"22 July"หนังกราดยิงที่สร้างจากเหตุการณ์จริง
หนังที่โหดเหี้ยม หดหู่ สร้างจากเหตุการณ์จริงของการกราดยิง
22 July เป็นหนังที่สร้างจากเหตุการณ์จริงที่เคยเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2011 ณ ประเทศนอร์เวย์ ซึ่งเป็นเหตุก่อการร้ายที่รุงแรงถึง 2 จุดภายในวันเดียว โดยเหตุการณ์แรกคือระเบิดกลางเมืองหลวงออสโล ใกล้สำนักงานของนายกรัฐมนตรี ณ เวลา 15:30 น.โดยประมาณ ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิต 8 คน และบาดเจ็บนับ 209 คน
แต่หลังจากนั้นไม่ถึงชั่วโมง บนเกาะอูเตอย่า ซึ่งห่างจากจุดเกิดเหตุแรกราว 40 กิโลเมตร ก็เกิดเหตุการณ์กราดยิงวัยรุ่นบนเกาะที่มาเข้าค่ายเยาวชนนานาชาติของพรรคแรงงานนอร์เวย์ในช่วงซัมเมอร์ ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตบนเกาะเพิ่มอีก 69 คน และบาดเจ็บร่วมอีกกว่า 110 คน
โดยผู้ก่อเหตุใช้วิธีการอ้างว่าตนเป็นตำรวจ และได้ขอติดต่อที่จะมาขึ้นเกาะเพื่อดูแลรักษาความปลอดภัยของพวกเด็กๆ เนื่องจากมีการระเบิดกลางเมือง และทันทีที่เขาย่าวก้าวขึ้นมาบนเกาะ เหล่าวัยรุ่นที่อยู่บนเกาะกว่า 600 ชีวิตนั้น.. ก็ได้กลายมาเป็นเหยื่อที่ต้องสังเวยให้แก่การก่อการร้ายทันที
บนเกาะปิดตายที่ไร้ซึ่งทางหนีและทางออก... รวมแล้วทั้งสิ้นมีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 77 ราย และบาดเจ็บร่วม 319 ราย ซึ่งนับเป็นเหตุการก่อการร้ายที่โหดเหี้ยมที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ โดยที่ตัวของ 'แอนเดอร์ส เบห์ริ่ง ไบรวิค' ผู้กระทำการครั้งนี้เพียงคนเดียว ไม่ได้มีความรู้สึกผิดหรือสำนึกกับสิ่งที่ตนได้กระทำลงไปเลย
ซ้ำยังกล่าวว่า “ผมเสียใจที่ไม่ได้ฆ่าพวกเขาให้มากกว่านี้” โดยอ้างว่ากระทำไปเพื่อปกป้องประเทศชาติ นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของเรื่องราวที่เกิดขึ้นภายในหนัง ที่สร้างมาจากเรื่องจริง โดยเล่าผ่านมุมมองของ 'พอล กรีนกราส' ที่ทั้งลงมือเขียนบทและกำกับด้วยตัวเอง...
ตัวหนัง
ตัวหนังนั้นแทบจะไม่บิดเบือนเปลี่ยนแปลงข้อเท็จอะไรออกไปเลย แต่กลับเล่าให้มันจริงยิ่งขึ้น ฉากยิงคือเห็นกันจะๆ โหดและรุนแรงมาก โดยเล่าผ่านสถานการณ์ของหลากหลายตัวละคร ทั้งเหยื่อ ผู้ก่อการร้าย นายกรัฐมนตรี และทนายเอง
ซึ่งทำให้เราได้เห็นในทุกๆ แง่ ทุกๆ มุมของเหตุการณ์นี้ได้อย่างชัดแจ้ง โดยที่ 30 นาทีแรกที่เกิดเหตุการณ์ขึ้นนั้นทั้ง สะเทือนอารมณ์ โหดเหี้ยม หดหู่ ทำให้ดูแล้วรู้สึกโกรธ รู้สึกกลัว เสียใจ ทำให้ได้เห็นมุมมองในบุคคลที่อยู่ในเหตุการณ์จริง
โดย 30 นาทีแรกคือช่วงเวลาที่อดฝืนกลืนกล้ำที่สุด ทนดูแทบไม่ได้ เห็นแล้วสงสาร ทรมานใจ แต่นั่นเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นของรอยแผลที่เราต้องทนดูไปอีกเกือบ 2 ชั่วโมงในการที่จะติดตามเรื่องราวหลังจากนั้น... ว่าเหล่าตัวละครต่างๆ ได้รับผลกระทบกันอย่างไรบ้าง เหยื่อที่รอดชีวิตมาได้ต้องทนอยู่กับสภาพจิตใจและร่างกายแบบไหน
ในขณะที่ผู้ก่อการร้ายไม่ได้สำนึกผิดเลยต่อเหตุการณ์ที่ได้ทำ และยังมีทนายเพื่อต่อสู้คดีกันในชั้นศาลต่อไป ตรงนี้หนังถ่ายทอดเรื่องราวออกมาได้ดีมากๆ ถึงชีวิตของเหยื่อที่ต้องเผชิญหลังจากผ่านเหตุการณ์ที่สะเทือนขวัญ และเราชอบที่มันไม่ได้โฟกัสแค่ตัวละครใดตัวละครหนึ่ง แต่กลับใส่ประเด็นอย่างครอบครัว และเพื่อนเข้ามาอีกด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีงามสุดๆ สำหรับคนที่ต้องการจะฟื้นฟูจิตใจในช่วงเวลาแบบนี้
โดยหากใครต้องการติดตามความหดหู่นี้ สามารถติดตามชมได้ที่ Netflix
อ้างอิงจาก: https://web.facebook.com/111611483701474/posts/138121804383775/
Netflix,Youtube