นิยายอ่านฟรี พลังปราณทั้งสี่ เรื่องผู้ครอบครองพลังวิเศษ
หนึ่งบุรุษผู้ครอบครองพลังปราณแห่งปฐพี ควบคุมพื้นดินทั้งใต้หล้าเอาไว้ในฝ่ามือ แต่ไม่ว่าจะมีพลังมากเท่าใดกลับยิ่งกลายเป็นดาบสองคมมากเท่านั้น เขาต้องหลบซ่อนตัวตนจากคนของพรรคมาร มีชีวิตรอดด้วยนามของผู้อื่นอยู่อย่างโดดเดี่ยวมาตั้งแต่จำความได้ แต่แล้ววันหนึ่งหัวใจของเขานั้นกลับกลับสยบลงแทบเท้าสตรีอ่อนแอนางหนึ่งเท่านั้น เขาและนางฐานะแตกต่างกัน แต่เขาก็ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้อยู่เคียงข้างนาง
สตรีนางหนึ่งนางเติบโตมาด้วยไฟแค้น จิตใจของนางหล่อหลอมและเติมเต็มไปด้วยเปลวเพลิง ภายใจของนางนั้นเต็มไปด้วยโทสะที่พร้อมจะระเบิดได้ทุกเมื่อ นางคือผู้ครอบครองพลังปราณแห่งไฟกัลป์ แต่ไม่ว่าเปลวไฟนั้นจะร้อนเพียงใดหัวใจดวงน้อยๆ ของนางกลับถูกความเย็นฉ่ำจากสายน้ำของบุรุษผู้หนึ่งชโลมล่อเลี้ยงจิตใจ
บุรุษอีกคน ผู้ที่ครอบครองพลังปราณวายุและปราณวารี บุรุษผู้เดียวในรอบหลายพันปีที่สามารถใช้พลังปราณได้ถึงสองสาย ผู้ที่คนทั้งใต้หล้าหวาดกลัวและไม่กล้าเข้าใกล้ ไม่ว่าเขาย่างกายไปที่ใด แคว้นนั้นมักจะมีสงครามเสมอ เขาก่อสงครามไปทั่วทุกย่อมหญ้า เพื่อรวบรวมหมายจะครอบครองทุกดินแดนให้เป็นหนึ่งเดียว เขามีปณิธานแรงกล้าที่จะรวมพลังปราณทั้งสี่เอาไว้ด้วยกันเป็นหนึ่งเดียว พลังและอำนาจคือทุกสิ่ง แต่แล้ววันหนึ่งเขากลับถูกดรุณีน้อยคนหนึ่งทลายมันลง หากไม่มีนางอยู่เคียงบ่าเคียงไหล่ พลังเหล่านั้นก็ไร้ความหมาย จะมีอำนาจไปเพื่อสิ่งใดหากไร้ดวงใจอยู่เคียงข้าง
เมื่อราวๆ เกือบหนึ่งร้อยปีก่อน มีนักพรตทำนายเอาไว้ว่า
‘เมื่อพลังปราณทั้งสี่รวมตัวกัน ใต้หล้าสงบสุข’
สงบสุขกับผีนะสิ
อู่เหมยตาฮวย เม้นปากแน่น เมื่อคิดถึงเรื่องราวความเป็นมาของพลังปราณที่สามีของตนเล่าให้ฟัง จะไม่เชื่อเรื่องพลังวิเศษก็ไม่ได้ เพราะตัวนางเองนั้นวิญญาณก็มาเดินทางทะลุมิติมาจากอนาคต แถมนางก็ยังได้ยินและสื่อสารกับเหล่าสรรพสัตว์ทั้งหลายได้
“จินเยว่ ทำแบบนั้นไม่ได้นะจ๊ะ”
เหมยตาฮวยตะโกนบอกบุตรชายคนโตของโอวหยางเจิ้งหัว ละสายตาพักเดียวเท่านั้น จากกิงดินกองเล็กๆ เขาก็ก่อดินกลายเป็นปราสาททรายจนสูงท่วมหัว หากไม่ห้ามปรามมีหวังว่าปราสาทหลังนี้กลายเป็นภูเขาดินขนาดย่อมๆ
และหว่างที่หันไปดูโอวหยางจินเยว่ หางตาเหมือนเห็นอะไรแวบๆ ผ่านไป
“อ้ายฉิง อ้ายเฉิง ลงมาเดี๋ยวนี้ ก่อนที่น้าจะให้นกยักษ์จับพวกเจ้าลงมา”
เหมยตาฮวยหันไปตะโกนใส่ฝาแฝดชายหญิง บุตรและธิดาของรัชทายาทแคว้นจ้าว จ้าวหยุ่นหลง
สองแฝดหันมายิ้มเผล่ แต่ก็ยอมลอยลงมาจากยอดกิ่งไม้แต่โดยดี ไม่อยากถูกนกยักษ์ของท่านน้าอู่เหมยตาฮวยคาบเพราะมันเสียหน้า วันนี้เพื่อนๆ มาเล่นกันในวัง จะให้พวกเขาเนื้อตัวเปื้อนน้ำลายนกได้อย่างไรเล่า
เมื่อสองแฝดขาแตะพื้น เหมยตาฮวยลอบถอนหายใจ ไหนบอกว่าถึงบุตรธิดาคนแรกของตระกูลจะได้รับการถ่ายทอดพลังปราณ แต่กว่าปราณจะตื่นและสามารถใช้พลังได้ก็ต่อเมื่ออายุครบสิบแปด แล้วทำไมทายาทอสูรพวกนี้ถึงใช้พลังได้ตั้งแต่กำเนิด นางปรายตามองบุตรสาวของตนที่นั่งเล่นเงียบๆ อยู่ไม่ไกล คงมีแค่ต้าเหนิง บุตรสาวของนางกับองครักษ์ชางเจี้ย ที่เรียบร้อยที่สุด
“ต้าเหนิง ทำอะไรอยู่จ๊ะ”
เหมยตาฮวยเดินไปทรุดกายลงข้างๆ บุตรสาว นางเห็นตาเหนิงนั่งเล่นคนเดียวเงียบๆ มาสักพักใหญ่แล้ว
“ลูกกำลังบอกให้พวกมดแดง ต่อตัวเป็นปราสาทแข่งกับจินเยว่เจ้าค่ะ” ชางต้าเหนิงหันมาทางมารดา เอ่ยบอกเสียงเจื้อยแจ้ว ภูมิอกภูมิใจกับปราสาทมดของตน
“อ่า จ๊ะ ระวังอย่าบาดเจ็บกันล่ะ” พูดไม่ออก บอกไม่ถูก ทำได้แค่เพียงหันไปบอกเหล่ามดน้อยให้ระวังตัว นางลืมไปได้อย่างไรว่าเด็กๆ พวกนี้เติบโตมาด้วยกัน ย่อมมีนิสัยใจคอบางอย่างคล้ายคลึงกัน
อู่เหมยตาฮวยเดินกลับไปที่โต๊ะตัวเล็กๆ ใต้ต้นไม้ใหญ่ นางทรุดตัวลงนั่งอย่างหมดแรง วันนี้นางรับอาสามาดูแลเด็กๆ เพราะ เหล่าพ่อแม่ของเด็กพวกนี้กำลังประชุมหารือเรื่องในยุทธภพ องค์หญิงเลี่ยงหลิงก็กำลังแพ้ท้องหนักลุกจากเตียงไม่ไหว ทำให้ในตอนนี้ มีนางคนเดียวที่เด็กๆ ทั้งสี่พอจะเชื่อฟัง หากให้อยู่ตามลำพังกับพวกบ่าวรับใช้ คำเดียวสั้นๆ พินาศ
ก่อนจะไปถามหาความสงบสุขให้ใต้หล้า เอาใต้ต้นไม้ต้นนี้ให้รอดก่อน
“จิบน้ำชาให้ชื่นใจหน่อยไหมเจ้าค่ะฮูหยิน” จางลี่ถือถาดน้ำชาและขนมมาวางบนโต๊ะ
เหมยตาฮวยพยักหน้ารับ ได้น้ำเย็นๆ สักจอกก็คงจะดี นางรับน้ำชามาถือไว้ แม้พระชายาของจ้าวหยุ่นหลงจะอารมณ์ร้อน ชอบทำอะไรมุทะลุ เป็นเพราะนางนั้นยังเด็ก แต่จางลี่ที่เป็นสาวใช้คนสนิทกลับเยือกเย็นสุขุม ไม่น่าเชื่อว่าสองคนนี้จะเข้ากันได้ ผิดจากสาวใช้คนเก่าของตน ชิงชิงใช่ว่าจะไม่ดี แต่นางชอบเอาความลับของเจ้านายไปขาย เหมยตาฮวยจึงไม่คิดจะเอาใครมาอยู่ใกล้ตัวขนาดนั้นอีกแล้ว
“ฮูหยินท่านอย่าดุพวกคุณหนูๆ นักเลย ปล่อยให้เล่นกันไปตามประสาเถิด” เวลาที่จางลี่ อยู่กับสองแฝดตามลำพัง นางก็ปล่อยให้เด็กสองคนนั้นทำตามใจตน นางเพียงคอยดูอยู่ห่างๆ เท่านั้น
“ข้าก็อยากทำแบบนั้น แต่บางทีมันก็อดใจไม่ไหว ก็ต้องมีร้องเตือนกันบ้าง ก่อนที่จะพลั้งพลาดเกิดอันตรายขึ้น ถึงข้าจะฟังพวกสัตว์ได้ แต่ข้าก็ใช่ว่าจะมีพลังปราณหรือวรยุทธที่จะสามารถหยุดพวกเด็กๆ ได้”
นางเข้าใจในสิ่งที่จางลี่จะสื่อ เด็กทั้งสี่อายุก็สามสี่ขวบกันแล้ว ควรได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ รอบตัวเพื่อพัฒนาการให้สมวัยสองแฝดอ้ายเฉิงกับอ้ายฉิงมีพลังปราณลมทั้งคู่ ลอยไปนั่งบนยอดไม้ก็ด้วยพลังของตน ใช่ว่าจะตกลงมาง่ายๆ คงเหมือนกับเด็กทั่วๆ ไปนั่งอยู่บนพื้น แต่จะให้นางยืนดูเฉยๆ ก็ไม่ไหวไง ลงมาเล่นข้างล่างแบบลูกคนปกติเถอะ หัวจะปวด
“อ้ายเฉิง น้าบอกว่าห้ามเล่นไฟ น้าจะฟ้องเสด็จพ่อของเจ้า” นั้นไงพูดยังไม่ทันขาดคำ เอาอีกแล้วไอ้ตัวแสบคนพี่
เมื่อเห็นแฝดผู้พี่ถูกดุเรื่องใช้พลังอีกแล้ว อ้ายฉงแฝดผู้น้องก็ใช้ปราณวารีรีบดับเปลวไฟ หากท่านน้าเหมยตาฮวยฟ้องเสด็จพ่อจริงๆ แย่แน่ๆ เพราะเสด็จพ่อท่านอนุญาตให้ใช้แค่พลังปราณวายุ ห้ามใช้พลังปราณสายอื่นหากว่าท่านไม่อยู่ด้วย เพราะอาจเกิดอันตรายกับผู้อื่นได้
“เจ้าตะโกนแบบนั้น นกในวังข้าบินหนีหมดแล้ว” จ้าวหยุ่นหลงส่งเสียงมาแต่ไกล ข้างตัวของเขามักจะมีพระชายากวนเสี่ยวถงอยู่เสมอ
“จินเย่ว ปะกลับกันเสด็จแม่รออยู่” โอวหยางเจิ้งหัวย่อตัวอ้าแขนรับบุตรชายที่วิ่งตื้อเข้ามาทันทีที่เห็นเขาเดินมา กดริมฝีปากหนาลงบนแก้มนุ่มที่เต็มไปด้วยกลิ่นดินเบาๆ “ดื้อกับท่านน้าเหมยตาฮวยหรือไม่”
จินเยว่สายหน้าวือ
“แต่เจ้าสองแฝดไม่เหมือนยินเยว่แน่ๆ เพราะข้าได้ยินเสียงพี่เหมยตาฮวยดังลั่นเชียว” กวนเสี่ยวถงหรี่ตามองสองแสบ
“อ้ายเฉิง เป็นเด็กดี เชื่อฟังท่านน้าพูดทุกอย่าง”
“อ้ายฉิงด้วยๆ”
สองฝาแฝดรีบแก้ตัวก่อนที่ท่านน้าเหมยตาฮวยจะพูดอะไร แม้ท่านพ่อจะทั้งรักและตามใจพวกเขามาก หากทำอะไรผิดก็แค่ว่ากล่าวตักเตือน แต่หากเสด็จแม่ลงมือแล้วละก็ แม้แต่เสด็จพ่อก็ทำได้เพียงยืนฟังเงียบๆ เท่านั้น สองแฝดหันไปมองท่านน้าเหมยตาฮวยอย่างคาดหวัง ว่าอย่าบอกเสด็จแม่ว่าพวกเขาใช้พลังปราณ
“อย่าดุนักเลยน้องหญิง เจ้าดูสวนดอกไม้ของเจ้าสิ ยังอยู่ครบปกติสุขดี แสดงว่าสองแสบไม่ได้ทำอะไรแผลงๆ ระหว่างที่เจ้าไม่อยู่” จ้าวหยุ่นหลงรีบแก้ตัวช่วย หวังผ่อนหนักให้เป็นเบา
กวนเสียวถงยืนมองอ้ายเฉิงและอ้ายฉิง ก็เพราะจ้าวหยุ่นหลงตามใจเสียแบบนี้ สองแสบถึงได้เล่นสนุกจนบางที่ก็พลั้งเผลอใช้พลังจนเกินตัว นางจึงต้องคอยปรามเอาไว้แบบนี้ ทำให้นางก็กลายร่างเป็นแม่ใจร้ายได้ตลอด ตอนเด็กๆ นางก็ใช้พลังได้เหมือนกันแต่แม่นมของนางก็ห้ามไม่ให้ใช้จนกว่าจะถึงเวลา แล้วนางก็เชื่อฟังแม่นมมาตลอด ผิดกับลูกๆของนาง ไม่ว่านางจะห้ามแค่ไหนก็ยังแอบทำ เพราะมีคนให้ท้ายไง เดี๋ยวเถอะหากยังตามใจกันอยู่แบบนี้ หากดอกไม้ในสวนข้าหักแม้แต่ดอกเดียว ข้าจะให้ทั้งสามพ่อลูกปลูกให้ข้าใหม่ด้วยมือพวกเขาเอง
เหมยตาฮวยคลี่ยิ้มไม่พูดอะไร หันไปยิ้มกับสามีของตนที่พอมาถึงก็เดินไปนั่งคุยกับต้าเหนิง ทำเสียงเล็กเสียงน้อยทั้งๆที่ตัวเองก็พูดกับมดไม่รู้เรื่องแบบบุตรสาว แต่ก็เออออรับต้าเหนิงไปหมดทุกอย่าง
“งั้นข้าขอตัวกลับก่อน ได้เวลานอนกลางวันแล้วจินเยว่แล้ว อีกอย่างข้าไม่อยากให้เลี่ยงหลิงอยู่คนเดียวนาน ใจก็อยากจะพานางมาด้วย แต่นางแพ้หนักเหลือเกินท้องนี้” โอวหยางเจิ้งหัวหันไปบอกลาทุกคน หากวันนี้ไม่มีประชุมสำคัญ เขาคงไม่ทิ้งนางไว้ที่จวนกับสาวใช้เพียงลำพัง
“ไปเถอะ” จ้าวหยุ่นหลงหันไปล่ำลาสหาย
“ต้าเหนิง เจ้าอยากมีน้องเล่นด้วยหรือไม่ ยัได้ไม่ต้องมานั่งเล่นกับตัวสัตว์ตัวเล็กๆ แบบนี้” องครักษ์ชางเจี้ยก้มลงถามบุตรสาว
“น้อง น้องแบบที่อ้ายเฉิง มีอ้ายฉิงเป็นน้องหรือเจ้าค่ะท่านพ่อ” ดวงหน้าน้อยๆ เอียงคอถาม
เหมยตาฮวยกลอกตาขึ้นฟ้า หลังจากคลอดต้าเหนิง นางบอกสามีว่าขอให้ต้าเหนิงโตจนรู้ความก่อนค่อยมีคนต่อไปและนางเองก็ต้องใช้เวลาพักพื้นร่างกายของตนด้วย การแพทย์สมัยโบราณยังไม่ทันสมัยมากนัก นางอยากเลี่ยงความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นกับตนเองให้มากที่สุด นางจึงให้ชางเจี้ยใช้วิธีการธรรมชาติในการคุมกำเนิด คือให้เขาหลั่งนอก นี่ลูกเพิ่งจะสามขวบไหนบอกว่ารอได้ไง
“รอให้ต้าเหนิงโตกว่านี้ก่อน”
“ตอนนี้ต้าเหนิงก็โตแล้ว” องครักษ์ชางเจี้ยหันไปทวงสัญญากับฮูหยินของตน จ้าวหยุ่นหลงมีสองแฝด ส่วนโอวหยางเจิ้งหัวก็กำลังจะมีลูกคนที่สอง เขาจะมีคนเดียวน้อยหน้าพวกนั้นได้อย่างไร ยอมไม่ได้
“เจ้าไม่มีน้ำยาเองหรือเปล่า”
“ฝ่าบาท” องครักษ์ชางครางเสียงอ่อยหันไปมองค้อนให้สหายพวงตำแหน่งนายเหนือหัว ก็เพราะตอนประชุม เขาถูกจ้าวหยุ่นหลงเย้าแย่ว่าไร้น้ำยา ถึงมีลูกสาวแค่คนเดียว ใช้ที่ไหนเล่า น้ำพิสูจของเขาไม่เคยเข้าไปในตัวฮูหยินแล้วจะมีลูกคนที่สองได้อย่างไรกัน ตอนนี้เขาถึงได้มานั่งขอให้ต้าเหนิงช่วยอยู่แบบนี้ หากบุตรสาวไปบอกฮูหยินของเขาว่าอยากมีน้อง นางต้องยอมใจอ่อนแน่นอน
โอวหยางเจิ้งหัวอุ้มบุตรชายขึ้นแนบอก สหายสองคนนี้ทั้วรักทั้งกัดกันมาตลอด โดยไม่สนใจฐานะของอีกฝ่าย แต่ถึงกระนั้นเขาก็นึกขอบคุณทั้งคู่เสมอที่ชักจูงเขาให้ก้าวมาสู้แสงสว่าง ไม่ต้องมีชีชีวิตหลบๆ ซ่อนๆ อีกต่อไป หากนางมารไม่ตาย เขาคงต้องพาองค์หญิงเลี่ยงหลิงและจินเย่วหลบหนีเขาไปอยู่ในป่าเขา เช่นที่ตระกูลของกวนเสี่ยวถงเคยทำร่างสูงอุ้มบุตรชายเข้าไปอำลา ทั้งสาม ก่อนจะพาอุ้มออกจากสวนของวังรัชทายาท
เมื่อพลังปราณที่สี่รวมตัวกัน ใต้หล้าสงบสุข
แต่รอบกายของข้านั้นวุ่นวายทุกวัน
กวนเสี่ยวถงพรูลมหายใจออกมาหนักๆ มองสองแฝดที่วิ่งเข้าไปนั่งเล่นกับบุตรสาวขององครักษ์ชางเจี้ย ยิ่งสองแฝดโตก็ยิ่งซนหนัก ขนาดอ้ายฉิงที่เป็นพระธิดาก็ยังซุกซนไม่ต่างจากพระโอรส ผิดกับบุตรสาวของพี่เหมยตาฮวย ชอบนั่งเล่นกับสัตว์ตัวเล็กๆ ไม่ปีนป่ายลอยเคว้งคว้างบนอากาศแบบอ้ายฉิง
“เฮ้อ อยู่เพียงลำพังมาทั้งชีวตพอมีท่านเข้ามาชีวิตข้าก็ไม่เคยได้เงียบเหงาอีกเลย" กวนเสี่ยวถงบ่นเบาๆ
"อยากมีเพิ่มอีกคนไหมล่ะ" แม้เสียงนางจะเบาแค่ไหน เขาก็ได้ยิน จ้าวหยุ่นหลงใส่ใจพระชายาของตนเสมอ
"แต่ถ้ามีอีกคน ก็จะไม่ได้รับถ่ายทอดพลังปราณใดๆ จากทั้งท่านแล้วข้า จริงอยู่ที่ต่อให้ลูกของข้าจะไม่มีพลัง ข้านั้นก็รักไม่แตกต่างกัน แต่เขาล่ะจะเขาใจมันมากน้อยเพียงใด ที่ต้องมีชีวิตอยู่โดยการถูกเปรียบเทียบกับพี่ๆ เสมอ แค่สองแสบก็พอแล้ว" การมีชีวิตอยู่อย่างไร้ตัวตนนางเคยประสบมาแล้ว นางจะไม่มีวันให้ลูกๆ ของตนมีชีวิตเช่นนั้นเด็ดขาด
จ้าวหยุ่นหลงพยักหน้ารับ แม้ใจจะอยากมีลูกสักเจ็ดแปดคน แต่คงต้องยกเลิกความคิดนั้น กวนเสี่ยงถงว่าอย่างไรเขาก็ตามนั้นล่ะ
-----------จบ------------
เรื่องหลัก
- องค์หญิงบรรณาการผู้ถูกลืมเลือน
- ดอกมู่ตานขี้เซา ผ่ามิติข้ามภพมาเพื่อนิทรา
-หนึ่งปรารถนา ปฐพีนี้ของมีเพียงเจ้า
ทั้งสามเรื่องอ่านแยกกันได้ค่ะ