หลักการเขียนกลอนเบื้องต้น
“บทกลอน” หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “บทร้อยกรอง” หรือ “กวีนิพนธ์” หมายถึง การสอดผูกให้ติดกัน ประดิษฐ์คำ แต่งหนังสือดีให้มีความไพเราะ ร้อยและเย็บดอกไม้ให้เป็นรูปต่างๆ” ซึ่งร้อยกรองเป็นงานเขียนที่ต้องใช้ความสามารถในการเลือกภาษาแล้วจัดวางตำแหน่งถ้อยคำให้เหมาะสม ประกอบกับการฝึกบ่อยจนเกิดทักษะ ทั้งนี้เนื่องจากการเขียนร้อยกรองนั้นใช้คำได้เท่าที่ฉันทลักษณ์กำหนด ทั้งยังอาจเลยไปถึงการกำหนดคำตามเสียง / รูปวรรณยุกต์ และการกำหนดสัมผัส จึงเป็นเรื่องยุ่งยากสำหรับนักเขียนมือใหม่ แต่ขอบอกไว้ว่า เมื่อลองเขียนคำประพันธ์ชนิดใดก็ตามได้ด้วยตนเองสักบทหนึ่ง จะพบว่าร้อยกรองเป็นเรื่องไม่ยากและงดงามกว่า ให้ความหมายกว้างและลึกซึ้งกว่าการเขียนร้อยแก้วมากมายนัก (อ้างอิงจาก พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2525)
ส่วน “ฉันทลักษณ์” คือรูปแบบการบังคับในการแต่งบทร้อยกรอง ซึ่งมีการคิดขึ้นมากมาย โดยอาศัยโครงสร้างของคำและจังหวะในการออกเสียงให้เป็นกลุ่มของคำในรูปแบบที่ต่างกัน ทำให้เกิดเป็นฉันทลักษณ์ที่แตกต่างกัน
องค์ประกอบของบทกวี มี 2 ส่วนหลักๆ ได้แก่
- ความรู้สึก สารหรือเรื่องที่ต้องการถ่ายทอด บทกวีที่ดีออกมาจากความรู้สึกของผู้เขียน ความรู้สึกอาจเกิดขึ้นโดยกะทันหันหลังจากไปกระทบบางสิ่งบางอย่าง ก่อเกิดแรงบันดาลใจ อาจรู้สึก เปี่ยมสุข เปี่ยมความหมาย หรือรู้สึกนิ่งลึกดิ่งจมในเหวหุบแห่งความเศร้า ฯลฯ
- รูปแบบที่กวีเลือกในการนำเสนอ เช่น กลอน, กาพย์, โคลง, ฉันท์, ร่าย, ลิลิต, กลอนเปล่า, แคนโต้ ฯลฯ
ประเภทของคำประพันธ์ ที่อยู่ในตำราฉันทลักษณ์ยังมีอีกมาก จำแนกเป็นประเภทใหญ่ ๆ ได้ 5 ประเภท คือ
1.กาพย์ แบ่งเป็น กาพย์ยานี กาพย์ฉบัง กาพย์สุรางคนางค์ กาพย์ขับไม้
2.กลอน แบ่งเป็น กลอนแปดและกลอนหก ซึ่งจัดเป็นกลอนสุภาพ และยังมีรูปแบบอื่น ๆ ได้อีก คือ ดอกสร้อย สักวา เพลงยาว เสภา นิราศ กลอนบทละคร กลอนเพลงพื้นเมืองและกลอนกลบทต่าง ๆ
3.โคลง แบ่งเป็น โคลงสอง โคลงสาม โคลงสี่ ซึ่งอาจแต่งเป็นโคลงสุภาพหรือโคลงดั้นก็ได้ นอกจากเป็นโคลงธรรมดาแล้ว ยังแต่งเป็นโคลงกระท ู้ และโคลงกลอักษรได้อีกหลายแบบ
3.ฉันท์ แบ่งเป็นหลายชนิดเ ช่น วิชชุมมาลาฉันท์ มาณวกฉันท์ อินทรวิเชียรฉันท์ ภุชงค์ประยาตฉันท์ อีทิสังฉันท์ วสันตดิลกฉันท์ สาลินีฉันท์ ฯลฯ ล้วนแต่มี ชื่อไพเราะ ๆ ทั้งนั้น
4.ร่าย แบ่งเป็นร่ายสั้นและร่ายยาว ร่ายสั้นนั้นมีทั้งร่ายสุภาพและร่ายดั้น
กลอนที่นิยมเขียนกันมากได้แก่ “กลอนสุภาพ” หรือ “กลอนแปด” ซึ่งกลอนแปดนี้ปรากฎมากในผลงานของ “สุนทรภู่”
ประเภทของกลอนนั้นจำแนกตามวัตถุประสงค์ในการใช้ได้ 2 ประเภท คือ
1.กลอนอ่าน เป็นกลอนที่ผู้แต่งมีความมุ่งหมายเพื่อความเพลิดเพลิน แบ่งเป็น 8 ชนิด ได้แก่
กลอนนิราศ
กลอนเพลงยาว
กลอนนิทาน
กลอนสี่
กลอนหก
กลอนเจ็ด
กลอนแปด
กลอนเก้า
2.กลอนร้อง เป็นกลอนที่แต่งขึ้นโดยมีจุดมุ่งหมายสำหรับการขับร้องโต้ตอบกัน การขับลำนำเพื่อความไพเราะ การขับร้องเพื่อประกอบการแสดงเพื่อความบันเทิง แบ่งเป็น 5 ชนิด ได้แก่
กลอนดอกสร้อย ขึ้นต้นด้วย “เอ๋ย” จบลงด้วย “เอ๋ย”
กลอนสักวา ขึ้นต้นด้วย “สักวา”
กลอนเสภา
กลอนบทละคร
กลอนเพลงชาวบ้าน
การบังคับจำนวนคำของบทกลอน กลอนสี่ถึงแปดนั้นมีการบังคำจำนวนคำในหนึ่งวรรคตามแต่ละชนิดของบทกลอนเช่น กลอนสี่ก็บังคำสี่คำในหนึ่งวรรค กลอนแปดก็บังคับแปดคำในหนึ่งวรรค เป็นต้น
ดังนั้นพอสรุปลักษณะบังคับร่วมของกลอนไว้ดังนี้
- 1 บทมีทั้งสิ้น 2 บาท
- 1 บาทมีทั้งสิ้น 2 วรรค
- 1 วรรคมีจำนวนคำตามแต่ละชนิดของบทกลอน
สำหรับกลอนบทละ 4 วรรคนั้น มีชื่อวรรคตามลักษณะการบังคำสัมผัส ดังนี้
วรรคแรก เรียกว่า “วรรคสดับหรือวรรคสลับ” เป็นวรรคขึ้นต้นของบทกลอน ทำหน้าที่ส่งสัมผัสอย่างเดียว
วรรคที่สอง เรียกว่า “วรรครับ” ทำหน้าที่รับสัมผัสจากวรรคสดับกับวรรคส่ง และส่งสัมผัสไปยังวรรครอง
วรรคที่สาม เรียกว่า “วรรครอง” ทำหน้าที่รับสัมผัสจากวรรครับและส่งสัมผัสไปยังวรรคส่ง
วรรคที่สี่ เรียกว่า “วรรคส่ง” ทำหน้าที่รับสัมผัสจากวรรครอง และทำหน้าที่สำคัญในการส่งสัมผัสระหว่างบทไปยังวรรครับของบทต่อไป
ลักษณะบังคับเฉพาะชนิด จำแนกของบทกลอนได้ดังต่อไปนี้
กลอนสี่
ตามหลักฐานทางวรรณคดีไทย กลอน 4 ที่เก่าที่สุดพบในมหาชาติคำหลวงกัณฑ์มหาพน (สมัยอยุธยา) แต่ต่อมาไม่ปรากฏในวรรณคดีไทยมากนัก มักแทรกอยู่ตามกลอนบทละครต่าง ๆ คณะกลอน 4 แบบนี้ บทหนึ่งจะประกอบด้วย 2 บาท บาทละ 2 วรรค วรรคละ 4 คำ ตามผัง
บาทเอก วรรคสลับ 0 0 0 0 0 0 0 0 รับ
บาทโท วรรครอง 0 0 0 0 0 0 0 0 ส่ง
ตัวอย่างกลอนสี่
บาทเอก วรรคสลับ ยามเช้าวันนี้ ฉันมีความสุข รับ
บาทโท วรรครอง เพราะใจไร้ทุกข์ ฉันสนุกจริงจริง ส่ง
เดินไปในสวน เพื่อนชวนดูลิง
นั่งไม่ไหวติง สรรพสิ่งเงียบงันฯ
กลอนหก
ตามหลักฐานทางวรรณคดีไทย กลอน 6 พบครั้งแรกในกลบทศิริวิบุลกิตติ สมัยอยุธยาตอนปลายนอกนั้นก็แทรกอยู่ในกลอนบทละคร แต่ที่ใช้แต่ตลอดเรื่องเริ่มมีในสมัยรัชกาลที่ 6 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ คือ กนกนคร ของกรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ (น.ม.ส.) คณะกลอนหก บทหนึ่งประกอบด้วย 2 บาท บาทละ 2 วรรค วรรคละ 6 คำ ตามผัง
บาทเอก วรรคสลับ 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 รับ
บาทโท วรรครอง 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 ส่ง
ตัวอย่างกลอนหก
บาทเอก วรรคสลับ กลอนหกหกคำจำกัด บัญญัติเพาะเหมาะเหมง รับ
บาทโท วรรครอง สัมผัสฟัดกันบรรเลง พึงเพ่งอย่างเพี้ยงเปลี่ยนแปลง ส่ง
ตรองความให้งามตามบท กำหนดอย่างได้หน่ายแหนง
ลำนำลำเนาอย่างแคลง เพี้ยนแฝงถ้อยคำสำนวนฯ
กลอนเจ็ด
ตามหลักฐานทางวรรณคดีไทย กลอน 7 พบครั้งแรกในกลบทศิริวิบุลกิตติ สมัยอยุธยาตอนปลายนอกนั้นก็แทรกอยู่ในกลอนบทละคร ไม่ค่อยมีใครใช้แต่งยาวๆ จนถึงสมัยกรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ (น.ม.ส.) ที่ท่านนำมาใช้ในพระนิพนธ์ ลิลิตสามกรุง คณะกลอนเจ็ด บทหนึ่งประกอบด้วย 2 บาท บาทละ 2 วรรค วรรคละ 7 คำ ตามผัง
บาทเอก วรรคสลับ 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 รับ
บาทโท วรรครอง 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 ส่ง
ตัวอย่างกลอนเจ็ด
บาทเอก วรรคสลับ เสตเตลงเกรงกริ่งนิ่งรำลึก คัดคึกข่าวทัพดูคับขัน รับ
บาทโท วรรครอง จักเตรียมค่ายใหญ่ก็ไม่ทัน จำกั้นกีดขวางหนทางยุทธ์ ส่ง
ตั้งขัดตาทับรับไว้ก่อน เพื่อผ่อนเวลาให้ช้าสุด
จวนตัวกลัวว่าศัตราวุธ หวิดหวุดหมดหวังในครั้งนี้ฯ
จาก สามกรุง, กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์
กลอนแปด
ตามหลักฐานทางวรรณคดีไทย กลอน 8 พบครั้งแรกในกลบทศิริวิบุลกิตติ สมัยอยุธยาตอนปลาย ซึ่งค้นพบกันว่าจังหวะและลีลาลงตัวที่สุด จึงมีคนแต่งแบบนี้มากที่สุด และผู้ที่ทำให้กลอน 8 รุ่งเรืองที่สุดคือท่าน สุนทรภู่ ที่ได้พัฒนาเพิ่มสัมผัสอย่างเป็นระบบ ซึ่งใกล้เคียงกับกลบทมธุรสวาทีในกลบทศิริวิบุลกิตติ์
กลอนแปด นั้นถือว่าเป็นขนบกวีนิพนธ์พื้นฐานที่นิยมที่สุดในไทย เหตุเพราะมีฉันทลักษณ์ที่เรียบง่ายไม่ซับซ้อน สามารถแสดงอารมณ์ได้หลากหลาย และคนทั่วไปสามารถเข้าถึงเนื้อความได้ไม่ยาก หนึ่งในรูปแบบของกลอนแปดก็คือ รูปแบบกลอนแปดของสุนทรภู่ ซึ่งความแพรวพราวด้วยสัมผัสใน และขนบดังกล่าวนี้ก็ได้รับการสืบทอดต่อมาในงานกวีนิพนธ์ยุคหลังๆ กระทั่งปัจจุบัน คณะ กลอนแปด บทหนึ่งประกอบด้วย 2 บาท บาทละ 2 วรรค วรรคละ 8 คำ ตามผัง
บาทเอก วรรคสลับ 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 รับ
บาทโท วรรครอง 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 ส่ง
สัมผัสนอก ให้มีสัมผัสระหว่างคำสุดท้ายวรรคหน้ากับคำที่สามของวรรคหลังของทุกบาท และให้มีสัมผัสระหว่างบาทคือคำสุดท้ายของวรรคที่สองสัมผัสกับคำสุดท้ายวรรคที่สาม ส่วนสัมผัสระหว่างบท กำหนดให้คำสุดท้ายของบทแรก สัมผัสกับคำสุดท้ายวรรคที่สองของบทถัดไป
สัมผัสใน ไม่บังคับ แต่หากจะให้กลอนสละสลวยควรมีสัมผัสระหว่างคำที่สามกับคำที่สี่ หรือระหว่างคำที่ห้ากับคำที่หกหรือคำที่เจ็ดของแต่ละวรรค
ตัวอย่างกลอนแปด
บาทเอก วรรคสลับ เราจึงมีชีวิตเพียงเพื่อเขียนลำนำชีวิต มีความคิดเพียงเพื่อเขียนความฝันใฝ่ รับ
บาทโท วรรครอง มีความรักเพียงเพื่อเขียนตำนานหัวใจ มีหยาดใสของน้ำตาเพื่อวันวาร ส่ง
มีความเศร้าเพียงรู้ค่าอารมณ์เหงา มีความเก่าเพียงรู้ค่าเวลาหวาน
มีแสงตะวันเพื่อรู้ค่ารัตติกาล มีชีวิตยืนนานเพื่อรู้ค่าความเป็นคนฯ
กลอนเก้า
ตามหลักฐานทางวรรณคดีไทย กลอน 9 พบครั้งแรกในกลบทศิริวิบุลกิตติ สมัยอยุธยาตอนปลาย เช่นเดียวกัน แต่กวีไม่ค่อยนิยมแต่งกันมากนัก เนื่องจากเห็นว่ากลอนแปดลงตัวมากที่สุดคณะ กลอนเก้า บทหนึ่งประกอบด้วย 2 บาท บาทละ 2 วรรค วรรคละ 9 คำ ตามผัง
บาทเอก วรรคสลับ 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 รับ
บาทโท วรรครอง 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 ส่ง
สัมผัสนอก ให้มีสัมผัสระหว่างคำสุดท้ายวรรคหน้ากับคำที่สามของวรรคหลังของทุกบาท และให้มีสัมผัสระหว่างบาทคือคำสุดท้ายของวรรคที่สองสัมผัสกับคำสุดท้ายวรรคที่สาม ส่วนสัมผัสระหว่างบท กำหนดให้คำสุดท้ายของบทแรก สัมผัสกับคำสุดท้ายวรรคที่สองของบทถัดไป
สัมผัสใน ไม่บังคับ แต่หากจะให้กลอนสละสลวยควรมีสัมผัสระหว่างคำที่สามกับคำที่สี่หรือคำที่ห้า หรือระหว่างคำที่หกกับคำที่เจ็ดหรือคำที่แปดของแต่ละวรรค
บาทเอก วรรคสลับ
นายชายพรานหนึ่งชาญไพรล่ำใหญ่ขยับ ได้ยินกลองเดิรย่องกลับดูขับขัน รับ
บาทโท วรรครอง
มือป้องหน้ามุ่งป่าแน่วแนวแถววัน สุนัขย่องสุดมองขยันติดพันตาม ส่ง
มุ่งปะทะมาปะที่คนตีกลอง เพื่อนทักจ๋าพูดหน้าจ้องพรานร้องถาม
เดิมแรกหูได้รู้เหตุสังเกตความ ว่าทรงนามว่าทรามนาฎนิราศจร
จาก กลบทระลอกแก้วกระทบฝั่ง, ศิริวิบุลกิตติ, หลวงปรีชา (เซ่ง)
สิ่งสำคัญที่สุดของคำประพันธ์
คือ การวางสัมผัสมารู้จักกันก่อนว่าสัมผัส มีด้วยกัน 2 ชนิด คือ
สัมผัสใน ทำได้โดยสัมผัสสระ เป็นการใช้สระที่เหมือนๆ กันมาสัมผัสกัน เช่น ใจ ไป อะไร ทำไม กลาย สาย เป็นต้น สัมผัสอักษร เป็นการเลือกพยัญชนะตัวสะกดเสียงเดียวกันมาสัมผัสกัน เช่น กาด ขาด คลาด อนันต์ ฝัน จันทรา เป็นต้น
สัมผัสนอก สัมผัสนอกเป็นการแสดงความสามารถในการสร้างความงดงาม ของผู้เขียนคำประพันธ์ให้ได้สีสันทางภาษา
ข้อควรจำหลักการแต่งกลอนแปด กลอนสุภาพ-ฉันทลักษณ์
- ในวรรคหนึ่งๆ มีอยู่ 8 คำ จะใช้คำเกินกว่ากำหนดได้บ้าง แต่ต้องเป็นคำที่ประกอบด้วยเสียงสั้น
- การส่งสัมผัส คำที่ 8 ของวรรคแรก สัมผัสกับคำที่ 3 หรือคำที่ 5 ของวรรคที่สอง คำที่ 8 ของวรรคที่ 2 สัมผัสกับคำที่ 8 ของวรรคที่ 3
คำ ที่ 8 ของวรรคที่ 3 สัมผัสกับคำที่ 3 หรือที่ 5 ของวรรคที่ 4 และคำสุดท้ายของวรรคที่ 4 ส่งสัมผัสไปยังคำสุดท้ายของวรรคที่ 2 ของบทต่อไป
- วรรคสดับ หรือวรรคแรก คำสุดท้ายใช้คำเต้น คือ เว้นคำสามัญใช้ได้หมด แต่ถ้าจำเป็นจะใช้เป็นเสียงสามัญก็อนุญาตให้ใช้ได้บ้าง แต่อย่าบ่อยนักพยายามหลีกเลี่ยง
- วรรครับ หรือวรรคสอง คำสุดท้ายนิยมใช้เสียงจัตวา ส่วน เอก โท ตรี ได้บ้าง ห้ามเด็ดขาดคือ เสียงสามัญ
- วรรครอง หรือวรรคสาม คำสุดท้ายนิยมใช้เสียงสามัญ ห้ามใช้เสียงจัตวา หรือคำที่มีรูปวรรณยุกต์
- วรรคส่งหรือวรรคสี่ คำสุดท้ายนิยมใช้เสียงสามัญ ห้ามใช้คำตายและคำที่มีรูปวรรณยุกต์
- คำที่ 3 ของวรรครองและวรรคส่ง ใช้ได้ทุกเสียง
- นิยมสัมผัสในระหว่างคำที่ 5-6-7 ของทุก ๆ วรรค
- นิยมสัมผัสชิดในระหว่างคำที่ 3-4 ของวรรคสดับและวรรครอง
- อย่าให้มีสัมผัสเลือน, สัมผัสซ้ำ, สัมผัสเกิน, สัมผัสแย่ง, สัมผัสเผลอ, และสัมผัสเพี้ยน
เรียบเรียงโดย แสงศรัทธา ณ ปลายฟ้า
รูปจาก pixabay