กรดไหลย้อน...ภัยร้ายที่ไม่ควรมองข้าม
กรดไหลย้อนเป็นโรคที่ฮิตโรคหนึ่งในปัจจุบัน ที่มีคนเป็นกันมากจากภาวะที่น้ำย่อยที่เกิดจากกรดในกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นไปยังหลอดอาหาร จนทำให้เกิดอาการที่รบกวนต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน และเกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆ เช่น การอักเสบของหลอดอาหาร โรคกรดไหลย้อนเป็นภัยเงียบที่ส่งผลเสียต่อร่างกาย ซึ่งเกิดจากพฤติกรรมการดำเนินชีวิตของเราเอง โดยจะทำให้มีอาการแสบร้อนบริเวณลิ้นปี่ ลามขึ้นมาบริเวณหน้าอกหรือลำคอ หลังจากทานอาหารมื้อหนัก และมีอาการเรอมีกลิ่นเปรี้ยว
สาเหตุของโรคกรดไหลย้อน
เกิดจากหลายสาเหตุเช่น การทำงานที่ผิดปกติชองระบบหลอดอาหาร เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย พันธุกรรม ภาวะความเครียดหรือปัจจัยอื่น (โรคอ้วน การตั้งครรภ์ สูบบุหรี่ บุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ น้ำอัดลม การรับประทานยาบางชนิด) แต่ที่เป็นปัญหามากและพบได้ในทุกกลุ่มวัยคือพฤติกรรมในการดำเนินชีวิต เช่น การรับประทานเสร็จแล้วนอนทันที การรับประทานของมันๆ มากเกินไป
“รับประทานแล้วนอน” ระวังกรดไหลย้อนมาเยือน
สาเหตุใหญ่ของการเกิดโรคกรดไหลย้อน ก็คือ พฤติกรรม “กินแล้วนอน” ซึ่งการนอนจะทำให้หูรูดมีการทำงานที่ไม่ดี เกิดอาการกรดไหลย้อนขึ้นไปได้ รวมไปถึงท่านอนราบยังทำให้กรดไหลย้อนขึ้นไปได้ง่ายกว่าปกติ นอกจากนี้แล้ว การรับประทานอาหารและนอนทันที ยังเป็นการเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคกรดไหลย้อนถึง 2 เท่าอีกด้วย
ใครบ้างที่มีความเสี่ยงเป็นกรดไหลย้อน
- รับประทานอาหารไม่เป็นเวลา รับประทานแล้วนอนทันที
- ชอบรับประทานผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวเป็นประจำ
- ดื่มสุรา น้ำอัดลม
- สูบบุหรี่
- ผู้หญิงตั้งครรภ์
- มีน้ำหนักเกินมาตรฐาน หรือโรคอ้วน
- ผู้ป่วยโรคเบาหวาน
- ผู้ป่วยโรคผิวหนังแข็ง
- รับประทานยาบางชนิด เช่น ยาลดความดันโลหิตสูงบางชนิด ยาแก้โรคซึมเศร้า เป็นต้น
การตรวจสอบว่าตัวเราเป็น “โรคกรดไหลย้อน”หรือไม่
- แสบร้อนบริเวณหน้าอก ซึ่งจะเป็นมากหลังรับประทานอาหารมื้อหนัก
- มีอาการเรอเปรี้ยว มีน้ำรสเปรี้ยวหรือรสขมไหลย้อนขึ้นมาในปาก
- ท้องอืด แน่นท้อง คล้ายอาหารไม่ย่อย
- คลื่นไส้ อาเจียน หลังรับประทานอาหาร
- เจ็บหน้าอก จุก คล้ายเหมือนมีก้อนติดอยู่ในลำคอ
- หืดหอบ ไอแห้งๆ เสียงแหบ
- เจ็บคอเรื้อรัง
การป้องกันที่ถูกต้องเพื่อห่างไกล “โรคกรดไหลย้อน”
- รับประทานอาหารปริมาณน้อยๆ แต่บ่อยครั้ง
- ไม่ควรนอนทันทีหลังรับประทานอาหาร
- หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ ดื่มสุรา
- หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด อาหารที่มีไขมันสูง
- หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มชา กาแฟ น้ำอัดลม น้ำผลไม้
- รับประทานอาหารมื้อเย็น ก่อนเข้านอนอย่างน้อย 3 ชั่วโมง
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
- ไม่สวมใส่เสื้อผ้าที่รัดรูปมากเกินไป
หากปล่อยไว้ไม่ทำการรักษา เป็นจนเรื้อรัง จะส่งผลให้เกิดแผลและรุนแรงจนหลอดอาหารตีบ และอาจทำให้เกิดความเสี่ยงเป็นมะเร็งหลอดอาหารได้ ดังนั้นควรรีบไปรับการตรวจวินิจฉัยและจากแพทย์ เพื่อรับการรักษาอย่างถูกต้อง