ธนบัตรทางการ: เมื่อวันที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2445 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงดำเนินการยกเลิกธนบัตรที่ออกโดยธนาคารต่างประเทศ และทรงประกาศใช้ธนบัตรอย่างเป็นทางการฉบับแรกของประเทศไทย ธนบัตรอย่างเป็นทางการเหล่านี้ถูกนำมาใช้เพื่อสร้างระบบสกุลเงินที่สอดคล้องและมีการควบคุมในประเทศไทย
การเปลี่ยนแปลงจากเหรียญกษาปณ์เป็นสกุลเงินกระดาษและการจัดตั้งธนบัตรอย่างเป็นทางการถือเป็นเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์การเงินของประเทศไทย ช่วยสร้างระบบสกุลเงินที่มีการจัดการและเป็นมาตรฐานมากขึ้นในประเทศ
ชนิดราคาของธนบัตรไทยนั้นจะมีจะมีอยู่ 3 ประเภท ได้แก่
1.ชนิดราคาธนบัตรไทยที่ถูกใช้ในปัจจุบัน
ธนบัตร 20 บาท , ธนบัตร 50 บาท , ธนบัตร 100 บาท , ธนบัตร 500 บาท , ธนบัตร 1000 บาท
2.ชนิดราคาธนบัตรไทยที่ถูกยกเลิก
ธนบัตร 1 บาท , ธนบัตร 5 บาท , ธนบัตร 10 บาท
3.ชนิดราคาธนบัตรไทยแบบพิเศษ
ธนบัตร 60 บาท , ธนบัตร 70 บาท , ธนบัตร 500000 บาท