วิญญาณนักเดินทาง !
วิญญาณนักเดินทาง
'กรกฎ' เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากสถานีขนส่งหมอชิต
เมื่อกลางเดือนพฤษภาคมนี้เอง ผมและเพื่อนชื่อพนมได้ออกจากบ้านไปสถานีขนส่งหมอชิต โดยมีหล่มสักเป็นจุดหมายเพื่อพบปะกับสมัครพรรคพวกที่นั่น แล้วพากันไปเที่ยวเชียงคานและบึงกาฬ เลาะเลียบแม่น้ำโขงไปถึงหนองคาย ก่อนจะเข้านครพนม อุบลฯ ผ่านโคราชกลับกรุงเทพฯ
ส่วนเพื่อนๆ ที่หล่มสักก็ว่าจะแวะเที่ยวเมืองกรุงสักคืนสองคืนก่อนจะขับรถกลับบ้าน
แต่ยังไม่ทันที่เราจะขึ้นรถโดยสารจากขนส่งหมอชิตเลยครับ ผมก็ได้ประสบกับเรื่องแปลกประหลาด น่าขนหัวลุกเข้าอย่างเต็มเปา!
ก่อนอื่นขอเล่ารายละเอียดพอสมควร
ผมกับพนมไม่ชอบขับรถไกลๆ โดยเฉพาะในยามค่ำคืน เมื่อติดใจว่าจะไปรถโดยสารก็เปิดเน็ตดูรายละเอียด แล้วเกิดสนใจโฆษณาของบริษัทเพชรประเสริฐ ที่มีรถจากกรุงเทพฯ-หล่มสัก ออกเกือบทั้งวัน โดยเฉพาะตอนค่ำๆ ก็มีสามทุ่ม, สี่ทุ่ม กับสายกรุงเทพฯ-หล่มสัก-ภูเรือ
น่าสนใจที่ระบุบอกไว้ชัดแจ้งว่าเป็นรถ ม.4 ข.พิเศษ, (ม.มาตรฐาน) ม.4 ข., ม.3 ข. รถชนิดแรกปรับเอนได้ถึง 135 องศา ส่วนมากเป็นรถสองชั้นปรับอากาศ ค่าโดยสารแพงที่สุดคือ คนละ 344 บาท ผมตกลงเลือกรถ ม.4 ข.พิเศษผสม เวลาสี่ทุ่ม จะได้ไม่เร็วหรือช้าเกินไป ใช้เวลาเดินทาง 6 ชั่วโมง
เมื่อโทรศัพท์ไปจองตั๋วสองที่นั่งในเวลาห้าโมงเย็นกว่าๆ เขาก็บอกว่าต้องมารับตั๋วภายในเวลาสองทุ่มครึ่ง เพื่อตัดปัญหาเรื่องจองแล้วไม่มา เราก็นัดแนะพบกันที่นั่นก่อนสองทุ่มนิดหน่อย
ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ศุกร์เสาร์หรือวันหยุดราชการหลายวัน แต่รถราและผู้คนก็คลาคล่ำน่าดู...ค่าโดยสารกลับเหลือคนละ 322 บาท อาจจะเป็นเพราะราคาเดิมตั้งไว้ก่อนตอนน้ำมันแพงมากก็เป็นได้ พนมที่เดินทางบ่อยกว่าผม บอกว่าน่าเห็นใจคนที่ต้องนั่งรถ ปอ.1 ราคาราวๆ สองร้อยบาทไม่สุขสบายเหมือนนั่ง ม.4 ข.พิเศษผสม แน่ๆ
จากนั้นเราไปเดินเตร่ดูบรรยากาศในสถานีขนส่งซึ่งค่อนข้างแปลกหูแปลกตาสำหรับผม เข้าร้านสะดวกซื้อเพื่อตระเตรียมของขบเคี้ยว กับแวะร้านหนังสือพิมพ์เพื่อซื้ออ่านแก้เหงาตามแบบของนักเดินทางทั่วๆ ไป
หาข้าวหมูแดงกินคนละจาน น้ำคนละขวด ก็เห็นว่าเลยสามทุ่มไปแล้ว หยิบตั๋วมาดูก็เห็นบอกว่าชานชาลาที่ 30 เราก็หิ้วกระเป๋าเดินทางเดินดุ่มๆ ออกไปไกลลิบจนถึงประตูออก...แต่ที่นั่นเพิ่งจะเป็นชานชาลาที่ 9 ที่ 10 เท่านั้นเอง
ลัดเลาะไปตามทางเท้าผ่านผู้คนที่นั่งพักก่อนเรา ท่าม กลางรถที่เพิ่งออกบ้าง กำลังจะเข้ามาเทียบบ้าง...อีกไกลโขกว่าจะถึงจุดหมายที่เป็นชานชาลาสุดท้าย
ด้านในมีชายวัยกลางคนรูปร่างผอมซูบ ดูทรุดโทรมทั้งหน้าตาและเสื้อผ้าเก่าคร่ำ แสงไฟเหลืองรัวส่องให้เห็นแก้มตอบลึก กำลังนั่งอัดควันบุหรี่จนปลายแดงวาบ...นี่แหละพิษสงของควันบุหรี่ เปรียบไปก็คือควันนรกไม่มีผิด!
ผมกับพนมเข้าไปนั่งเก้าอี้ยาวตัวเดียวกัน แต่ค่อนข้างห่างออกมา ถัดเข้าไปมีถังขยะที่เต็มจนล้นลงมาเกลื่อนฟุตปาธ ถ้าคนดูแลจะเอาใจใส่ หรือมีความรับผิดชอบมากกว่านี้ก็ดีหรอกครับ
เราควักบุหรี่ออกมาจุดสูบคนละมวน แฮ่ะ! เข้าตำรา 'ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง' แต่เราก็อยากจะเลิกมันให้ได้ โดยใช้วิธีสูบน้อยลงเรื่อยๆ จากวันละซองจนเหลือแค่วันละ 4-5 มวนเท่านั้น...ว่าจะหักดิบหลายครั้งก็ทรมานน่าดู ร่างกายไม่เท่าไหร่ แต่มันเป็นเรื่องของจิตใจมากกว่า
เถอะน่า...เดี๋ยวขึ้นรถแล้วเราก็คงหลับสบายไปตลอดหกชั่วโมง ยกเว้นแต่จะตื่นขึ้นตอนรถจอดให้ผู้โดยสารเข้าห้องน้ำกับยืดแข้งยืดขาตามสมควร
แหม! พอพูดถึงรถสองชั้นสีสวยก็เข้ามาจอดทันที แต่ยังเหลือเวลาอีกครู่ใหญ่ๆ จึงไม่มีใครรีบร้อนขึ้นรถ...เราสูบบุหรี่กันจนเกือบหมดมวน ใช้ส้นรองเท้าดับมันที่พื้นนั่นแหละ ไม่รู้จะไปทิ้งที่ไหนนี่นา...
หันไปมองชายมอซอน่าสังเวชคนนั้น พลางนึกว่าเขาอาจจะเป็นพวกผ้าขี้ริ้วห่อทองก็ได้ เพราะถ้าเงินทองขัดสนคงจะไม่มารอขึ้นรถชั้นหนึ่งแน่ๆ
คุณพระคุณเจ้า! ที่นั่นว่างเปล่า ไม่มีร่องรอยของชายผู้นั้นแม้แต่เงา!
ผมขนลุกซ่าไปทั้งตัว เสียงพนมดังแว่วๆ เต็มที...เอ๊ะ! หมอนั่นหายไปไหนนะเร็วจริง ตรงนั้นก็ไม่มีทางออกนี่นา?
เย็นวาบไปทั้งไขสันหลัง กระเดือกน้ำลายลงคอยากเย็น อากาศหนาวยะเยือกทั้งที่เป็นฤดูร้อนแท้ๆ ผมคว้ากระเป๋าเดินลิ่วไปที่บันไดรถ พนมตามติด พนักงานดูตั๋วแล้วบอกหมายเลขที่นั่งชั้นบน...ผมก้าวขึ้นบันไดขาสั่น...อยู่ๆ ก็โดนผีหลอกในสถานีขนส่งเฉยเลยครับ! บรื๋อออ...