ทุเรียน ผลไม้ไทยรสเลิศ ประโยชน์และโทษที่ต้องรู้
ทุเรียน ผลไม้ไทยรสเลิศที่มีทั้งประโยชน์และโทษ บทความนี้จะอธิบายถึงประโยชน์ โทษ สรรพคุณ วิธีกิน ปริมาณการกิน ช่วงเวลาในการกิน และคู่กับอะไรกินทุเรียนให้อร่อยและปลอดภัย
ประโยชน์ของทุเรียน
ทุเรียนเป็นผลไม้ที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง มีสารอาหารและสารต้านอนุมูลอิสระมากมาย เช่น วิตามินซี วิตามินอี โพแทสเซียม แมกนีเซียม แคลเซียม ธาตุเหล็ก และเบต้าแคโรทีน สารอาหารเหล่านี้มีประโยชน์ต่อร่างกายดังนี้
- บำรุงผิวพรรณ ทุเรียนมีวิตามินซีสูง ซึ่งช่วยในการต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดริ้วรอยแห่งวัย ช่วยให้ผิวพรรณสดใสเปล่งปลั่ง
- เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ทุเรียนมีวิตามินซี วิตามินอี และสารต้านอนุมูลอิสระอื่นๆ ที่ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ช่วยให้ร่างกายต่อสู้กับเชื้อโรคต่างๆ
- ป้องกันโรคหัวใจ ทุเรียนมีโพแทสเซียมสูง ซึ่งช่วยควบคุมความดันโลหิตและระดับคอเลสเตอรอลในเลือด ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจ
- ป้องกันโรคมะเร็ง ทุเรียนมีสารต้านอนุมูลอิสระจำนวนมาก ซึ่งช่วยป้องกันเซลล์จากการถูกทำลายจากอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคมะเร็ง
- บำรุงสมอง ทุเรียนมีธาตุเหล็กสูง ซึ่งช่วยบำรุงสมองและระบบประสาท
- บำรุงกระดูกและฟัน ทุเรียนมีแคลเซียมและฟอสฟอรัสสูง ซึ่งช่วยบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง
นอกจากประโยชน์ข้างต้นแล้ว ทุเรียนยังมีสรรพคุณอื่นๆ อีกมากมาย เช่น ช่วยบำรุงกำลัง ช่วยให้นอนหลับสบาย ช่วยบรรเทาอาการปวดประจำเดือน ช่วยขับลม เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ทุเรียนเป็นผลไม้ที่มีพลังงานสูง มีคาร์โบไฮเดรตและน้ำตาลสูง เมื่อกินมากเกินไปอาจทำให้น้ำหนักขึ้นได้ นอกจากนี้ ทุเรียนยังมีสารแทนนิน ซึ่งเป็นสารที่อาจทำให้เกิดอาการท้องผูกได้
โทษของทุเรียน
ทุเรียนเป็นผลไม้ที่มีพลังงานสูง มีคาร์โบไฮเดรตและน้ำตาลสูง เมื่อกินมากเกินไปอาจทำให้น้ำหนักขึ้นได้ นอกจากนี้ ทุเรียนยังมีสารแทนนิน ซึ่งเป็นสารที่อาจทำให้เกิดอาการท้องผูกได้
โทษของทุเรียน
-
ทำให้น้ำหนักขึ้น ทุเรียนเป็นผลไม้ที่มีพลังงานสูง มีคาร์โบไฮเดรตและน้ำตาลสูง เมื่อกินมากเกินไปอาจทำให้น้ำหนักขึ้นได้ โดยเฉพาะผู้ที่มีปัญหาน้ำหนักเกินหรือโรคอ้วน ควรหลีกเลี่ยงการกินทุเรียนมากเกินไป
-
ทำให้ท้องผูก ทุเรียนมีสารแทนนิน ซึ่งเป็นสารที่อาจทำให้เกิดอาการท้องผูกได้ แต่หากกินทุเรียนมากเกินไป อาจทำให้มีอาการท้องเสียได้เช่นกัน
-
อาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพอื่นๆ ทุเรียนมีฤทธิ์ร้อน ผู้ที่มีปัญหาโรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง โรคไต โรคตับ และโรคเกาต์ ควรหลีกเลี่ยงการกินทุเรียนมากเกินไป
ข้อควรระวังในการกินทุเรียน
- ผู้ที่มีปัญหาน้ำหนักเกินหรือโรคอ้วน ควรหลีกเลี่ยงการกินทุเรียนมากเกินไป
- ผู้ที่มีปัญหาท้องผูก ควรกินทุเรียนคู่กับผลไม้ที่มีกากใยสูง เช่น แก้วมังกร มะละกอ ฝรั่ง เป็นต้น
- ผู้ที่แพ้ทุเรียน ควรหลีกเลี่ยงการกินทุเรียน
- ผู้ที่มีปัญหาโรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง โรคไต โรคตับ และโรคเกาต์ ควรหลีกเลี่ยงการกินทุเรียนมากเกินไป
สรรพคุณของทุเรียน
ทุเรียนเป็นผลไม้ที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง มีสารอาหารและสารต้านอนุมูลอิสระมากมาย เช่น วิตามินซี วิตามินอี โพแทสเซียม แมกนีเซียม แคลเซียม ธาตุเหล็ก และเบต้าแคโรทีน สารอาหารเหล่านี้มีประโยชน์ต่อร่างกายดังนี้
- บำรุงผิวพรรณ ทุเรียนมีวิตามินซีสูง ซึ่งช่วยในการต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดริ้วรอยแห่งวัย ช่วยให้ผิวพรรณสดใสเปล่งปลั่ง
- เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ทุเรียนมีวิตามินซี วิตามินอี และสารต้านอนุมูลอิสระอื่นๆ ที่ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ช่วยให้ร่างกายต่อสู้กับเชื้อโรคต่างๆ
- ป้องกันโรคหัวใจ ทุเรียนมีโพแทสเซียมสูง ซึ่งช่วยควบคุมความดันโลหิตและระดับคอเลสเตอรอลในเลือด ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจ
- ป้องกันโรคมะเร็ง ทุเรียนมีสารต้านอนุมูลอิสระจำนวนมาก ซึ่งช่วยป้องกันเซลล์จากการถูกทำลายจากอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคมะเร็ง
- บำรุงสมอง ทุเรียนมีธาตุเหล็กสูง ซึ่งช่วยบำรุงสมองและระบบประสาท
- บำรุงกระดูกและฟัน ทุเรียนมีแคลเซียมและฟอสฟอรัสสูง ซึ่งช่วยบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง
นอกจากประโยชน์ข้างต้นแล้ว ทุเรียนยังมีสรรพคุณอื่นๆ อีกมากมาย เช่น ช่วยบำรุงกำลัง ช่วยให้นอนหลับสบาย ช่วยบรรเทาอาการปวดประจำเดือน ช่วยขับลม เป็นต้น
สรรพคุณของทุเรียนอื่นๆ ที่น่าสนใจ ได้แก่
- ช่วยบำรุงกำลัง ทุเรียนมีคาร์โบไฮเดรตและน้ำตาลสูง ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญของร่างกาย ช่วยให้ร่างกายมีกำลังวังชา
- ช่วยให้นอนหลับสบาย ทุเรียนมีวิตามินบี6 ซึ่งช่วยในการนอนหลับ ทำให้นอนหลับสบายขึ้น
- ช่วยบรรเทาอาการปวดประจำเดือน ทุเรียนมีวิตามินอีและธาตุเหล็กสูง ซึ่งช่วยบรรเทาอาการปวดประจำเดือนได้
- ช่วยขับลม ทุเรียนมีเส้นใยอาหารสูง ซึ่งช่วยในการขับลม
อย่างไรก็ตาม ทุเรียนเป็นผลไม้ที่มีพลังงานสูง มีคาร์โบไฮเดรตและน้ำตาลสูง เมื่อกินมากเกินไปอาจทำให้น้ำหนักขึ้นได้ นอกจากนี้ ทุเรียนยังมีสารแทนนิน ซึ่งเป็นสารที่อาจทำให้เกิดอาการท้องผูกได้
วิธีกินทุเรียน
ทุเรียนสามารถกินได้หลายวิธี เช่น กินสด กินสุก กินกวน กินเชื่อม กินทอด กินแปรรูปเป็นขนมต่างๆ เป็นต้น
วิธีกินทุเรียนสด
- เลือกทุเรียนที่สุกได้ที่ เปลือกนอกเป็นสีเหลืองอมน้ำตาล ทุเรียนกลิ่นหอมแรง
- แกะเปลือกทุเรียนออก
- ใช้ช้อนตักเนื้อทุเรียนออกมากิน
วิธีกินทุเรียนกวน
- หาซื้อทุเรียนกวนสำเร็จรูปตามท้องตลาด
- รับประทานโดยตรง หรือนำไปใส่ในขนมหรืออาหารอื่นๆ
วิธีกินทุเรียนเชื่อม
- หาซื้อทุเรียนเชื่อมสำเร็จรูปตามท้องตลาด
- รับประทานโดยตรง หรือนำไปใส่ในขนมหรืออาหารอื่นๆ
วิธีกินทุเรียนทอด
- หาซื้อทุเรียนทอดสำเร็จรูปตามท้องตลาด
- รับประทานโดยตรง หรือนำไปใส่ในขนมหรืออาหารอื่นๆ
วิธีกินทุเรียนแปรรูป
- หาซื้อทุเรียนแปรรูปตามท้องตลาด เช่น ทุเรียนกวน ทุเรียนทอด ทุเรียนอบแห้ง เป็นต้น
- รับประทานโดยตรง หรือนำไปใส่ในขนมหรืออาหารอื่นๆ
ปริมาณการกินทุเรียน
ปริมาณการกินทุเรียนที่เหมาะสมสำหรับผู้ใหญ่คือ 1-2 เม็ดต่อวัน หรือประมาณ 300-600 กรัมต่อวัน ไม่ควรกินมากเกินไปเพราะอาจทำให้น้ำหนักขึ้นและเกิดอาการต่างๆ เช่น ท้องผูก ร้อนใน นอนไม่หลับ เป็นต้น
ช่วงเวลาในการกินทุเรียน
ทุเรียนสามารถกินได้ในทุกช่วงเวลา แต่ไม่ควรกินทุเรียนตอนท้องว่าง เพราะอาจทำให้รู้สึกไม่สบายท้องได้
คู่กับอะไรกินทุเรียน
ทุเรียนสามารถกินคู่กับอะไรก็ได้ แต่ควรหลีกเลี่ยงการกินทุเรียนคู่กับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะอาจทำให้เกิดอาการต่างๆ เช่น หน้ามืด คลื่นไส้ อาเจียน เวียนศีรษะ เป็นต้น
ข้อควรระวังในการกินทุเรียน
- ผู้ที่มีปัญหาน้ำหนักเกินหรือโรคอ้วน ควรหลีกเลี่ยงการกินทุเรียนมากเกินไป
- ผู้ที่มีปัญหาท้องผูก ควรกินทุเรียนคู่กับผลไม้ที่มีกากใยสูง เช่น แก้วมังกร มะละกอ ฝรั่ง เป็นต้น
- ผู้ที่แพ้ทุเรียน ควรหลีกเลี่ยงการกินทุเรียน
- ผู้ที่มีปัญหาโรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง โรคไต โรคตับ และโรคเกาต์ ควรหลีกเลี่ยงการกินทุเรียนมากเกินไป