Vitamin C ช่วยต้านอนุมูลอิสระและชะลอวัยได้จริงหรือ?!
Vitamin c หรือ วิตามินซีคือ วิตามินที่สามารถละลายในน้ำ ซึ่งร่างกายของเราไม่สามารถสร้างขึ้นได้เอง จึงจำเป็นต้องรับ Vitamin C จากแหล่งอาหารอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นผักและผลไม้ต่าง ๆ ทั่วไป แม้ว่า เราจะสามารถเลือกซื้อทานได้ง่าย แต่สำหรับบางคนก็ติดขัดด้วยไลฟ์สไตล์และการดำเนินชีวิต ดังนั้น จึงมีการพัฒนาให้เราสามารถรับประทาน Vitamin C ได้ครบตามปริมาณวิตามินซีต่อวันที่ร่างกายต้องการ ในรูปแบบอาหารเสริมที่ทานง่ายและพกพาสะดวกขึ้น ไม่ว่าจะเป็นแบบเม็ด หรือแคปซูลก็ตาม
วิตามินซี (Vitamin C) มีประโยชน์อย่างไร
วิตามินซี (Vitamin C) ถือว่าเป็นวิตามินสำคัญที่ร่างกายควรจะได้รับทุกวัน โดย Vitamin C สามารถแบ่งตามประเภทของแหล่งที่มาได้ 2 ประเภท ได้แก่
- วิตามินซีสังเคราะห์ (Synthetic Vitamin C)
- วิตามินซีจากธรรมชาติ (Natural Vitamin C)
แล้ววิตามินซีช่วยอะไร วิตามินซีมีประโยชน์อย่างไร ทำไมเราถึงต้องรับประทานให้ครบตามปริมาณที่ได้รับทุกวัน เพราะว่า ประโยชน์ของวิตามินซีที่เราจะได้รับนั้น เรียกว่า ดูแลร่างกายของเราอย่างครบทุกด้าน ดังนี้
- Vitamin C มีฤทธิ์ต้านสารอนุมูลอิสระ ลดการเกิด lipid peroxidation และยับยั้งการสร้างสารก่อมะเร็ง และชะลอความเสื่อมของเซลล์ก่อนวัยอันควร
- มีผลต่อเมตาบอลิซึมของกรดอะมิโนและคาร์โบไฮเดรต ช่วยเพิ่มการดูดซึมธาตุเหล็ก
- ช่วยบำรุงผิวพรรณ ด้วยการสังเคราะห์คอลลาเจน (collagen) คาร์นิทีน (carnitine) และอิลาสติน (Elastin) ทำให้ผิวพรรณกระชับ ไม่เหี่ยวย่นก่อนวัย
- กระตุ้นระบบการไหลเวียนโลหิตของผิวพรรณ ทำให้ผิวพรรณสุขภาพดี ดูเรียบเนียน จุดด่างดำจางลงอย่างเห็นได้ชัด
- ช่วยชะลอความแก่ และลดการเกิดริ้วรอยแห่งวัย
- วิตามินซีเสริมภูมิคุ้มกันของร่างกายให้แข็งแรง ทำให้เม็ดเลือดขาวทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ต่อต้านเชื้อแบคทีเรียและไวรัสได้อย่างเต็มที่
- ทำให้ระบบหลอดเลือดแข็งแรง เพิ่มความต้านทานต่อโรคหัวใจ
- ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมระดับคลอเลสเตอรอลในร่างกาย
- ช่วยให้การทำงานของต่อมหมวกไตดีขึ้น
- ลดอันตรายจากโลหะหนักและสารพิษต่าง ๆ ที่ร่างกายได้รับจากสิ่งแวดล้อม
รูปแบบผลิตภัณฑ์ของวิตามินซี (Vitamin C)
เราสามารถกินวิตามินซีได้ทั้งจากผักและผลไม้ แต่สำหรับบางคนที่ไม่สะดวก ก็สามารถเลือกทานอาหารเสริม Vitamin C ได้ ซึ่งในปัจจุบัน อาหารเสริมวิตามิน C มีการผลิตออกมาหลายรูปแบบ เพื่อให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์การกินของแต่ละคน ดังนี้
วิตามินซีแบบเม็ดฟู่
วิตามินซีแบบเม็ดฟู่ มักมีปริมาณ 500 และ 1,000 มิลลิกรัม โดยวิธีกินวิตามินซีประเภทนี้ คือ ให้นำไปละลายในน้ำจนฟองหมด เพราะฟองแก๊สที่เกิดขึ้น อาจจะทำให้เกิดอาการแน่นท้องได้ โดย Vitamin C ประเภทนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่สามารถกลืนยาเม็ดขนาดใหญ่ได้ หรือผู้สูงอายุที่มีปัญหาเรื่องการดูดซึม
วิตามินซีแบบแคปซูล
วิตามินซีแคปซูล จะมี 2 ชนิด คือ ชนิดแคปซูลแข็งและแคปซูลนิ่ม โดยมีปริมาณ 500 มิลลิกรัม ทำให้กลืนเม็ดแคปซูลได้ง่ายกว่า Vitamin C แบบอัดเม็ด และหาซื้อได้ง่าย เช่น C Cap Skin Supplement ของ Derma Health
วิตามินซีแบบเม็ด
Vitamin C ประเภทถัดมา คือ วิตามินซีเม็ด โดยมีปริมาณตั้งแต่ 25 – 1,000 มิลลิกรัม แต่ปริมาณโดยทั่วไป คือ 500 และ 1,000 มิลลิกรัม ถ้าหากเป็นไปได้ ควรเลือกประเภท Buffered, Sustained Release หรือ Slow Release ที่ช่วยลดอาการระคายเคืองกระเพาะอาหารน้อยกว่ารูปแบบเม็ดที่มีการปลดปล่อยทันที แต่วิตามินซีประเภทนี้ จะมีข้อเสีย คือ เม็ดยามีขนาดใหญ่ ทำให้กลืนลำบาก
วิตามินซีแบบอม
วิตามินซีแบบอม หรือที่เรียกว่า วิตามินซีอม จะมีปริมาณตั้งแต่ 25 – 500 มิลลิกรัม เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาในการกลืนยาเม็ด แต่ข้อควรระวัง คือ การอม Vitamin C แบบเม็ดที่มีฤทธิ์เป็นกรดบ่อย ๆ อาจจะทำให้เคลือบฟันบางลง จนฟันกร่อนได้
วิตามินซีแบบเคี้ยว
Vitamin C แบบสุดท้าย คือ วิตามิน C แบบเม็ดเคี้ยว โดยปกติ จะมีปริมาณ 30 มิลลิกรัม เหมาะสำหรับเด็ก เพราะจะมีการแต่งสีและรสของวิตามินซีให้น่ารับประทาน แต่ข้อควรระวัง คือ มีปริมาณน้ำตาลค่อนข้างสูง อาจจะทำให้ฟันผุได้ เมื่อรับประทานเป็นประจำ
ปริมาณวิตามินซี (Vitamin C) ที่ควรบริโภคในแต่ละวัน
สิ่งที่สำคัญต่อมา คือ การกินวิตามินซี หลายคนอาจจะสงสัยว่า ร่างกายต้องการวิตามินซีเท่าไหร่ โดยวิตามินซีที่ร่างกายต้องการต่อวันนั้น เราสามารถแบ่งได้หลายประเภท ดังนี้
1.สุขภาพร่างกาย ได้แก่
- ผู้ชาย ควรได้รับวิตามินซี 100 มิลลิกรัมต่อวัน
- ผู้หญิง ควรได้รับวิตามินซี 85 มิลลิกรัมต่อวัน
- หญิงตั้งครรภ์ ควรได้รับวิตามินซี 95 มิลลิกรัมต่อวัน
- หญิงให้นมบุตร ควรได้รับวิตามินซี 145 มิลลิกรัมต่อวัน
- ผู้สูบบุหรี่ ควรได้รับวิตามินซีเพิ่มอีกจากปกติ 35 มิลลิกรัมต่อวัน
- ผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดจะมีความต้องการวิตามินซีเพิ่มขึ้น ปริมาณที่ควรได้รับอยู่ระหว่าง 200 - 500 มิลลิกรัมต่อวัน
2.วัตถุประสงค์ของการกินวิตามินซี ได้แก่
- เพื่อบำรุงสุขภาพ ป้องกันร่างกายอ่อนแอ รักษาภูมิแพ้ ควรได้รับวิตามินซี 1,000 มิลลิกรัมต่อวัน
- เพื่อบำรุงผิวพรรณ ควรได้รับวิตามินซี 1,000 มิลลิกรัมต่อวัน
- เพื่อรักษาอาการหวัด (ระยะเริ่มต้น) ควรได้รับวิตามินซี 1,000 - 8,000 มิลลิกรัมต่อวัน
- เพื่อรักษาอาการหวัด (ช่วงเป็นหวัด) ควรได้รับวิตามินซี 2,000 - 3,000 มิลลิกรัมต่อวัน
- เพิ่มจำนวนสเปิร์ม ควรได้รับวิตามินซี 3,000 - 6,000 มิลลิกรัมต่อวัน
ผลข้างเคียง เมื่อเราบริโภควิตามินซี (Vitamin C) เกินขนาด
โดยปกติ ร่างกายควรได้รับ Vitamin C ไม่เกิน 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน เพราะถ้าหากร่างกายได้รับวิตามินซีเกินกว่านั้น อาจจะมีอาการคลื่นไส้ ปวดเกร็งในช่องท้อง และถ่ายเหลวได้ ดังนั้น ทางที่ดี ถ้าหากเราต้องการทานวิตามิน C สูงกว่าปริมาณที่กำหนด ควรปรึกษาแพทย์ผู้ชำนาญการเพื่อความปลอดภัย
วิตามินซี (Vitamin C) จากธรรมชาติ
เราสามารถรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินซี (Vitamin C) จากธรรมชาติ เช่น ผลไม้ตระกูลส้ม สับปะรด องุ่น มะขาม สตอร์เบอร์รี่ ฝรั่ง มะนาว มะเขือเทศ ฝรั่ง มะขามป้อม โรสฮิป มะขามเทศ เงาะ มะละกอ อะเซโรลาเชอร์รี่ ส้มโอ พริกหวาน พริกแดง ลูกเกด คะน้า บรอกโคลี เป็นต้น
แต่โดยปกติแล้ว อาหารตามธรรมชาติอย่างผักและผลไม้มีปริมาณ Vitamin C ที่น้อยมาก เช่น ส้มหรือมะนาว 1 กิโลกรัม มีปริมาณวิตามินซีประมาณ 530 มิลลิกรัมเท่านั้น ซึ่งถ้าหากเรารับประทานทุกวัน ก็ทำให้มีโอกาสเป็นโรคเบาหวานหรือโรคอ้วนได้
ดังนั้น นอกจากรับประทานผักและผลไม้แล้ว การเลือกทานอาหารเสริม Vitamin C ก็ถือว่าเป็นตัวเลือกที่ดีที่เราสามารถเลือกทานวิตามินซีได้อย่างสะดวก ลดโอกาสเสี่ยงที่จะเกิดโรคอื่น ร่างกายได้รับวิตามิน C ในปริมาณที่เหมาะสม สามารถเสริมความแข็งแรงให้กับร่างกายได้ทุกวัน
สรุป
Vitamin C ถือว่า เป็นวิตามินที่มีความสำคัญมาก เพราะช่วยสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย ช่วยชะลอวัย ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งสวยงาม มีฤทธิ์ต้านสารอนุมูลอิสระ และประโยชน์อีกนับไม่ถ้วน แต่ครั้นที่จะรับประทานผักและผลไม้ที่ต้องทานในปริมาณมาก เพื่อให้ได้รับวิตามิน C ในปริมาณที่ต้องการในแต่ละวัน ก็อาจจะส่งผลให้เกิดโรคอื่นขึ้นแทนได้ ดังนั้น วิตามินซีในอาหารเสริมจึงเป็นตัวเลือกที่ดี เพราะทำให้เราได้รับ Vitamin C ในปริมาณที่เพียงพอ พกพาสะดวก และทานง่าย เหมาะสำหรับไลฟ์สไตล์ของแต่ละคน