ท่องโลกดึกดำบรรพ์: ยุคคาร์บอนเฟอนิรัส
บรรยากาศอันแสนอบอุ่นยามเช้า หมอกลงจางๆ ปกคลุมไปทั่วป่าและบึงชุ่มน้ำอันแสนอบอุ่น ข้างล่ามีพื้นโคลนเหนอะหนะมากมาย พืชสูงใหญ่หลายต้นงอกแทงทะลุขึ้นมาจากโคลน พวกมันมีหน้าตาที่เราเริ่มคุ้นเคยกันดี เช่น สนและปรง พืชเหล่านี้มีลำต้นแข็งเป็นเกล็ด และด้วยขนาดที่ใหญ่โตของมัน จึงมอบอ็อกซิเจนให้กับบรรยากาศ
ยุคคาร์บอนนิเฟอร์รัส (Carboniferous Period) มีช่วงเวลาตั้งแต่ 358-298 ล้านปีที่แล้ว สภาพอากาศของโลกหลังยุคดีโวเนียนเริ่มเย็นตัวลง บึงน้ำแพร่กระจายกันมากมายดูแปลกตา มหาสมุทรตื้นเขินลงและสัตว์หลายๆ ชนิดบุกเบิกแผ่นดิน บางชนิดนอนรออยู่ในบึง บางชนิดเดินและคลานไปตามพื้นป่าและต้นไม้ เมื่อเวลาผ่านไปหลายล้านปีข้างหน้า ต้นไม้ในยุคนี้จะแข็งตัวลงและพวกมันจะกลายเป็นถ่านหินอยู่ใต้แผ่นดินที่พวกเราเดินอยู่นั่นเอง
คุณได้พาร่างของตัวเองเดินลุยโคลนตมเข้ามา อากาศเย็นมากๆ จนคุณแทบจะขนลุกซู่ รอบตัวมีแต่ความวังเวงพิลึกพิกล พลางทันทีที่คุณย่างก้าวเข้าไป มีเงาประหลาดดึงความสนใจให้คุณเดินเข้าไปหา คุณเริ่มใช้มือเกาะและค่อยๆ ปีนไปตามแง่งหนามบนต้นสน เมื่อไปถึงยอดด้วยความเหนื่อยล้า คุณก็ประหลาดใจกับสิ่งที่บินอยู่ข้างบนเหนือผืนป่า พวกมันไม่ใช่นก แต่เป็นแมลงปอยักษ์ที่มีวงปีกกว้างถึงหนึ่งเมตรและขนาดตัวยาวพอๆ กับแม่ไก่ เมกะนิวร่า (Meganeura) แมลงปอ ตั๊กแตน ปลวก และแมลงสาบจัดเป็นสายพันธุ์ที่เก่าแก่ในหมู่แมลงด้วยกัน โลกในช่วงยุคคาร์บอนิเฟอร์รัสมีปริมาณอ็อกซิเจนเยอะมากๆ จนส่งผลให้พวกมันเติบโตตัวใหญ่ได้ขนาดนี้ แมลงปอในยุคปัจจุบันก็กินเนื้อเป็นอาหาร พวกมันสามารถจับยุงและแมลงขนาดเล็กกินได้ ไม่ต้องคิดว่าเจ้าตัวโตพวกนี้จะกินมนุษย์ได้ไหมนะ บนท้องฟ้าแห่งนี้ พวกมันครอบครองที่นี่ไว้หมดแล้ว
คุณกระโดดลงมาด้วยความกลัว โชคดีที่โคลนรับน้ำหนักเอาไว้แต่ก็มีฟกช้ำบ้าง บนดงเฟิรน์หนาทึบมีบางสิ่งแหวกออกมาอย่างน่ากลัว สายตาอันเฉียบคมต้องกันกับสิ่งที่คลานออกมา ปรากฏว่านั่นคือกิ้งกือขนาดใหญ่ เขี้ยวของมันยาวเหมือนเคียวตัดหญ้า แผ่นเปลือกหุ้มร่างกายที่ยาวสี่เมตรและขายุ่บยับร้อยขา นี่คือ อาร์โทพลูร่า (Arthopleura) และจงอย่ากลัวไปเลย มันกินพืชและซากพืชเป็นอาหาร เห็นไหม มันไม่สนใจคุณและแทะต้นเฟิรน์ขึ้นมากิน โลกของเราตอนนี้มีพวกสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังบางกลุ่มดูจะได้เริ่มกลับมาครอบครองระบบนิเวศบ้างแล้ว
หารู้ไม่ ระดับน้ำเริ่มสูงขึ้นจนทะลักเข้ามาในเขตป่าด้วยเป็นช่วงเวลาที่น้ำขึ้นเข้ามาในป่า พวกสัตว์ที่หายใจในน้ำไม่ได้และว่ายน้ำไม่ได้เริ่มอพยพหนีขึ้นมา คุณมองเห็นสัตว์คล้ายกิ้งก่าตัวเล็กๆ จำนวนหนึ่งขึ้นไปเกาะบนโขดหินใหญ่ พวกมันคือเพโทรลาโกซอรัส (Petrolacosaurus) เป็นสัตว์เลื้อยคลานที่เป็นบรรพบุรุษของสัตว์เลื้อยคลานและไดโนเสาร์ในปัจจุบัน ปกติแล้วพวกมันหากินแมลงตามพื้นป่า แต่แหล่งน้ำนั้นนำเอานักล่าหลายๆ ชนิดเข้ามาอย่างน่ากลัว การอยู่ห่างจากแหล่งน้ำบนบกที่ปลอดภัยจะดีกว่า
ขณะที่อาร์โทพลูร่าตัวนั้นกำลังพยายามหนีน้ำ หัวขนาดใหญ่ทรงสามเหลี่ยมพร้อมฟันนับร้อยในปากพุ่งออกมาและกัดลงไปยังหางของกิ้งกือยักษ์ตรึงร่างของเหยื่อเคราะห์ร้ายเอาไว้ สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำแสนประหลาดนั้นคือ โปรเทโรจิไรนัส (Proterogyrinus) มันตัวใหญ่ได้ถึงหกเมตร ยาวพอๆ กับจระเข้น้ำเค็ม ในน้ำและบนบก มันคือนักล่าสูงสุดในระบบนิเวศนี้ เจ้าจิ้งจกน้ำยักษ์ออกแรงลากกิ้งกือลงน้ำจนทั้งสองตัวผลุบหายลงไปต่อหน้าคุณและชีวิตน้อยๆ ที่อยู่บนโขดหินสูง การล่าของมันนั่นง่ายมากๆ แค่กดเหยื่อให้จมน้ำจนตายก่อนแล้วฉีกเป็นชิ้นๆ
คุณเลือกปีนต้นไม้ที่สูงกว่าเดิมเมื่อสังเกตุว่าระดับน้ำสูงขึ้นอย่างช้าๆ ต้นสนต้นเดิมดูจะช่วยได้ดีมากๆ ฝูงเพโทรลาโกซอรัสพากันตัดสินใจทำสิ่งที่พวกมันไม่ควรเสี่ยงลงมือทำ พวกมันทั้งสามลงมือว่ายน้ำเตรียมขึ้นไปบนต้นไม้อย่างทุลักทุเลท่ามกลางสายตาของคุณ มีเงาขนาดเล็กหนึ่งอย่างว่ายเข้ามาอย่างช้าๆ ก่อนจะพุ่งตัวงับเหยื่อตัวน้อยๆ ฉลามน้ำจืด ออร์ธาแคนทัส (Orthacanthus) นั่นเอง เป็นฉลามที่ประหลาดมากๆ เพราะด้วยลำตัวยาวเหมือนปลาช่อน ครีบเป็นพู่ยาวแบบปลาหางนกยูงนั้นทำให้มันดูประหลาด เมกะนิวร่าอีกตัวหนึ่งเองก็เข้ามาร่วมวงโฉบจับเพโทรลาโกซอรัสไปกินเช่นกันด้วยความเร็ว คุณสามารถเห็นได้ว่า ในธรรมชาติเองหากไม่เข้มแข็ง คุณจะกลายเป็นเหยื่อในทุกจังหวะ สุดท้ายแล้ว มีเพโทรลาโกซอรัสเหลือเพียงแค่หนึ่งที่รอดมาปีนต้นไม้หลบนักล่าในคบไม้ที่ปกคลุมด้วยใบไม้
ความโหดร้ายของระบบนิเวศยุคคาร์บอนนิเฟอร์รัสนั้นจะดำเนินต่อไปอีกหลายล้านปีข้างหน้า และสิ้นสุดลงช่วง 298 ล้านปี เมื่อโลกกลับมาร้อนระอุและเริ่มแห้งแล้ง มันจะเปลี่ยนให้บึงชายเลนแห่งนี้แห้งกรังและฝังทุกชีวิตไว้ใต้โคลนตมแห้งๆ พร้อมกับอ็อกซิเจนที่ลดน้อยลง แมลงยักษ์และสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำยักษ์จะพากันสูญพันธุ์ไป เพโทรลาโกซอรัสดูจะมีอนาคตไกล ด้วยความที่สัตว์เลื้อยคลานสามารถใช้ชีวิตโดยไม่พึ่งแหล่งน้ำ และพวกมันสามารถวางไข่โดยไม่พึ่งแหล่งน้ำได้ บวกกับความสามารถในการปรับตัวอันยอดเยี่ยม พวกมันจะวิวัฒนาการและขึ้นมาแทนที่เหล่าสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำได้อย่างรวดเร็วแน่นอน
ตอนต่อไป เดินทางไปยังช่วง 298-154 ล้านปีข้างหน้า สู่ยุคเพอร์เมียน บทสรุปและจุดจบของมหายุคพาลิโอโซอิกก่อนเข้าสู่อรัมภบทใหม่ เมื่อสัตว์เลื้อยคลานปกครองโลกอย่างน่ากลัว พวกมันเป็นทั้งนักล่า และเป็นทั้งผู้หลบซ่อน และแล้ว ยุคนี้จะสิ้นสุดลงก่อนเริ่มบทใหม่ด้วยภูเขาไฟยักษ์แถบไซบีเรียระเบิดและปะทุอย่างรุนแรงส่งผลให้สิ่งมีชีวิตบนโลกเกือบ 95% สูญพันธุ์ มาดูกันว่า จะเกิดอะไรขึ้นในการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ในโลกยุคต่อไป ติดตามได้ใน ท่องโลกดึกดำบรรพ์!