เขียนไปเรื่อย
.•• การเติบโตมาของแต่ละคนเป็นยังไงกันบ้าง มีความสุข ใช้ชีวิตสนุกดีใช่ไหม ส่วนตัวเรานั้นกับรู้สึกว่าเราเติบโตมาในเวลาที่พ่อแม่เริ่มจากศูนย์ เริ่มชีวิตครอบครัวในขณะที่มีเราเป็นลูกคนแรก เราเห็นพ่อแม่ทำงานมาตลอดตั้งแต่เราจำความได้ ท่านตื่นเช้าไปทำงานกลับถึงบ้านก็เย็นหรือค่ำ ชีวิตส่วนใหญ่ในตอนนั้นจึงดูเหมือนว่าเราอยู่กับคุณตาคุณยายมากกว่าอยู่กับพ่อแม่ หรือในวันที่ต้องไปโรงเรียนพ่อแม่จะไปส่งเราที่โรงเรียนทุกเช้า ทุกวันนี้ยังจำได้อยู่เลยว่าครั้งแรกที่ไปเรียนชั้นอนุบาลเราร้องตามพ่อแม่กลับบ้านไม่อยากไปเรียน ร้องแบบนานมากๆ หลังจากนั้นคือมีคุณครูใจดีท่านหนึ่งเป็นคุณครูผู้หญิงผิวขาวผมยาวสวย ได้มาอุ้มเราแล้วโอ๋จนเราหยุดร้อง ความคิดตอนนั้นคือเหมือนพ่อแม่เอาเรามาปล่อยทิ้ง รู้สึกถูกทิ้ง จึงฝังใจมากกับเหตุการณ์นั้นเราจึงจนจำภาพตอนนั้นได้แม่นมาก
... การไปโรงเรียนครั้งแรกของเราดูจะเป็นเรื่องที่เราไม่ชอบมากในตอนนั้น จนนานเข้าก็เริ่มจะใช้ชีวิตในโรงเรียนได้เหมือนเพื่อนๆปกติ โรงเรียนที่เราเรียนคือโรงเรียนขนาดกลางๆที่อยู่ในตำบลมีตั้งแต่ชั้นอนุบาล1-ชั้นมัธยมศึกษาปีที่3 ในตอนนั้นก็ยังคงเป็นเด็กเล็กมากแต่ก็ยังคงจำอังคารเรียนหลังเก่า โรงอาหารเก่า บ้านพักครูที่มีอยู่ในโรงเรียน ซึ่งปัจจุบันก็หายไปตามกาลเวลา ตามการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารที่จะพัฒนาให้โรงเรียนดีขึ้น พูดถึงโรงเรียนแล้วคิดถึง เพราะช่วงเวลานั้นคือช่วงชีวิตหนึ่งของตัวเราเลยที่เติบโตมาในรั้วของโรงเรียนที่มีทั้งคุณครูและเพื่อน พี่ น้องๆ ที่ดี ความทรงจำที่มีก็มากจนบางครั้งคิดถึงแล้วน้ำตาก็ไหลออกมา จริงๆตอนเรียนเราก็ไม่ได้มีเพื่อนมาก และก็ไม่ได้มีเพื่อนคนสนิทเหมือนคนอื่นๆเขา การอยู่ในโรงเรียนตั้งแต่เด็กจนโตถ้าจำไม่ผิดคือเราไม่เคยที่จะสร้างเรื่องราวให้พ่อแม่ต้องมาพบอาจารย์ เราไม่สร้างปัญหาให้พ่อแม่เราต้องมาหนักใจเพราะเราเลย เราเป็นคนเรียนไม่เก่ง รู้สึกเหมือนเรารู้สึกช้ากว่าคนอื่นด้วยซ้ำเนื่องจากจะอายุน้อยกว่าเพื่อนๆในห้องหนึ่งปี การเรียนรู้ของเราจึงต้องทำความเข้าใจให้มากกว่าคนอื่น เพื่อให้ทันคนอื่น เราเคยรู้สึกว่าเราเหมือนเป็นจุดที่ด้อยค่าที่สุดในห้องเรียน จึงทำให้การเรียนเราไม่ดีในช่วงป.1-ป.2 จำได้ว่าตอนป.2 เราสอบได้ที่ 9 นั่นคือที่ที่มากที่สุดที่สอบได้จนกระทั่งขึ้นชั้นป.3 - ป.6 เราพยายามที่จะเรียนให้ดีขึ้นจึงสอบได้ที่ 3 ที่4 ที่3 ที่4 ถ้าจำไม่ผิด แต่เราเรียนดีขึ้นมากในช่วงเวลานั้น แต่ก่อนเราเคยเก็บสมุดที่มีผลการเรียนไว้แต่ตอนนี้หายไปหมด เรารู้สึกแย่มากๆเลยนะเราตั้งใจเก็บมาแต่สุดท้ายคือหายไป หายไปแบบมีคนตั้งใจทำให้หายไปด้วย เขาเกลียดเรามากเลยนะ เขาไม่ต้องการเห็นเราได้ในสิ่งที่ดีกว่าเขา ม.1 ม.2 ม.3 เป็นช่วงเวลาที่ต้องคิดแล้วนะว่าหลังจะจบจากโรงเรียนแห่งนี้ไปเราจะไปเรียนต่อที่ไหน เริ่มมีการพูดคุยกันมากในเพื่อนๆบางคนก็ย้ายไปเรียนที่โรงเรียนในตัวจังหวัดตั้งแต่ป.6 บางคนก็เลือกที่จะเรียนให้จบ ม.3ก่อน แล้วไปเรียนต่อในสายอาชีพบ้าง สายสามัญบ้าง ส่วนบางคนก็ไม่ได้เรียนต่อ และเราก็เป็นหนึ่งในนั้นที่เมื่อจบ ม.3แล้วจะไม่ได้ไปเรียนต่อเหมือนเพื่อนคนอื่นๆ เราไม่อาจรู้เหตุผลว่าทำไมพ่อแม่ถึงไม่ให้เราเรียนต่อในตอนนั้น เราน้อยใจพ่อแม่มาก จนมารู้ในตอนหลังคือคุณตาป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย พ่อแม่จึงให้เราดูแลคุณตา คุณตาไปผ่าตัดถึงสองครั้ง เพื่อหยุดการเติบโตของก้อนเนื้อ เราคิดว่าท่านต้องหายแน่ๆ ท่านหายจากก้อนเนื้อร้ายนั่น แต่กลับมาเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองซึ่งคุณหมอบอกว่าคุณตาจะอยู่ได้อีก2 เดือน เราที่ไม่เคยมีความรู้เกี่ยวกับมะเร็งชนิดนี้เลย ช่วงนั้นเราขอพ่อแม่เรียนต่อ ความคิดตอนนั้นคืออยากรักษาคุณตาให้หาย แต่เรายังไม่มีความรู้มากตึงอยากที่จะเรียนต่อ ตอนนั้นพ่อแม่ก็ให้เรียนด้วยอาจจะด้วยสภาวะทางจิตใจในตอนนั้นเราจึงได้ไปเรียนต่อที่การศึกษานอกระบบ เรียนทุกๆเสาร์และอาทิตย์ ความรู้ในตอนนั้นคงจะเป็นการศึกษาค้นคว้าข้อมูลจากอินเตอร์เน็ต เราได้ความรู้จากที่ได้อ่านนำมาปรับใช้ รักษา ดูแล คุณตา เลือกอาหารที่ดี เน้นผัก ไข่ ไม่เน้นเนื้อสัตว์ ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ อาหารที่ดีต้องสะอาด พยามที่จะไม่สร้างเรื่องหนักใจให้ท่านคิดมาก ให้ท่านมีความสุขกับชีวิตเห็นท่านหัวเราะบ่อยๆ เราก็สบายใจมากๆในตอนนั้น เราตั้งใจที่จะเรียนให้จบ และก็จบภายในสองปี ต่อเข้ามหาวิทยาลัยเปิดแห่งหนึ่งซึ่งจริงๆแล้วเราตั้งใจจะเรียนเกี่ยวกับที่จะมารักษาคุณตา แต่ในปีนั้นหลักสูตรนั้นยังไม่เปิดให้ลงเรียนเราจึงเลือกเรียนไปอีกสาขาหนึ่งซึ่งเราเองก็ชอบรองลงมาจากสาขาแรกที่ไม่ได้ลงเรียน
เทอมแรกของการอ่านหนังสือเราจำได้ว่าเราอ่านให้คุณตาฟังและเทอมนั้นก็สอบผ่านทุกวิชาเลย เรารู้สึกมีกำลังใจในการเรียนมาก จนเริ่มเข้าเทอมสองคุณตาเริ่มมีอาการทรุดลงเรื่อยๆ อาการปวดตามตัวเริ่มมากขึ้นต้องวิ่งไปกลับรักษาตัวที่กทม. การให้คีโม ทำให้ผมของคุณตาร่วงบางลงมาก เรารับรู้ถึงความเจ็บปวดของท่านในตอนนั้นแต่เราก็ทำได้แค่ร้องไห้แต่ต้องไม่ให้ท่านเห็น ทุกครั้งที่ให้คีโมเราและพ่อแม่ จะไม่ได้เข้าไปในห้อง ทุกครั้งที่กลับมาอาการไม่ได้ดีขึ้นมาก แค่อาจจะหายเจ็บปวดในช่วงขณะหนึ่ง คุณตาเป็นคนที่เข้มแข็งมากท่านเป็นคนจิตใจดีมีอารมณ์ขัน และกำลังใจจากคนรอบข้างที่ส่งให้ท่าน เพราะทุกคนต่างมีความหวังว่าท่านจะหายเป็นปกติ
แต่แล้ววันหนึ่งก็มาถึงวันที่คุณตาท่านได้จากพวกเราทุกคนในครอบครัวไป (จะมาต่อนะ)