คำแนะนำและข้อปฏิบัติในการสวดมนต์
คำแนะนำและข้อปฏิบัติในการสวดมนต์
1. ปรับใจให้มีความเชื่อ ความศรัทธาในพระคาถาให้มากที่สุดว่าพระคาถาที่จะสวดนี้เป็นสิ่งที่ดีงาม เป็นของศักดิ์สิทธิ์จริง ไม่นำความเดือดร้อนมาสู่ตนเองและคนอื่น เป็นที่พึ่งที่ดีที่สุดสำหรับชีวิตเรา
2. ใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นว่า ชีวิตนี้ไม่มีอะไรแน่นอนมีแต่อุปสรรค มีแต่ปัญหา มีแต่ความทุกข์มากมายเกิดขึ้นอยู่เสมอ บุญมีจริง บาปมีจริง ทุกชีวิตล้วนต้องการความสุข ความสำเร็จ ความสมหวังกันทั้งนั้น การสวดมนต์เป็นวิธีการหนึ่งที่เป็นเหตุให้ได้มาซึ่งความสุข ความสำเร็จ มาสู่ชีวิตเราได้ คนไม่รู้จักสวดมนต์จะมีแต่ความทุกข์ความเดือดร้อนเกิดขึ้นกับชีวิตอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
3. จงมีความอดทน เพียรพยายาม สวดให้ได้ทุกวัน อย่าให้ขาด มากน้อยขอให้ได้สวด การสวดมนต์นั้นเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก มักมีอุปสรรคเกิดขึ้นขัดขวางต่อผู้สวดมนต์ ยิ่งถ้าเป็นคนมีกรรมมีเวรมากยิ่งลำบาก แต่เป็นการลำบากในช่วง 2-3 อาทิตย์แรกเท่านั้น ผ่านไปได้ก็จะดี รู้สึกสบาย ไม่อึดอัด ไม่ทรมาน ขอจงอดทนมีสัจจะให้มากไว้ เตือนตัวเองอยู่เสมอๆว่าเราต้องทำได้เพื่อชีวิตของเรา
4. ไม่ต้องอธิษฐาน หรือ ปรารถนาอะไรทั้งสิ้น การสวดมนต์ไม่ใช่การอ้อนวอนต่อรองเรียกร้องใดๆทั้งสิ้น เป็นการสร้างบุญสร้างบารมีเพิ่มพลังบุญ พลังความศักดิ์สิทธิ์ให้เกิดขึ้นกับตนเอง การสวดมนต์เป็นการทำเหตุปัจจัยจัดระบบชีวิตให้ดี ให้ถูกต้องเท่านั้น ส่วนผลนั้นจะเกิดขึ้นเองอัตโนมัติ เหมือนการรับประทานยา เหมือนการปลูกต้นไม้ ขอเพียงรับประทานให้ตรงเวลา โรคย่อมหาย ดูแลต้นไม้ให้ดีถูกต้องตามกรรมวิธี ผลดอกย่อมเกิดขึ้นอย่างแน่นอน การสวดมนต์ก็เช่นกัน
5. จะสวดเวลาไหน ที่ไหนก็ได้ (ยกเว้นในห้องน้ำ) จะอยู่ในอิริยาบถไหนก็ได้เช่นเดียวกัน ขอให้ใจเราพร้อมและมีเวลาสะดวกจะสวดวันละกี่ครั้งก็ได้ จงสวดเถิดไม่มีความผิดใดๆทั้งสิ้น ถ้ามีห้องพระในบ้าน ก็สวดในห้องพระ จัดเครื่องสักการะบูชามีดอกไม้ ธูป เทียน ตามสมควรได้ยิ่งเป็นสิ่งที่ดี
6. จะสวดในใจ หรือ ส่วนออกเสียงก็ได้ แล้วแต่กาลเวลาและสถานที่ จะพนมมือหรือไม่พนมมือก็ได้ อาจจะยกมือไหว้สักครั้งก่อนสวดก็ได้เป็นการดี ถ้าอยู่ในบ้าน ในสถานที่พร้อม ก็ควรพนมมือสวดควรตั้งนะโม ฯลฯ สัมมาสัมพุทธัสสะฯ 3 ครั้ง ก่อนสวดทุกๆครั้งที่มีการสวดมนต์บทใดบทหนึ่ง
7. จะถือหนังสือดูสวดก็ได้ แต่ถ้าจะให้ดีควรพยายามท่องจำให้ได้ในแต่ละบท หรือบทหนึ่งบทใดก็ได้ ที่ตนเองชอบ เป็นสิ่งที่ดีมาก จะได้เป็นสมบัติชีวิต สมบัติสมองติดตัวไว้ และสมองก็จะได้จดจำพระคาถาไว้ แทนที่จะจดจำแต่ปัญหา แต่เรื่องที่ไม่ดีเก็บไว้ให้รกสมองเปล่าๆ
8. หากมีปัญหาชีวิตเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม ถ้านึกโทษ น้อยใจ เสียใจ ตําหนิ บ่น ว่าการสวดมนต์ไม่ช่วยอะไร พระคาถาไม่เห็นศักดิ์สิทธิ์เด็ดขาด ให้นึกเสียว่า กรรมเวรเรายังมี บารมีความเพียรเรายังน้อย แยกให้ออกว่า นี่คือปัญหา นี่คือบุญ จงปักใจเชื่อเถิดว่าปัญหาที่มีอยู่ย่อมหมดไป เราจะต้องพบทางออกที่ดีแน่นอน จงตั้งสติให้ดีแล้วสวดไป อย่าได้ท้อแท้ล้มเลิก
9. อาจมีคนที่ไม่เห็นด้วยกับการสวดมนต์ของเรา ก็ไม่ควรกล่าวร้าย นึกเกลียดชัง โกรธเขาเป็นอันขาด ใช้ปัญญาพิจารณามองให้เห็น ถึงสัจธรรมความจริงของโลกว่า เรามีบุญ มีบารมี มีสติปัญญา มีเวร มีกรรมต่างกัน จงแผ่เมตตาให้เขาเถิด ให้เขาได้มีโอกาสทำเช่นเราบ้าง การทำแต่ละอย่างนั้นจะให้มีคนเห็นดีด้วยไปหมดนั้น ย่อมเป็นไปไม่ได้
10. เรื่องความหมายหรือคำแปลนั้นถ้ารู้ได้ก็ดี (หาอ่านได้ในหนังสือมนต์พิธีแปลทั่วไป) ถ้าไม่รู้ก็ไม่เป็นไรอย่าวิตกกังวลสนใจกับคำที่คนมักกล่าวว่า "สวดแบบนกแก้ว นกขุนทอง" เลย เพราะคนสวดกับนกสวดนั้นย่อมต่างกันโดยสิ้นเชิง การสวดมนต์นั้นขอให้มีจิตจดจ่อมีความเชื่ออยู่ที่อักขระพระคาถา อนิสงค์ย่อมมีมาก เพราะขนาดนั้นสภาพจิตย่อมเป็นบุญกุศลตลอด
อ้างอิงจากหนังสือธัมมะของหลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม