ชมพู่น้ำดอกไม้ ผลไม้ที่ถูกลืม
ชมพู่น้ำดอกไม้ ผลไม้ที่ถูกลืม
ชมพู่น้ำดอกไม้เป็นผลไม้ที่พบมากในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีลักษณะเป็นทรงกลม ผิวบาง และเนื้อสีขาว ชมพู่น้ำดอกไม้มีรสชาติหวานอมเปรี้ยว นิยมรับประทานสดหรือนำไปทำเป็นน้ำผลไม้ ชมพู่น้ำดอกไม้มีสรรพคุณทางยาหลายประการ เช่น แก้ท้องเสีย แก้ท้องผูก แก้ไอ ขับเสมหะ บำรุงผิวพรรณ และช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานดีขึ้น
ข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับชมพู่น้ำดอกไม้
- ชื่อวิทยาศาสตร์: Syzygium jambos
- ชื่อสามัญ: Rose apple
- วงศ์: Myrtaceae
- ถิ่นกำเนิด: เอเชียตะวันออกเฉียงใต้
- ลักษณะทางพฤกษศาสตร์: ไม้ยืนต้นขนาดเล็ก สูงประมาณ 5-10 เมตร ใบเป็นใบเดี่ยว เรียงตรงข้าม ใบรูปใบหอก กว้าง 3-5 เซนติเมตร ยาว 7-10 เซนติเมตร ดอกเป็นดอกเดี่ยว ออกดอกตามซอกใบ ดอกสีขาว กลีบดอกมี 5 กลีบ ผลเป็นรูปทรงกลม ผิวบาง ผลอ่อนมีสีเขียว เมื่อสุกมีสีขาวหรือสีเหลือง เนื้อผลมีสีขาว รสชาติหวานอมเปรี้ยว
- การปลูกและดูแล: ชมพู่น้ำดอกไม้เป็นผลไม้ที่ปลูกง่าย โตเร็ว ทนแล้ง ชอบดินร่วนปนทราย ชอบแสงแดดจัด การปลูกชมพู่น้ำดอกไม้สามารถทำได้หลายวิธี ดังนี้
- การเพาะเมล็ด
- การตอนกิ่ง
- การทาบกิ่ง
- การเสียบกิ่ง
- ประโยชน์ของชมพู่น้ำดอกไม้ต่อสุขภาพ
ชมพู่น้ำดอกไม้เป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามินซี แคลเซียม และฟอสฟอรัส วิตามินซีในชมพู่น้ำดอกไม้ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน แคลเซียมช่วยบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง และฟอสฟอรัสช่วยในการทำงานของระบบประสาทและสมอง
ชมพู่น้ำดอกไม้เป็นผลไม้ที่หาได้ง่ายและราคาไม่แพงในอดีต จึงเป็นที่นิยมรับประทานของคนทุกเพศทุกวัย
อย่างไรก็ตาม ชมพู่น้ำดอกไม้เป็นผลไม้ที่ถูกลืมในปัจจุบัน สาเหตุหลักมาจากมีผลไม้ชนิดอื่น ๆ ที่ได้รับความนิยมมากกว่า เช่น ชมพู่ทับทิมกรอบ ชมพู่แก้ว ชมพู่มะเหมี่ยว เป็นต้น ชมพู่น้ำดอกไม้มีรสชาติหวานอมเปรี้ยว ไม่ค่อยมีกลิ่นหอม และไม่ฉ่ำมากนัก ทำให้คนบางกลุ่มไม่ชอบรับประทาน ประกอบกับชมพู่น้ำดอกไม้มีเนื้อที่ค่อนข้างแข็ง ทำให้ไม่สะดวกในการรับประทาน จึงทำให้ชมพู่น้ำดอกไม้เป็นผลไม้ที่ถูกลืมในปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม ชมพู่น้ำดอกไม้เป็นผลไม้ที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง อุดมไปด้วยวิตามินซี แคลเซียม และฟอสฟอรัส มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย เช่น เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน บำรุงผิวพรรณ ช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานดีขึ้น แก้ท้องเสีย แก้ท้องผูก แก้ไอ ขับเสมหะ บำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง ช่วยให้ระบบประสาทและสมองทำงานดีขึ้น
จึงอยากให้คนรุ่นใหม่หันมารับประทานชมพู่น้ำดอกไม้กันมากขึ้น เพราะเป็นผลไม้ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย
วิธีการเพาะปลูกชมพู่น้ำดอกไม้
ชมพู่น้ำดอกไม้เป็นผลไม้ที่ปลูกง่าย โตเร็ว ทนแล้ง ชอบดินร่วนปนทราย ชอบแสงแดดจัด การปลูกชมพู่น้ำดอกไม้สามารถทำได้หลายวิธี ดังนี้
- การเพาะเมล็ด
- การตอนกิ่ง
- การทาบกิ่ง
- การเสียบกิ่ง
การเพาะเมล็ดเป็นวิธีที่นิยมมากที่สุด สามารถทำได้ดังนี้
- เลือกเมล็ดที่แก่และสมบูรณ์
- ล้างเมล็ดให้สะอาด
- แช่เมล็ดในน้ำสะอาดนาน 24 ชั่วโมง
- นำเมล็ดไปเพาะในถุงเพาะชำที่มีดินร่วนปนทราย
- รดน้ำให้ชุ่มชื้นสม่ำเสมอ
- เมื่อต้นกล้าโตได้ประมาณ 30-40 เซนติเมตร ก็สามารถย้ายปลูกลงแปลงได้
การตอนกิ่งเป็นวิธีที่นิยมใช้สำหรับต้นชมพู่น้ำดอกไม้ที่มีอายุน้อย สามารถทำได้ดังนี้
- เลือกกิ่งที่แข็งแรงและสมบูรณ์
- ตัดกิ่งยาวประมาณ 15-20 เซนติเมตร
- ปอกเปลือกบริเวณโคนกิ่งประมาณ 1 นิ้ว
- ทาฮอร์โมนเร่งรากที่บริเวณโคนกิ่ง
- เสียบกิ่งลงในถุงเพาะชำที่มีดินร่วนปนทราย
- รดน้ำให้ชุ่มชื้นสม่ำเสมอ
- เมื่อกิ่งตอนมีรากงอกออกมา ก็สามารถย้ายปลูกลงแปลงได้
การทาบกิ่งเป็นวิธีที่นิยมใช้สำหรับต้นชมพู่น้ำดอกไม้ที่มีอายุมาก สามารถทำได้ดังนี้
- เลือกต้นตอและกิ่งพันธุ์ที่แข็งแรงและสมบูรณ์
- ตัดต้นตอเป็นรูปตัว T
- ลอกเปลือกต้นตอออก
- นำกิ่งพันธุ์มาทาบกับต้นตอ
- ใช้เชือกพันกิ่งพันธุ์และต้นตอให้แน่น
- รดน้ำให้ชุ่มชื้นสม่ำเสมอ
- เมื่อกิ่งพันธุ์ติดกับต้นตอ ก็สามารถตัดเชือกออกได้
การเสียบกิ่งเป็นวิธีที่นิยมใช้สำหรับต้นชมพู่น้ำดอกไม้ที่มีอายุมาก สามารถทำได้ดังนี้
- เลือกต้นตอและกิ่งพันธุ์ที่แข็งแรงและสมบูรณ์
- ตัดต้นตอเป็นรูปตัว T
- ลอกเปลือกต้นตอออก
- นำกิ่งพันธุ์มาเสียบลงในต้นตอ
- ใช้เชือกพันกิ่งพันธุ์และต้นตอให้แน่น
- รดน้ำให้ชุ่มชื้นสม่ำเสมอ
- เมื่อกิ่งพันธุ์ติดกับต้นตอ ก็สามารถตัดเชือกออกได้
ชมพู่น้ำดอกไม้เป็นผลไม้ที่ดูแลง่าย โตเร็ว ให้ผลผลิตสูง นิยมรับประทานสดหรือนำไปทำเป็นน้ำผลไม้ การปลูกชมพู่น้ำดอกไม้สามารถทำได้หลายวิธี สามารถเลือกวิธีที่สะดวกและเหมาะสมกับตนเองได้
อ้างอิงจาก: เว็บไซต์กรมวิชาการเกษตร
เว็บไซต์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
เว็บไซต์วิกิพีเดีย
หนังสือพจนานุกรมพืช
หนังสือสมุนไพรไทย