"เจมส์ เรืองศักดิ์" นักร้องคนเดียวที่รอดจากเครื่องบินตกเมื่อปี 2541
'เจมส์ เรืองศักดิ์'ถือเป็นนักร้องคนเดียวที่รอดจากเหตุการณ์เครื่องบินตกในปี พ.ศ.2541
มีผู้เสียชีวิต 101 คน ได้รับบาดเจ็บ 45 คน ในเหตุการณ์เครื่องบินแอร์บัส เอ 310-300 ของสายการบินไทย เที่ยวบินที่ TG261 ซึ่งบินจากกรุงเทพฯ ไปยังจังหวัดสุราษฎร์ธานี ตกลงไปในป่ายาง
เจมส์ ได้เล่าถึงเหตุการณ์ครั้งนี้อย่างละเอียดอีกครั้งในไลฟ์ของ Woody โดยเล่าว่า
"วันนั้นทัศนวิสัยไม่ดี หลายคนจะถามผมตลอดเลยว่า 19 ปีที่ผ่านมาตอนนั้นมันเกิดความผิดพลาดอะไร จากการสรุปแล้วง่ายๆ มันเกิดจากความผิดพลาดอยู่ 2-3 อย่าง หนึ่งคือวันนั้นอากาศไม่ดีจริงๆ เครื่องบินไม่สามารถลงได้อย่างสมบูรณ์แบบ ก็เลยแตะพื้นรันเวย์แล้วขึ้นไปแล้วบินวน กัปตันประกาศว่าเราอยู่ในสภาพอากาศไม่ดี ถ้าลงพื้นไม่ได้อีกครั้งจะกลับกรุงเทพฯ เขาก็พยายามจะลงอีกครั้ง ปรากฏว่าแตะพื้นแล้วก็เชิดหัวขึ้นมาใหม่ ไม่สามารถลงได้"
"เราก็ตกใจเพราะเรามีคอนเสิร์ตตอน 4 ทุ่ม แต่ตอนนั้นทุ่มกว่าแล้ว เขาบอกจะบินกลับกรุงเทพฯ เราก็กลัวไม่ทันงาน แต่เขาก็ตัดสินใจว่าจะลงครั้งที่ 3 ซึ่งครั้งนี้แหละพอจะแตะลงพื้น ปรากฏว่าสิ่งที่เขาเห็นมันไม่ใช่รันเวย์ เขาก็พยายามจะหันหัวกลับ คราวนี้เครื่องก็เลยกระแทก หางก็ชนกับหอบังคับการบินด้วย เครื่องก็ไปตกที่บึงบริเวณใกล้ๆ ดังนั้นก็น่าจะมาจากสาเหตุหลักๆ คือ หนึ่ง อากาศไม่ดี สอง คือเรื่องการตัดสินใจลงครั้งที่ 3 ทั้งที่ลง 2 ครั้งไม่ได้ก็ควรจะกลับแล้ว กับสาม เขาบอกว่าเป็นเรื่องของเครื่องด้วย"
"วันนั้นผมนั่งตรงกลางครับ นั่งปีกเลย โซนที่ผมนั่งเสียชีวิตเยอะมาก มันอยู่ที่ว่าถึงเวลาแล้วรึเปล่าเท่านั้นเอง ตอนที่เขาเอาเครื่องลงสองรอบแรก ผมเฉยๆ นะ ตาผมจ้องแอร์โฮสเตสที่นั่งอยู่ข้างหน้า ถ้าแอร์โฮสเตสมีพฤติกรรมที่ดูกังวลแสดงว่าต้องมีอะไร แต่เขานิ่งมากเหมือนไม่เกิดอะไรขึ้น"
"แต่พอลงรอบที่ 3 ที่มันลงไม่ได้และเขาพยายามเชิดหัวขึ้นนี่แหละ หลายคนถามว่ามันน่ากลัวขนาดไหน มันเป็นความรู้สึกของมนุษย์ที่เกินคำว่ากลัว เขาเรียกว่าปลง ผมเข้าสู่ถึงความรู้สึกขั้นนั้นแล้วอะ ตอนนั้นคิดว่าตายแน่นอน แต่ขอว่าอย่าเละ ขอให้ญาติจำได้และพาไปทำบุญได้ มันเป็นความรู้สึกเหมือนเด็กทารกอะ"
"พอเครื่องตกไปแล้วผมสลบ ศีรษะผมกระแทกกับเบาะอย่างแรง โชคดีที่ผมไม่มีอะไรหักจนขยับตัวไม่ได้ แต่พี่ที่ไปด้วยกันคือบิดรูปจนไม่เป็นคนเลย ซึ่งผมคาดเซฟตี้เบลต์ ตอนตื่นมาสมองมึนมาก แต่ได้ยินเสียงร้องข้างๆ ว่า “เจมส์ๆ” แล้วมีแขนของคนมาพาดผมอยู่ เรานึกว่าเป็นคนหลับข้างเรา แต่พอดึงมามันมีแต่แขนอยู่ข้างๆ น่ะ ร่างกายเริ่มตื่นขึ้นมา เริ่มเข้าใจเหตุการณ์แล้วว่าเกิดอุบัติเหตุ"
"ตอนนั้นผมพยายามช่วยพี่ติ่ง ซาวนด์เอ็นจิเนียร์ ซึ่งอยู่ข้างๆ แต่จังหวะที่ผมพยายามดึงพี่ติ่ง ผมไอแล้วสำลักและมีเลือดออกมาที่ปาก จังหวะนั้นผมรู้แล้วว่าผมตายแน่ ผมบอกพี่ติ่งว่ารอแป๊บนะ แล้วถอดเซฟตี้เบลต์แล้วผมยืนขึ้นมา พอยืนขึ้นมาโห ข้างบนของเครื่องบินน่ะไม่มีแล้ว ตอนนั้นทุ่มกว่าแล้ว มันมืดไปหมด ตอนนั้นยังไม่มีไฟและไม่มีใครร้องอะไรเลย"
"พอเหยียบเบาะแล้วปีนข้ามเครื่องที่พังแล้วไถลตัวลงมา พอจะถึงพื้นเตรียมจะร้องโอ๊ยแล้วนะ แล้วตอนนั้นเราบอบช้ำมาก ปรากฏว่ามันกลายเป็นน้ำ พอเราตกลงไปในน้ำแล้วเหมือนคนกดเอฟเฟกต์แล้วเด้งออกมาดังฟึ่บ ซึ่งจริงๆ แล้วจุดที่ผมนั่งอันตรายที่สุดเพราะมันเป็นถังน้ำมัน"
"ซึ่งที่ผมปีนออกมาเพราะจะไปขอความช่วยเหลือ พอปีนออกมาก็ไม่เห็นใครเลย แต่รู้สึกว่ามันมีควัน มันพังหมดแล้ว พอเราตกลงไปในน้ำแล้วออกมามันเป็นระเบิดของน้ำมันเครื่องบินน่ะซึ่งมันไวไฟมาก มันมีประกายไฟใหญ่มาก แล้วพี่ติ่งที่เราเพิ่งจากมาเมื่อกี้เราก็คิดว่าเขาก็คงโดนไฟตรงนั้น แต่ตอนที่เราออกมาเขายังไม่ตายไง"
"ผมก็ไม่รู้จะทำไงแล้ว ก็พาตัวเองพ้นประกายไฟเพราะเริ่มรู้สึกร้อน ผมเดินออกมาตรงนั้นมันเป็นป่า ตอนนั้นนึกว่าตัวเองรอดคนเดียวนะ ไม่มีใครเลย ผมเดินออกมาหาคน ยังไม่รู้จะไปไหนเพราะมันมืด แล้วตอนนั้นรองท้าก็ไม่ใส่ คันทั้งตัวตลอดเพราะน้ำมันเครื่องบินเต็มตัวเลย เรารู้สึกว่าเหมือนมีอะไรมากัดเท้าเรา จังหวะนั้นก็คิดว่าจะตายในป่ารึเปล่า กลัวโดนงูกัดตาย แล้วตอนนั้นเจ้าหน้าที่ยังไม่มา เจ้าหน้าที่มาหลังจากนั้นครึ่ง ชม.ได้มั้ง พอผมรู้สึกว่าเดินต่อไปไม่ไหวแล้ว ผมก็เลยตัดสินใจเดินกลับมาที่เดิมเพื่อรอคนมาช่วย"
"จังหวะที่เรากลับมาที่เดิมมันจะเป็นคันดินแล้วพอมองไปมันเหมือนฉากหนังฮอลลีวูดเลย เครื่องบินทั้งลำมันพังอยู่ข้างหน้าเรา ไฟลุกเป็นหย่อมๆ แล้วจังหวะนั้นมีคนค่อยๆ เดินมาเหมือนหนังฮอลลีวูดตอนจบ กอดคอกันมาบ้าง เลือดไหลบ้าง เป็นภาพที่ 19 ปีมันอยู่หัวผมตลอดเลย รวมไปถึงเสียงตอนเครื่องบินจะตก เสียงตอนนั้นคนทุกคนร้องเหมือนเด็กเลย เสียงโหยหวนเหมือนเด็กร้อง ผู้ใหญ่ร้องเหมือนเด็ก แต่ตอนนั้นผมปลงและคิดถึงย่า คิดถึงพ่อแม่ ความรู้สึกมันเกินคำว่ากลัว มันลืมร่างกาย มันลืมทุกอย่างแล้ว
"ตอนนั้นเริ่มมีมูลนิธิมาช่วยเหลือ แล้วตอนนั้นฝนตกด้วย ผมเคยได้ยินแต่เรื่องเล่าว่าเวลาคนเราจะตายมันจะเห็นอะไรเป็นสีขาว มันเป็นเรื่องจริง ตอนจังหวะนั้นที่คนมาหิ้วปีกแล้วที่ผมชูสองนิ้วอะ ที่ผมชูสองนิ้วเพราะผมเห็นกล้องทีวีเพราะผมเป็นห่วงย่าผม กลัวว่าเขาจะเป็นห่วงเรา เลยชูสองนิ้วเพื่อบอกว่าปลอดภัยนะ"
"จังหวะนั้นเขาเอาผมขึ้นไปบนกระบะกับแอร์โฮสเตสคนนึงซึ่งคุณพี่ท่านนั้นเสียชีวิตไปแล้ว พอผมอยู่บนรถกระบะเนี่ย ตอนนั้นฝนตกและเป็นตอนกลางคืนฟ้ามืด แต่ผมมองทุกอย่างเห็นเป็นแสงสีขาว ความรู้สึกเหมือนกำลังล่องลอย รู้สึกว่าถ้าได้หลับนี่สบายจังเลย ระหว่างที่ใจคิดอย่างนี้ กู้ภัยก็ตบหน้าแล้วบอกว่าตื่นๆๆ ตลอดทางไป รพ."
"พอไปถึง รพ.แรก ศพเยอะมาก คนเจ็บกลาดเกลื่อนเลย คนตายร้อยกว่าคน คนเจ็บก็ 30-40 คน หมอ รพ.แรกก็เอาไม่อยู่เพราะว่าเป็น รพ.ที่เครื่องมืออาจจะไม่เพียงพอ ตอนนั้นเขามาเย็บแผลที่เท้า คือเอาที่เขามองเห็นก่อน เสร็จแล้วก็มีคนพาผมไป รพ.ที่สองที่มีเครื่องมือเยอะกว่า สิ่งแรกที่หมอทำคือดูเลือดที่ออกมาแล้วเอามีดกรีดที่ปอดแล้วเจาะสายยางเลยเพราะปอดฉีก เขาบอกว่าถ้ามาช้ากว่านี้คือเป็นจังหวะที่ผมกำลังจะไปแล้วอะ แล้วตอนนั้นกระดูกซี่โครงหัก 4 แล้วมันเฉียดปอดไง กระดูกสันหลังหัก เลือดคั่งในสมอง"