พืชอาถรรพ์
สิ่งที่อาจเป็นตัวแปรพลวัตเบื้องหลังการเกิดของสัตว์มายาชนิดต่างๆ พืชเหล่านี้อาจเป็นได้ทั้งยาดีและยาพิษ แต่หากนำมาผสมรวมกันในอัตราส่วนที่ถูกต้องเหมาะสมแม่นยำและเที่ยงตรงอย่างที่สุดก็จะได้สารผสมที่ออกฤทธิ์เป็นคุณวิเศษทำให้สัตว์ที่ได้รับเข้าไปมีสุขภาพแข็งแรง ลักษณะทางกายภาพเกิดความเปลี่ยนแปลงทั้งในทางที่ดีและไม่ดี เช่นบรรดาสัตว์ศุภลักษณ์มงคลและสัตว์ทุรลักษณ์อัปมงคลที่ปรากฏตามตำราดูลักษณะสัตว์ต่างๆ ซึ่งบางชนิดก็มีถูกบรรยายลักษณะและวาดภาพประกอบเอาไว้อย่างพิลึกพิลั่น อย่างในตำราคชลักษณ์ที่เต็มไปด้วยช้างลักษณะแปลกๆ ทั้งที่ดูสวยงาม อย่างช้างชื่อนิลทันต์ งาทั้ง ๒ ดำ ช้างชื่อเมฆ สีกายดังเมฆ งา ๔ งา เล็บขาวผ่อง หางยาวปัดดิน ฯลฯ และช้างปาปลักษณ์(บาปลักษณ์) เช่น ช้างชื่อนามทำ ตัวต่ำท้องแร่งเรี่ยดินสุนัขลอดมิได้ หูหย่อนหนังยานย้อยดุจม้วนเสื่อ หน้า สั้นง้ำต้นงาเน่า ช้างชื่อลำภา ปากล่างยาวปิดปากไม่สนิทแลเห็นเงางา อ้าปากเห็นกราม ช้างชื่อพาหนะ คอลึกสามแห่ง มักคาบหญ้าคาบไม้ ศีรษะลึกน้ำขัง ช้างชื่อรแหกชีพ งาบิดเป็นเกลียวกลวงในเป็นปล้อง ดุจไม้ไผ่คลอนเน่า ปลายแตกเป็นปากงู ช้างชื่อปิศาจกิน นมงอกออกจากที่ท้องสามนม จอมศีรษะเวียนบนยอดโขมดมีขุมขังน้ำได้ ช้างชื่อโศกจะกิน มีนมที่ปากปลายคาง ช้างชื่อคฤนเดาะ มีนมงอกขึ้นข้างส้นเท้าหลังตลอดท้องจนเนื้อสนับหางข้างบนท้ายมีสามนม กิริยาเดินขัดขวางง่วงงุย ช้างชื่อไภยกิน มีนมงอกออกตามราวข้าง ๆ ละ ๓ ละ ๔ นม ฯลฯ
( นมที่งอกในที่นี้ ไม่น่าจะใช่เต้านมจริงๆ เพราะตามพระไตรปิฎกมีอุปมาว่าเต้านมเป็นเหมือนก้อนฝี เมื่อนำมาแปลกลับ เต้านมที่งอกตามส่วนต่างๆ บนร่างช้างเหล่านี้จึงน่าจะหมายถึงก้อนฝีขนาดใหญ่มากกว่า)
จากตำราคชลักษณ์จะพบว่า ในกลุ่มช้างปาปลักษณ์ทั้ง ๘๐ มีอยู่หลายชนิดที่ลักษณะทางกายภาพผิดเพี้ยนมาก จนไม่น่ามีชีวิตรอดจนโตได้เลยด้วยซ้ำ ทว่าพวกมันกลับอยู่รอดมาได้อย่างแข็งแรงปลอดภัยกลายเป็นช้างใหญ่รูปร่างพิกลพิการพิลึกพิลั่นผิดธรรมชาติให้ชาวสยามมีโอกาสพบเห็นและจดบันทึกรวบรวมเอาไว้ได้
ความผิดปกติทางกายภาพที่เป็นผลมาจากการกินพืชนี้ ปัจจุบันยังเหลือให้พบเห็นได้บ้างในแกะที่เกิดมามีดวงตาขนาดใหญ่อยู่กลางใบหน้าเพียงดวงเดียว(1 eyed sheep) เรียกว่า cyclopamine sheep ซึ่งเกิดจากการที่แม่แกะได้กินพืชมีพิษชื่อ corn lilies ขณะที่ตั้งครรภ์ ซึ่งสารพิษในพืชนี้ส่งผลต่อระบบพันธุกรรมทำให้ลูกแกะคลอดออกมาพิการมีดวงตาเดียวและส่วนใหญ่มักอยู่ได้ไม่นานนัก ซึ่งบรรดาช้างปาปลักษณ์บางชนิดก็อาจเกิดขึ้นมาด้วยกระบวนการใกล้เคียงกันนี้ คือ แม่ช้างป่าได้กินพืชอาถรรพ์ที่เป็นพิษเข้าไปในปริมาณมากจนทำให้ลูกคลอดออกมามีลักษณะพิการผิดธรรมชาติ
นอกจากนี้ อานุภาพจากของพวกพืชอาถรรพ์บางกลุ่มน่าจะมีส่วนช่วยให้สัตว์ที่ได้รับเข้าไปในปริมาณมากรึได้รับต่อเนื่องติดต่อกันเป็นเวลานานมีความสามารถพิเศษ เช่น พลังในการสะกดจิตด้วยการสร้างภาพลวงตา ทำให้สัตว์เหล่านี้สามารถเอาตัวรอดอยู่ได้ตามลำพังจนมีอายุขัยยืนยาวผิดธรรมชาติ บ้างก็มีขนาดตัวใหญ่กว่าปกติ กลายเป็นสัตว์มายาตามที่เราได้กำหนดคำเรียกเอาไว้
ทว่าลำพังเพียงสารรึตัวยาจากพืชก็อาจยังไม่เพียงพอให้สัตว์เหล่านี้สามารถอยู่รอดได้โดยสมบูรณ์ เพราะผลจากความพิการอย่างหนักแต่กำเนิดจะทำให้ร่างกายทำงานผิดปกติและระบบอวัยวะจะล้มเหลวจนเสียชีวิตอย่างรวดเร็วเหมือนกรณีของแกะตาเดียว ทว่าบรรดาช้างร่างพิการตามตำราคชลักษณ์นั้นไม่ใช่ พวกนี้ล้วนเป็นช้างใหญ่ที่โตเต็มวัยทั้งสิ้น(ซึ่งตามปกติสัตว์ป่ามักทิ้งลูกที่ไม่สมบูรณ์เอาไว้ไม่ยอมรับเลี้ยง) แล้วช้างพิการเหล่านี้อยู่รอดจนโตกันมาได้อย่างไร???
ย้อนกลับไปที่หัวข้อพืชอาถรรพ์อีกครั้ง อย่างที่แจ้งว่า พืชเหล่านี้มีทั้งสรรพคุณในทางดีและร้าย แต่นอกจากสรรพคุณแล้ว พืชอาถรรพ์พวกนี้ยังเป็นที่สิงสถิตย์ของเหล่าอทิสมานกายทั้งฝ่ายเบื้องบนอย่างพวกเทวดา และฝ่ายเบื้องล่างอย่างสารพัดสัมภเวสีภูตพรายดุร้ายด้วยเช่นกัน ดังเช่นที่ปรากฏเป็นเรื่องเล่าเกี่ยวกับว่านผีว่านปิศาจหลายชนิด ที่พวกมันสามารถสร้างร่างเทียมออกมาใช้ดูดเลือดจากสิ่งมีชีวิตอื่นๆ จนตายได้ เหล่าอทิสมานกายนี้เองอาจเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยพยุงชีพเหล่าสัตว์พิการแต่กำเนิดให้อยู่รอดเรื่อยมาอย่างที่ไม่น่าจะเป็น ทางเราได้จำแนกสัตว์มายาออกเป็น ๒ กลุ่ม โดยแบ่งประเภทตามอทิสมานกายที่สิงสถิตย์อยู่ในร่าง ดังนี้
๑ สัตว์เจ้า/สัตว์เจ้าที่/สัตว์เทพารักษ์/สัตว์เทวดาเลี้ยง
สัตว์กลุ่มนี้จะมีอทิสมานกายฝ่ายเบื้องสูงอย่างเทวดาสิงสถิตย์อยู่ในร่างคอยป้องกันและเป็นกำลังให้
โดยคำว่า สัตว์เจ้า/สัตว์เจ้าที่ เป็นสำนวนชาวบ้าน ถอดมาจาก จระเข้เจ้า/งูเจ้าที่
ส่วนคำว่า สัตว์เทพารักษ์/สัตว์เทวดาเลี้ยง เป็นสำนวนโหราศาสตร์ ถอดมาจาก งูเทพารักษ์/กระต่ายเทวดาเลี้ยง ของการทำนาย ๑๒ นักษัตร
สัตว์เหล่านี้จึงมีร่างกายแข็งแรงกว่าสัตว์ทั่วไปในสายพันธุ์เดียวกัน ร่างกายคงกระพันหนังเหนียวไม่ระคายอาวุธ สู้ได้ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย แต่ถึงจะมีเทวดาคอยคุ้มก็ใช่ว่าพวกมันจะมีนิสัยดีไปซะทั้งหมด และในบรรดาสัตว์เจ้าทั้งหลายก็มีอยู่ตัวหนึ่งที่ถูกบันทึกไว้ในวรรณคดี เป็นควายป่านิสัยดุร้ายเที่ยวอาละวาดสร้างความเดือดร้อนไปทั่วที่ชื่อว่า ทรพี จากพระราชนิพนธ์เรื่อง รามเกียรติ์ ซึ่งควายทรพีมีเทพารักษ์จากในถ้ำสิงสถิตย์อยู่ในกายตั้งแต่ยังเด็กรึอาจตั้งแต่แรกเกิดอยู่มากถึง ๖ องค์ ซึ่งมันก็ได้ยืมกำลังจากเหล่าเทวดามาใช้สร้างความเดือดร้อนไปทั่วก่อนที่จะถูกกำจัดเพราะเหล่าเทพารักษ์ออกจากร่าง
นอกจากควายอย่างทรพีแล้ว ก็ยังมีช้างในตระกูล(สายพันธุ์)ปัณฑระบางตัวซึ่งถูกเรียกว่า มาตังคกรีเทพ เป็นช้างสันโดษอยู่ตามลำพังซึ่งมีเทวดาสิงสถิตย์อยู่ในร่างมากถึง ๒๖ องค์
(คำว่า มาตังค รึ มาตงค์ ตามภาษาบาลีสันสกฤตจากพระไตรปิฎก จะแปลว่า สันโดษ ไม่ใช่ ช้าง คำว่า กรี ถึงจะแปลว่า ช้าง พจนานุกรมไทยแปลคำว่า มาตังค ผิดมานานมากแล้ว ไม่มีใครช่วยแก้ไขกันเลย)
๒ สัตว์ผี
สัตว์กลุ่มนี้จะมีอทิสมานกายฝ่ายเบื้องต่ำนานาชนิดสิงสถิตย์อยู่ในร่างคอยป้องกันและเป็นกำลังให้ บ้างก็อาจได้รับมาจากพืชอาถรรพ์ บ้างก็เป็นสัมภเวสีจากเหยื่อที่ฆ่ากินได้ สัตว์เหล่านี้จึงเต็มไปด้วยสิ่งชั่วร้ายตรงข้ามกับสัตว์มงคลศุภลักษณ์
ในกรณีของพวกช้างให้โทษที่พิการแต่กำเนิด พวกอทิสมานกายเบื้องต่ำคงช่วยพยุงชีพไว้ไม่ให้ตายโดยแลกกับการสูบพลังชีวิตจากเลือดและน้ำเหลืองของพวกมันทีละน้อย เป็นเหมือนกาฝาก เมื่อระบบเลือดและน้ำเหลืองผิดปกติสัตว์พวกนี้จึงมีพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรง ดุร้ายอันตรายไม่สมควรเข้าใกล้
อนึ่ง ตามตำราดูลักษณะสัตว์มักระบุว่า สัตว์ศุภลักษณ์มงคลนี้หากได้ครอบครองแล้วจะสามารถบันดาลให้เกิดความสงบสุขและอุดมสมบูรณ์เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมได้ ซึ่งก็ไม่น่าแปลกถ้าสัตว์ศุภลักษณ์เหล่านั้นมีเทวดามากฤทธิ์สิงสถิตย์อยู่ในร่าง ขณะที่บรรดาสัตว์อัปมงคลอย่างช้างที่แบ่งเป็น ๓ กลุ่ม คือ ปาปลักษณ์(ให้โทษมาก) ๘๐ ทุรลักษณ์(ให้โทษกลาง) ๕ โทษน้อย(ให้โทษเบา) ๗ จะบันดาลแต่ความเดือดร้อนแก่ผู้ครอบครองและส่วนรวม เพราะในกายมีแต่พวกอทิสมานกายดุร้ายมากฤทธิ์ ซึ่งตามธรรมเนียมโบราณหากพบเจอช้างให้โทษเหล่านี้ รึพวกมันเฉียดเข้าใกล้ชุมชนของมนุษย์ พวกเขาจะไม่ฆ่าแต่จะพยายามขับไล่ให้กลับเข้าป่าไป ซึ่งก็น่าจะเป็นการดีที่สุดแล้ว เพราะหากขับไล่พวกภูตร้ายที่สิงร่างสัตว์พิการเหล่านี้ออกไป อาจทำให้สัตว์นั้นตายเลยก็ได้เพราะขาดผู้ช่วยพยุงชีพ และอาจทำให้พวกภูตร้ายมีฤทธิ์ที่ถูกขับไล่ย้อนกลับมาตามรังควานมนุษย์ให้วุ่นวายอีก
พืชอาถรรพ์เหล่านี้ อาจมีทั้งที่มนุษย์รู้จัก ไม่รู้จัก รึรู้จักแต่ยังไม่ดีพอ อาจเป็นพืชหายาก เป็นพืชที่สูญพันธุ์ไปหมดแล้ว รึอาจยังมีอยู่แต่เสื่อมสรรพคุณไปหมดแล้วเพราะสภาพแวดล้อมที่แย่ลง บ้างอาจคล้ายเห็ดทรัฟเฟิล คือเป็นของหายากที่เกิดในสภาพแวดล้อมและระบบนิเวศที่มีความจำเพาะเจาะจงแบบสุดๆ ซึ่งมนุษย์ยากจะเข้าถึง และต่อให้สามารถนำมาเพาะปลูกภายใต้สภาวะที่จำลองให้สมจริงขนาดไหนก็ไม่อาจสร้างสรรพคุณความอาถรรพ์ให้เหมือนพวกที่เกิดเองตามธรรมชาติได้ รวมถึงอาจมีอายุการใช้งานที่สั้นมาก หากถูกขุดขึ้นมาแล้วไม่รีบใช้ให้ทันเวลาสรรพคุณของพวกมันจะเสื่อมสลายไปอย่างรวดเร็ว พืชอาถรรพ์บางกลุ่มจึงมีจำนวนจำกัด และเมื่อพวกมันกลายเป็นของหายากรึหาไม่ได้อีกแล้ว เหล่าสัตว์ลักษณะแปลกๆ ตามตำรา รวมถึงบรรดาสัตว์มายา สัตว์ผี สัตว์เจ้า จึงลดจำนวนลงเรื่อยๆ จนเหลือเพียงแค่เรื่องเล่ากับบันทึกและภาพวาดเพียงเท่านั้น