ความรู้สึกสุดท้าย
ความรู้สึกสุดท้าย
โดย : อักษราลัย
ฉันลนลานพะวักพะวงเมื่อท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีตามเมฆดำที่ส่อเค้าว่าฝนจะตก ก้มลงควานหาผ้าพลาสติกเพื่อคลุมปิดขนม ร้องขอความช่วยเหลือจากร้านข้าง ๆ ให้ช่วยยึดผ้าด้านบน รีบปิดแก๊ส เก็บแป้งสำหรับทอดกล้วย จบกันวันทำมาหากินของฉัน ฝนตกใครกันจะออกมาตลาด ขณะที่เสียงข้อความดังขึ้นจากช่องแชทของโปรแกรมสนทนา เลื่อนมือปัดหน้าจอไล่สายตาไปอ่านดู
“ใจแม่น่ะติดลบ”
“หัดปล่อยวางซะบ้างสิแม่”
“.......”
ฉันปิดช่องแชทลงด้วยความรู้สึกเหมือนใจจะขาด ข้อความเหล่านี้ถูกส่งมาจากลูกชาย ผู้เป็นทุกสิ่งทุกอย่างของฉัน คำว่า “แก้วตาดวงใจ” คงน้อยไปสำหรับความรู้สึกที่ฉันมีให้กับเขา ผู้ชายที่เป็นทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันทุ่มเททั้งดวงใจให้ตั้งแต่วินาทีแรกที่เห็นหน้า
……………………
เมื่อลูกชายฉันลืมตาขึ้นมาดูโลก ก็ถึงคราวแห่งการตัดสินใจครั้งใหญ่ของชีวิต ในเมื่อพ่อของเขาไม่ได้สนใจใยดี จนถึงขั้นบ้านใกล้เรือนเคียงเคยถามว่า
“แกจะอยู่ไปเพื่ออะไร ทนไปทำไม”
นั่นสินะฉันจะทนไปทำไม ผู้ชายที่ไม่เคยดูดำดูดี ไม่เคยใส่ใจ เหมือนฉันไม่เคยมีตัวตนในบ้าน อยากมีเงินใช้ก็ต้องหารับจ้างเอาเอง แม้จะท้องก็ยังต้องทำงาน ที่สำคัญเขาทำเหมือนเป็นเรื่องปกติที่แม้จะแต่งงานแล้วก็สามารถมีผู้หญิงคนอื่นได้ แล้วผู้หญิงอย่างฉันจะยอมอยู่แบบนี้ โดยคิดว่าทำเพื่อ “ลูก” อย่างนั้นหรือ
ฉันใคร่ครวญถึงความเป็นจริงทุกอย่าง จนตอบตัวเองได้ว่าฉันจะไม่ทน นั่นจึงเป็นเหตุให้ฉันอุ้มลูกออกมาจากบ้านหลังนั้นแม้ว่าลูกจะมีอายุเพียงแค่ไม่กี่วัน
……………………
เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นจากโทรศัพท์มือถือ ฉันเหลือบสายตามองเวลาด้วยความคุ้นชิน 03.00 น. ปัดปิดเสียงก่อนจะค่อย ๆ ลุกขึ้นเพื่อเตรียมตัว เร่งรีบกับภารกิจส่วนตัวก่อนจะขึ้นรถยนต์คันเก่าขับจากสระแก้วมายังฉะเชิงเทรา เพื่อมาตั้งร้านทอดกล้วยแขกขาย กี่ปีมาแล้วนะที่ฉันขับรถไปกลับแบบนี้ กดเปิดกระจกให้ลมเย็นประทะใบหน้าเพื่อให้คลายความง่วง แต่วันนี้ไม่เหมือนทุกครั้ง รถเซจนเกือบชนเข้ากับต้นไม้ใหญ่ข้างทาง ฉันเหงื่อออกตัวสั่นกับวินาทีชีวิตที่รอดพ้นมาได้อย่างฉิวเฉียด ใจยังคงเต้นระทึก สั่นไหว นึกถึงหน้าลูกอย่างรู้สึกกลัว ค่อย ๆ ประคองรถเข้าจอดข้างทาง ปิดกระจกจนเกือบสุด กดปุ่มล็อกประตูรถ ก่อนจะค่อย ๆ หลับตาลง
……………………
“แม่ งานบวชหนู แม่จะบอกพ่อไหม?” เสียงลูกชายถามขึ้นมาก่อนวันงานที่กำลังจะมีขึ้นในอีกไม่กี่วัน
"พ่อ" ที่ลูกไม่เคยถามถึงมาก่อน เพราะฉันเองก็ไม่เคยพูดถึงเขา เหมือนว่าเราได้ตายจากกันไปเนิ่นนานแล้ว แต่ความจริงเขาอยู่ห่างไปไม่ถึงสองกิโล ฉันไม่เคยติดต่ออะไรกับเขาอีกเลยนับจากวันที่เดินออกมา สองมือของฉันเท่านั้นที่โอบอุ้มเลี้ยงดูลูกชายคนเดียวของฉันมาจนจบปริญญาตรี และกำลังจะบวชในอีกไม่กี่วันข้างหน้า สองมือที่ปอกกล้วยหมดไปไม่รู้กี่หวีต่อกี่หวี ทนไอร้อนระอุของเตาเพื่อทอดกล้วย ส่งลูกให้ถึงฝั่งฝัน
“แม่ ทำไมเงียบไป ตกลงแม่จะบอกพ่อไหม”
“ขอแม่คิดดูก่อน” คำตอบนั้นเป็นที่มาของคำต่อว่าต่อขานว่าเป็นคนใจหิน ใจดำ ของฉันในกาลต่อมา ญาติพี่น้องต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าควรจะบอกให้พ่อของลูกมาในงานบวชด้วย ฉันได้แต่คิด
‘เขายังเป็นพ่อของลูกอยู่เหรอ ในเมื่อเขาไม่เคยไต่ถาม ใส่ใจ สนใจ หรือแม้กระทั่งส่งเสียลูกชายคนนี้แม้แต่บาทเดียว’
ทุกคนพร้อมใจกันว่าฉันเป็นคนใจดำ หากฉันเป็นคนใจดำ แล้วคนที่ไม่เคยใยดีเราสองแม่ลูกเลยจะเรียกว่าเป็นคนแบบไหนกัน
ในที่สุดฉันก็ยอมแพ้ทำตามเสียงเรียกร้องของทุกคนรอบข้าง ก่อนวันงานฉันจึงพาลูกไปบอกกล่าวงานบุญที่กำลังจะมาถึง นั่นคือครั้งแรกที่ลูกได้รู้จักและเห็นหน้าคนที่มีสถานะเป็น “พ่อ”
จบงานบวช…ทุกอย่างควรกลับสู่เหตุการณ์ปกติเหมือนที่เคยเป็นมา แต่ไม่ใช่สำหรับลูกชายที่รู้ตัวว่ามีพ่อ ทุกครั้งที่มีเรื่องขัดใจกัน ลูกมักบอกกับฉันว่า
“ถ้าแม่เป็นแบบนี้ หนูไปอยู่กับพ่อดีกว่า”
คำพูดของลูกประโยคนี้ที่เขาใช้ถี่ขึ้นตามการขัดแย้งของเราสองแม่ลูก ทำเอาฉันสะอื้นในอกทุกคราวไป ใครกันจะรู้ว่าคำพูดนั้นสามารถบาดลึกเข้าไปในจิตใจได้มากกว่าการกระทำเสียอีก น้ำตาฉันตกในไม่มีใครเห็น ไม่มีใครเข้าใจ มองสองมือตัวเองที่หยาบกร้านเต็มไปด้วยริ้วรอย ส่องกระจกเห็นผู้หญิงแปลกหน้าที่มีไรผมสีขาวคนที่ฉันไม่อยากจะเป็น ผิวหน้าที่ดูหมองด้วยความทุกข์มากกว่าสุข ทำให้วัยสี่สิบกว่าของฉันดูแก่กว่าความเป็นจริง
……………………
สายวันหนึ่ง ลูกโทรศัพท์มาหา ซึ่งไม่ใช่เรื่องปกติของเราสองคนนัก เพราะโดยมากเราจะคุยกันผ่านโปรแกรมแชท เว้นแต่มีเรื่องด่วนจริง ๆ
“แม่..” เสียงลูกขาดหายไป น้ำเสียงเศร้าเจือสะอื้น
“แม่จะมางานพ่อไหม มาวันเผาก็ได้” ลูกพูดจบก็วางสายโทรศัพท์ไปโดยไม่ฟังคำตอบ เหมือนจะรู้ว่าฉันต้องใช้เวลาตัดสินใจ ฉากหลังทุกสิ่งทุกอย่างระหว่างฉันกับเขาไหลบ่ามาเหมือนกระแสน้ำไหลเชี่ยว ฉันหลับตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน หาคำตอบให้กับตัวเองไม่ได้จริง ๆ ว่าจะทำยังไง
ฉันเปิดโปรแกรมสนทนาขึ้นมาเพื่อกดส่งข้อความ
“แล้วหนูรู้ได้ยังไงว่า…”
“เขารอหนูนะแม่ ลุงโทรมาบอก หนูไปได้สักห้านาทีพ่อก็ไป” ลูกพิมพ์ตอบกลับมาทันทีเหมือนรอ
……………………
วันนี้ฟ้ามีสีฟ้าสดใส กลุ่มเมฆสีขาวลอยละล่องฟุ้งไปมาเหมือนปุยนุ่น ฉันยืนมองกลุ่มควันละเอียดสีเทาที่พ่นฟุ้งกระจายขึ้นไปบนท้องฟ้า นึกถึงคำพูดของตัวเองเมื่อครู่
“ขอให้ไปเกิดยังภพภูมิที่ดี ระหว่างเราฉันขออโหสิกรรมให้ กรรมใด ๆ ที่เรามีต่อกันขอให้จบลงในวันนี้ ไม่มีอะไรติดค้างกันอีกต่อไป”
นั่นเป็นความรู้สึกสุดท้ายที่ฉันมีให้คนที่เป็นพ่อของลูก คำพูดที่ได้พูดไปนั้นเหมือนการปลดปล่อยให้เราจากกันด้วยดี และที่สำคัญมันยังปลดปล่อยจิตใจของฉันให้เบาสบายเหมือนปุยเมฆที่กำลังมอง ด้วยความรู้สึกของการ “อภัย” …▪