วิถีการทำนาแบบใหม่ ลดปริมาน้ำสร้างรายได้แก่ชาวนานำพาคนสุพรรณ พ้นวิกฤตภัยแล้งจากเอลนีโญ อย่างยั่งยืน
ภัยแล้งจัดเป็นภัยพิบัติประเภทหนึ่งที่ส่งผลกระทบอย่างมหาศาลต่อสังคมไทยมาเนิ่นนาน เห็นได้จากประวัติศาสตร์ต่างๆจากวิถีของคนไทยสมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน เห็นได้จากการตั้งถิ่นฐานและการย้ายภูมิลกเนาของทุกอารยธรรมบนโลกนี้ที่เกิดจากภัยแล้ง และการขาดแคลนซึ่งทรัพยากรน้ำที่ส่งผลกระทบต่อภาคเกษตรกรรมโดยเฉพาะ การทำนา
ปัญหาของชาวนาไทย ถ้าย้อนกลับไปก่อนระบบชลประทานไทยจะก่อกำเนิดขึ้น คือภัยแล้ง ภัยแล้ง (Droughts)
ภัยแล้งเป็นภัยธรรมชาติที่เกิดจากการขาดแคลนน้ำเป็นระยะเวลานานเป็นเดือนๆ หรือเป็นปี โดยทั่วไปเกิดขึ้นเมื่อพื้นที่ที่ได้รับน้ำอย่างสม่ำเสมอเกิดฝนตกต่ำกว่าค่าเฉลี่ย เกิดผลกระทบอย่างมากต่อการดำรงชีวิต การเกษตร และระบบนิเวศ และแน่นอนการทำนาที่ถือเป็นอาชีพหลักของเกษทั่วทั้งโลกจะประสบกับปัญหาภัยแล้งอย่างต่อเนื่องจากผลกระทบโลกร้อนที่ส่งผลในหลายทศวรรษที่ผ่านมาจากผลพวงของระบบอุตสาหกรรมในอดีตอย่างต่อเนื่อง
แม้ระบบการชลประทานจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น แต่ก็ไม่สามาถต้านทานภาวะอุทกภัย กับภภัยแล้งที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นในปัจจุบันอีกด้วย
ทางด้าน ส.ส. นพดล มาตรศรีส.ส.พรรคชาติไทยพัฒนาจังหวัดสุพรรณบุรี ที่ดูแลในเขตทั้งอำเภออู่ทอง และ อำเภอสองพี่น้องจังหวัดสุพรรณบุรี จึงห็นความสำคัญของปัญหาภัยแล้ง ได้โพสต์เฟสบุ๊คส่วนตัว นพดล มาตรศรี บอกวิธีการทำนาแบบเปียกสลับแห้งดังนี้
✅ วิธีทำนา เปียกสลับแห้ง ✅ สู้ภัยแล้ง เอลนีโญ ปี 66
การทำนาแบบเปียกสลับแห้ง คือการควบคุมระดับน้ำในแปลงนา ให้มีช่วงน้ำขัง สลับกับช่วงน้ำแห้ง สลับกันไป ในช่วงเวลาที่เหมาะสม โดยใช้ปริมาณน้ำในการเพาะปลูกน้อยกว่าวิธีปลูกข้าวแบบทั่วไปถึง 50% ครับ
1️⃣ ติดตั้งท่อดูน้ำ โดยใช้ท่อ PVC ความสูง 25 เซนติเมตร เจาะรูรอบๆท่อ เพื่อให้น้ำไหลผ่านได้
2️⃣ ปักท่อลงในแปลงนา ให้จมดิน 20 ซม.และปากท่อเหนือผิวดิน 5 ซม. ( ตามแบบในรูป )
3️⃣ ช่วงเดือนแรก ขังน้ำ โดยสูบน้ำเข้าแปลงนาให้สูงจากผิวดินประมาณ 5 ซม. ท่วมปากท่อ
4️⃣ หลังครบเดือน แกล้งข้าว ด้วยการลดน้ำ 2 ครั้ง ครั้งที่ 1 ระยะข้าวแตกกอ ครั้งที่ 2 ระยะแต่งตัวถึงออกดอก
5️⃣ ช่วงปล่อยน้ำแห้ง ให้สังเกตระดับน้ำในท่อ ปล่อยให้น้ำแห้งจนต่ำกว่าผิวดิน 15 ซม. แล้วจึงสูบน้ำเข้าไปแปลง (เสมอปากท่อ) สลับกันไป
การลดน้ำในนา 2 ครั้ง แบบนี้ จะช่วยกระตุ้นให้รากและลำต้นแข็งแรงขึ้น ดินและรากได้รับอากาศ เมื่อได้รับอากาศ ก็สามารถดูดซึมสารอาหารจากปุ๋ยได้ดีขึ้น ทำให้ลดการใช้ปุ๋ย
เมื่อรากดูดสารอาหารได้ดีขึ้น ต้นข้าวแข็งแรง ลดการระบาดของโรคและแมลง ก็จะลดการใช้สารเคมี เป็นการลดต้นทุนการผลิตไปด้วย
เมื่อต้นข้าวแข็งแรงก็จะแตกกอได้มากขึ้น รวงข้าวสมบูรณ์ ผลผลิตที่ได้รับก็เพิ่มขึ้นอีกด้วย ได้ประโยชน์หลายต่อ ทั้งลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ใช้น้ำน้อยกว่าเดิมถึงครึ่งหนึ่ง
แม้หลายท่านอาจมองว่าเป็นความยุ่งยากและต้นทุนสูงในระยะเริ่มแรก แต่ลองคิดถึงในระยะยาวกับสภาพอากาศที่เลวร้ายลง แต่ชาวบ้านอำเภอเดิมบางนางบวชจังหวัดสุพรรณบุรี ประสบความสำเร็จมาแล้ว และทำได้จริงทำให้ยั่งยืนในระยะยาว และผลตอบแทนคือผลกำไรจากการขายคาร์บอนเครดิตร ทำให้ผลตอบแทนก็ดีขึ้น อีกทั้งข้าวในแปลงนาก็แข็งแรงขึ้นกว่าการเกษตรแบบเดิมอีกด้วย
นับว่าเป็นการแก้ปัญหาภัยแล้งที่มีศักยภาพ ในระยะยาว และเกษตรกรเองอาจต้องเปลี่ยนวิธีการทำงานเดิม ซึ่งส่งผลดีในระยะยาวในขณะที่โลกของเราเผชิญกับวิกตภัยแล้งที่รุนแรงและยาวนานอีกด้วยครับ
