ทำไมเราเห็น..กระต่ายบนดวงจันทร์
เคยสงสัยกันไหมว่า ? ทำไมคนส่วนใหญ่ถึงมองเห็นเงาบนพระจันทร์เป็นรูปร่างของกระต่าย ไม่ว่าค่ำคืนนั้นจะเป็นคืนข้างขึ้น หรือข้างแรม จะแปดค่ำหรือสิบห้าค่ำก็แล้วแต่ ทำไมจึงไม่มองเห็นเป็นรูปทรงอื่น ๆ กันบ้างน่ะ
ตำนานความเชื่อเกี่ยวกับกระต่ายบนดวงจันทร์ของชนชาติต่าง ๆ
ความเชื่อที่ว่าบนดวงจันทร์มีกระต่ายอาศัยอยู่นั้น เป็นความเชื่อของหลายชนชาติทั่วโลก เช่น แอฟริกา ,ทิเบต, จีน, ญี่ปุ่น รวมถึงอเมริกากลางและอเมริกาใต้
แนวคิดแรกที่เชื่อว่ามีกระต่ายอยู่บนดวงจันทร์ สันนิษฐานว่าอาจจะมีต้นกำเนิดมาจากประเทศอินเดีย โดยในตำนานอินเดียเชื่อกันว่าภาพที่เห็นบนพื้นผิวของดวงจันทร์ คือ "เทพแห่งดวงจันทร์" ชื่อ "จันทรา" ผู้ซึ่งถือกระต่ายไว้ในมือ คำว่ากระต่ายในภาษาสันสกฤต คือ "ศศะ" หรือ "ศศิน" แปลว่า ที่ซึ่งมีกระต่าย
ส่วนในประเทศจีนเชื่อว่า ภาพที่เห็นนั้นคือ กระต่ายขาวกำลังตำข้าวในครก และเป็นผู้รับใช้เซียนหรือผู้วิเศษ โดยมีหน้าที่ปรุงยาอายุวัฒนะ หรือเป็นสัตว์เลี้ยงของ "ฉางเอ๋อ" ซึ่งเป็นเทพธิดาแห่งดวงจันทร์ตามความเชื่อปรัมปราของจีน
ในตำนานญี่ปุ่นเชื่อว่า กระต่ายตัวนั้นกำลังช่วยสองตายายตำแป้งโมจิอยู่บนดวงจันทร์ ซึ่งความเชื่อนี้มีความใกล้เคียงกับตำนานเกาหลี โดยเชื่อว่ากระต่ายกำลังตำแป้ง "ต๊อก" หรือที่รู้จักกันว่าแป้งเค้กของเกาหลีนั่นเอง
ส่วนในประเทศไทย จะเป็นความเชื่อตามแนวคิดแบบพุทธศาสนา ซึ่งมีหลายความเชื่อด้วยกัน ยกตัวอย่างเช่น พระพุทธเจ้าในร่างของกระต่ายยินยอมพลีร่างเป็นอาหารแก่สัตว์ที่กำลังอดอยากหิวโหย
จากความเชื่อในตำนานของประเทศต่าง ๆ แล้วนั้น ล้วนเป็นปรากฏการณ์ "แพริโดเลีย (Pareidolia)" คือ เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจากจินตนาการ และการมองเห็นแบบเดาสุ่มของมนุษย์ เห็นได้ในวิธีคิดหรือจากสถานที่ต่าง ๆ เช่น การพยากรณ์ของชาวยุโรปโบราณที่อาศัยการตีความรูปร่างของเงา เห็นสิ่งที่มีอยู่ตามธรรมชาติเป็นรูปร่างของบุคคลสำคัญ
นักดาราศาสตร์ชาวอเมริกัน คาร์ล เซแกน (Carl Sagan ผู้ศึกษาเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตเกิดขึ้น และมีวิวัฒนาการบนโลก) ตั้งสมมติฐานว่า โดยกรรมพันธุ์ของมนุษย์นั้น มีความสามารถในการระบุใบหน้าบุคคลตั้งแต่กำเนิด เพราะเป็นทักษะที่ต้องมีเพื่อการรอดชีวิต ความสามารถนี้ทำให้มนุษย์สามารถระบุใบหน้า แม้จะมีรายละเอียดเพียงเล็กน้อยจากที่ไกล ๆ หรือที่เห็นได้ไม่ชัด ซึ่งทำให้เกิดการตีความหมายไปต่าง ๆ นานา เช่น รูปภาพที่จริง ๆ เหมือนไม่มีอะไร แสงและเงาที่ปรากฏในบางครั้งกลับเห็นเป็นรูปร่างใบหน้าต่าง ๆ ได้ ทำให้เป็นข้อได้เปรียบทางวิวัฒนาการในการแยกแยะใบหน้าของมิตร หรือศัตรูอย่างรวดเร็ว (ไม่ถึงวินาที) และแม่นยำ ยกตัวอย่างเช่น มนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์ (หรือแม้แต่มนุษย์ในปัจจุบัน) หากระบุสิ่งที่เห็นผิดพลาด อาจนำมาซึ่งอันตรายของตนเอง และเผ่าพันธุ์ของตนได้
สิ่งเหล่านี้เป็นแรงกดดันทางวิวัฒนาการเพียงหนึ่งประเด็นจากหลาย ๆ ประเด็น ซึ่งเป็นผลให้เกิดพัฒนาการในการจดจำ และมองเห็นของมนุษย์นั่นเอง