บางเรื่องราวที่อยากเล่าเป็นเรื่องราวแต่ไม่ได้เล่า
รถทัวร์ปรับอากาศVIP วิ่งฝ่าความมืด ผ่านโค้งบ้านหัวดอน ปลายทางอำเภอค้อวัง ผมสะพายกระเป๋าเสื้อผ้า ลุกจากเบาะนั่งท้ายรถ ผู้โดยสารเหลือสี่ที่นั่ง ยังคงหลับใหล สองข้างทางยังมืดมิด นาฬิกาจากโทรศัพท์ ตีสี่สี่สิบห้านาที
“จอดบ้านตากแดดแนเด้อครับ” ผมร้องบอกเด็กรถ
“ลงแยกใดครับ”
“แยกอบต.ครับ”
รถชะลอความเร็วก่อนหยุดนิ่ง ผมก้าวเท้าลงจากรถ สัมผัสลมหนาวยามเช้ามืด แสงไฟสลัวจากอบต. ส่องนำทางในระยะใกล้ รถทัวร์พุ่งทะยานหายไปในความมืด ถนนท้ายหมู่บ้าน ผมใช้สัญจรทุกครั้งเวลากลับมาเยี่ยมบ้าน
กระชับกระเป๋า สืบเท้าฝ่าความมืด ไม่ได้โทรบอกให้น้องชายออกมารับ จากที่ลงรถเดินไปถึงบ้านหนึ่งกิโลเมตรโดยประมาณ เริ่มมองเห็นเงาสลัวสองข้างทาง คิดอะไรในใจเงียบๆ เข้าสู่เขตโรงเรียนประถม ผมจากการศึกษาระดับประถมจากโรงเรียนแห่งนี้ มองเห็นแสงไฟนีออนวับแวม ใกล้สว่าง
“มึงแต่แต่ไส” ผมสะดุ้งระคนตกใจ หันหลังไปมองต้นเสียง ชะลอฝีเท้า
“น้าบ่าวสำราญ” ผมพึมพำ
“มาแต่กรุงเทพตั้ว บ่คิดว่าสิฮอดบ้านไวปานนี้” ผมตอบ พลันรู้สึกขนลุกซู่อย่างแปลกประหลาด
“เจ้ามาแต่ไสน้าบ่าว แต่เช้าแท้” ผมถามกลับ พยายามมองหน้าในมืดสลัว
“เอางัวไปล่าม สิไปส่อยงานขะเจ้าในอำเภอ เลยเอาออกแต่เช้า” แกตอบเสียงเรียบ
“เป็นใดการงาน” แกชวนสนทนา
“พอได้ใช้เป็นเดือนๆไปนี้หละน้าบ่าว บ่คืออยู่บ้านเฮาดอก”
ถึงทางเลี้ยวข้างโรงเรียน เข้าบ้านผม ผมหยุดเดิน แต่แกเดินตรงไปทางท้ายบ้าน ไม่เลี้ยวเข้าแยก ทั้งที่บ้านแกอยู่ข้างๆบ้านผม
“เอ้า บ่เข้าบ้านบ้อน้าบ่าว” ผมถาม
“กูสิไปเอาเฟียงมาไว้ก่อน” แกตอบ แล้วเดินจากไปอย่างเงียบๆ ผมหันมามองทางเข้าบ้าน แสงไฟสว่าง หันกลับมามองที่แกอีกที
“ไปไสหละ คือไวแท้วะ”
น้าบ่าวสำราญ ญาตินับถือห่างๆ ผมสนิทแกมาตั้งแต่สมัยเด็กๆ หลายขวบปีผ่าน แกชอบชวนผมไปปักเบ็ดในคืนค่ำฤดูฝน หลายต่อหลายครั้งที่พักค้างคืน รุ่งเช้าค่อยเก็บกู้เบ็ดกลับบ้าน บางเช้าได้ปลาเยอะ บางเช้าไม่ได้แม้แต่ปลาตัวเดียว
คืนฝนพรำ ปลายเดือนกรกฎาคม หลังเข้าพรรษาไม่กี่วัน แกชวนผมไปปักเบ็ดค้างคืน ที่ทุ่งนาของอีกหมู่บ้าน ผมได้เก็บกู้คันเบ็ดเพื่อย้ายสถานที่ในตอนกลางคืน เพราะนาที่ปักเบ็ดไว้ตอนหัวค่ำ ผมไม่ได้ปลาแม้แต่ตัวเดียว
ผมปักเบ็ดไปตามคันนา อาศัยความสว่างจากแบตเตอรี่ ที่ประจุไฟมาเต็มพิกัด เสียงปลาดีดน้ำกลางนา ผมนึกกระหยิ่มในใจ ปักเบ็ดคันสุดท้าย มาถึงสระน้ำกลางนา หันมองแสงไฟจากแบตเตอรี่ของน้าบ่าวสำราญ ไกลออกไปเกือบร้อยเมตร ปักเบ็ดเสร็จ ผมเลยทรุดนั่งลงริมสระน้ำ ฉายไฟไปรอบๆ คันสระ สายตาไปสะดุดกองไฟ ที่ยังมีไฟลุกอยู่
“ไผมาดังไฟไว้หละบ่ดับวะ” ผมครุ่นคิด
หันไฟไปมองทางน้าบ่าวสำราญ เหมือนแกกำลังเดินกลับไปที่เถียงนา ซึ่งเราใช้เป็นที่พักค้างแรม ห่างจากสระน้ำที่ผมอยู่ราวๆ สองร้อยเมตร ผมดีดตัวลุกขึ้น บิดขี้เกียจสองสามครั้ง พลันสายตาไปจับจ้องที่ถาดข้าว ที่วางอยู่ใต้โคนต้นมะม่วง และหม้อที่ห้อยอยู่ ผมจึงไม่รีรอที่จะรีบเดินออกมาจากที่นั่น
“น้าบ่าว เจ้าเห็นกองไฟอยู่สระหม่องนั่นบ่” มาถึงที่พัก ผมก็รับถามน้าบ่าวสำราญทันที
“กูไปพ้อก่อนมึง” แกตอบ
“แม่นบ่เจ้าว่า”
“ร้อยเปอร์เซ็นต์” แกตอบ พร้อมกับทิ้งตัวลงนอน
“อีกชั่วโมงหนึ่ง จังลงไปเบิ่งเบ็ด”
“เจ้าไปผู้เดียวโลด ข้อยบ่ไปดอก” คิดในใจ
เดินคิดถึงอดีตมาเพลินๆ จนถึงบ้านแบบไม่รู้ตัว แม่นึ่งข้าวอยู่หลังบ้าน พ่อนั่งบนแคร่หน้าบ้าน ฟ้าสาง น้องชายพึ่งตื่น
“ถอนบ่” ผมถาม
“กองทุนทันได้เปิด”น้องชายตอบ อ้าปากหาว
“กูซื้อรีเจนซี่มากลมหนึ่ง” ผมเปิดกระเป๋า หยิบเหล้ารีเจนซี่ส่งยื่นให้ น้องชายรีบจัดการรินใส่แก้ว ส่งยื่นมาให้ผม
“ยโสธรน้ำบ่ต้อง” น้องชายบอก ผมยกดื่มพรวดเดียว
“คือบ่โทรให้น้องออกไปฮับ” พ่อถาม
“มันกะบ่ได้ไกลหยัง ย่างเข้ามาแป๊บเดียว วังหั่นน้าบ่าวสำราญลาวมาแต่ล่ามงัว กะย่างมานำกัน”
น้องชายสะดุ้งยกแก้วเหล้าค้างไว้ มองหน้าพ่อ พ่อนิ่งเงียบไปชั่วขณะ จ้องมองหน้าผมคล้ายสงสัย
“เป็นหยังพ่อ” ผมถาม
“น้าบ่าวสำราญ ลาวตายเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว” แม่พูดขึ้น ขณะเดินออกมาจากหลังบ้าน