แอบรักลุงข้างบ้าน ตอน8
ตอนที่ 8
แอบคิดลึก
เรี่ยวแรงกำลังขาของชายวัยกลางคน ที่กำลังปั่นจักรยานเก่า ๆ พาหญิงสาวซ้อนท้ายเรื่อยแล่นสวนทางรถยนต์คันโตไปตามท้องถนน แล้วก็เบี่ยงสู่เส้นทางลัดที่เล็ก แคบ และมืดมิด
เพราะความกลัวผีเป็นทุนเดิม จากที่แค่จับชายเสื้อยึดไว้ธรรมดา เธอก็เปลี่ยนเป็นใช้สองแขนกอดกระชับเอวเขาแน่นอย่างวางใจเพราะต้องการที่พึ่ง นึกไม่ถึงว่าแผ่นหลังของชายสูงวัยที่ค่อนข้างดูผอมคนนี้จะอบอุ่นแข็งแกร่งเกินกว่าที่คิด
รุ้งขวัญไม่เคยได้ใกล้ชิดกับผู้ชายคนไหนมาก่อน แม้แต่พ่อของตัวเอง ที่บางครั้งก็อยากจะให้เขากอด ให้เขาอุ้มและแสดงความรักกับเธอบ้าง จึงโหยหาบางอย่างอยู่ลึก ๆ ในใจโดยไม่รู้ตัว และความใกล้ชิดสนิทสนมที่เกิดขึ้นระหว่างเธอกับลุงหนูมันก็ค่อย ๆ เติมเต็มสิ่งที่ขาดหายไป ไม่เฉพาะแค่กับหญิงสาวเท่านั้น หนุ่มใหญ่เองก็เกิดความรู้สึกอบอุ่นประหลาดขึ้นมาเช่นเดียวกัน เมื่อได้รับอ้อมกอดเล็ก ๆ บอบบางแนบสนิทอยู่กับแผ่นหลัง
คนซ้อนท้ายจักรยานแอบสูดลมหายใจเอาความสุขเข้าเต็มปอด ผ้าขาวม้าที่เอว เสื้อคลุมที่ไหล่ รวมทั้งเสื้อกล้ามที่เธอซุกซบอยู่ แม้จะดูเก่าซีดมอซอ แต่ไม่ได้สกปรกเหมือนอย่างที่เห็น กลับหอมประหลาด หอมพิเศษ หอมด้วยกลิ่นผงซักฟอกปนกับไอแดดชวนให้นึกถึงฟ้าใสและไออุ่น จนอยากจะซุกซบอิงแอบให้นานกว่านี้ แต่น่าเสียดายที่หมดเวลาเข้าเสียก่อน หวังว่าคุณลุงคงไม่รู้นะว่าเธอแอบทำอะไรลับหลังเขา
“เข้าบ้านไปได้แล้ว”
เขาหยิบเฉพาะเสื้อออก ไม่ได้แกะผ้าขาวม้าที่พันเอวเล็กอยู่
“แล้วคุณลุงล่ะคะ จะไปไหนต่อ?”
“จะกลับไปนอนแล้วเหมือนกัน” คืนนี้เหนื่อยมามากแล้ว ขี้เกียจออกไปตะลอน ๆ อีก พักสักหน่อยก็คงจะดีเหมือนกัน
“งั้นราตรีสวัสดิ์ค่ะ”
คุณหนูวุ่นวายกล่าวคำลาเปิดประตูเข้าบ้านไปแต่ก็ยังส่งความน่ารักข้ามรั้วมาให้ชื่นใจก่อนนอน
“พรุ่งนี้หนูทำข้าวต้มไปให้นะคะ คุณลุงยังต้องกินยาอยู่”
“อื้อ”
พยักหน้าให้แล้วก็ต้องไล่อีกรอบ เพราะสาวน้อยเอาแต่ยืนส่งยิ้มหวานให้ไม่ยอมเข้าบ้านไปง่าย ๆ
“เข้าไปได้แล้ว”
“ค่ะ”
ชายหนุ่มนอนไม่หลับ นอนพลิกซ้ายพลิกขวาตะแคงข้างไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบก็ยังไม่เช้าเสียที ยัยเด็กบ้า! กลางวันก็มาวิ่งเล่นกวนอกกวนใจ กลางคืนไม่วายยังเข้ามาวิ่งวนในสมองของเขาอีก ไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อยบ้างเลยรึไงกันนะ
เช้ารุ่ง.....
รุ้งขวัญก็ตักข้าวต้มกุ้งตัวใหญ่ใส่หม้อหิ้วขนาดเล็ก ตั้งใจจะไปทานข้าวเช้าด้วยกันกับลุงหนู
เมื่อผ่านเส้นทางหลังบ้านเช่นเดิมก็นึกประหลาดใจ ที่เห็นชายสูงวัยลงไปแช่น้ำเย็นในลำห้วยตั้งแต่เช้า จึงเกิดนึกห่วงขึ้นมากลัวว่าจะไม่สบายขึ้นมาอีก รีบตรงดิ่งเข้าไปในศาลาวางหม้อข้าวลงแล้วเดินไปริมสุดป้องปากตะโกนถาม
“คุณลุงคะ ลงไปทำอะไรในนั้น?”
เขาหันมาทางต้นเสียง ได้ยินทุกถ้อยคำแต่ไม่ยักตอบ กลับเดินลุยน้ำที่สูงท่วมอกไปจนถึงฝั่งตรงข้าม ทำท่าดึงหลักไม้ที่ใช้ยึดตาข่ายดักปลาออกแล้วก็ย้อนกลับมาที่เดิม
ลุงหนูโยนที่ดักปลาที่เป็นตาข่ายเอ็นใสขึ้นมาบนพื้นกระดาน พร้อมบอกหญิงสาวบางอย่างทำให้เธอนึกขึ้นได้ว่าลืมเอาของ ๆ เขาที่ติดตัวไปตั้งแต่เมื่อคืนติดมือมาด้วย
“หยิบผ้าขาวม้าให้หน่อย”
ยื่นผ้าส่งให้แล้วยืนปักหลักอยู่ที่เดิมจึงถูกสั่งเสียงเข้มอีก
“ถอยไปสิ...หันหลังไปด้วย”
เธอปฏิบัติตามอย่างไม่เข้าใจ มารู้ความเมื่อตอนเห็นเขาเปลือยท่อนบน มีเพียงผ้าขาวม้าผืนบางพันไว้รอบเอว หยิบตาข่ายดักปลาเดินผ่านไป รุ้งขวัญจึงหิ้วหม้อข้าวต้มเดินตามหลังไปอย่างห่าง ๆ
ลุงหนูจัดการขึงตาข่ายเป็นแนวเส้นตรง เริ่มแกะปลาที่ติดอยู่ตรงปลายโยนใส่ถังทั้งที่เนื้อตัวยังชุ่มโชกไปด้วยหยาดน้ำ รุ้งขวัญก็เข้ามาช่วยโดยการยืนอีกปลายฝั่งตรงข้ามหันหน้าหากัน
“ไม่นึกว่าในห้วยนี้จะมีปลาชุมด้วย”
“ฝนตกใหม่ก็อย่างนี้แหละ ไม่เคยได้ยินสุภาษิตโบราณหรือ ระริกระรี้เหมือนปลากระดี่ได้น้ำ เพราะงั้นก็เลยเด๊ดสะมอเร่กลายมาเป็นอาหารของคนเสียเลย”
“ไม่เคยได้ยินค่ะ เคยได้ยินแต่ปลาหมอตายเพราะปากเท่านั้น”
สองคนพูดคุยกันไปโดยขยับเข้ามาตรงกลางหากันเรื่อย ๆ หญิงสาวไม่รู้ตัวเองว่าแอบแลลอดช่องตาข่ายไปยังชายสูงวัยที่เคยเรียกว่าคุณลุงมาตั้งแต่ทีแรก ทั้ง ๆ ที่เขาอายุอ่อนกว่าพ่อแม่เธอไปหลายปี เพราะบังเอิญรู้จากบัตรประชาชน เมื่อตอนเป็นธุระช่วยพาเขาไปหาหมอที่โรงพยาบาลในวันก่อน และบัตรมันก็ยังคาอยู่ในกระเป๋าสะพายของเธออยู่เพราะลืมคืนให้
รุ้งขวัญคิดว่าที่ทำให้เขาดูมีอายุจนเกิดความเข้าใจผิดว่าเป็นคุณลุงก็คงเพราะผิวกร้านแดดจากการทำงานในสวน รูปลักษณ์ที่ไม่ได้ใส่ใจในการดูแลตนเองเท่าใดนัก สวมใส่แต่เสื้อผ้าเก่า ๆ เชย ๆ หัวยุ่งฟู และสีผมดอกเลาตามธรรมชาติที่ไม่ผ่านการย้อมใด ๆ แต่ถ้าพิจารณาชัด ๆ จะเห็นว่าเค้าหน้าของคุณลุงนั้นมันบ่งบอกถึงความเคยเป็นคนหน้าตาดีในอดีต หากย้อนเวลากลับไปเป็นหนุ่มอีกสักประมาณยี่สิบปี ตัดทรงผมทันสมัยรับกับใบหน้า สวมใส่เสื้อผ้าดี ๆ เชื่อได้เต็มร้อยว่าพี่โจอี้ยังต้องชิดซ้ายตกขอบ ก็ขนาดคืนวานเธอยังเลือกวิ่งหนีจากโจอี้เข้ามาซุกซบกับอกของคุณลุงอยู่เลย
พอนึกถึงเรื่องเมื่อคืนวานขึ้นมา หัวใจก็เกิดสั่นไหวขึ้นอย่างประหลาด แอบใช้สายตาพิจารณาคนตรงข้ามที่เขยิบเข้ามาใกล้กันทุกที จนเห็นมัดกล้ามแขนที่เกิดจากการใช้แรงงานสม่ำเสมอ รูปร่างสูงโปร่งนั้นก็คงเป็นจากกรรมพันธุ์ ไม่มีพุงพลุ้ยยื่นออกมาให้น่าเกลียดแต่อย่างใด แถมอกข้างซ้ายยังเห็นรอยสักราง ๆ ชวนให้เซ็กซี่ถึงจะมองไม่ชัดว่ามันเป็นรูปอะไร
ความคิดในสมองของรุ้งขวัญตอนนี้ กับภาพที่เห็นผ้าขาวม้าผืนบางที่มัดเอวขยับปลิวไสวชายไปตามแรงลมพะเยิบพะยาบถึงกับทำให้ใจสั่นหวั่นไหว รวมทั้งจดจำความรู้สึกที่ได้กอดเอวซ้อนจักรยานกลับบ้านอย่างอบอุ่นในเมื่อคืนก็ทำให้ชีพจรในอกเกิดเต้นโครมครามขึ้นผิดจังหวะมาอีก
หญิงสาวไม่รู้ว่าตัวเองแอบคิดเรื่องแบบนี้กับคนใกล้ตัวไปได้อย่างไร พาลให้เกิดอารมณ์เขินอายขึ้นมาอยู่คนเดียว และยิ่งตกประหม่าใจเต้นระรัวแรงกว่าเดิมอีก เมื่อเขาขยับเข้ามาใกล้และเอาแต่จับจ้องมองอยู่ที่ใบหน้าของเธอ
รุ้งขวัญรีบเสก้มหน้าหลบสายตาลงต่ำ เพราะกลัวโดนจับได้ว่าแอบจินตนาการอะไรไม่ดีเลยเถิดเกี่ยวกับตัวคุณลุงอยู่
“เป็นอะไร ทำไมใบหน้าแดง?”
รู้สึกเหมือนว่าน้ำเสียงที่ถามมานั้นมันฟังดูนุ่มนวลกว่าปกติที่มักจะพูดจาห้วน ๆ สั้น ๆ แข็งกระด้างและช่างชาเฉย
“ระ..หรือ หรือคะ” ถามกลับเสียงสั่นเบา ติดอ่างอย่างไม่รู้ตัว
“เมาค้างหรือ?”
พูดไม่ออก ทำหน้าไม่ถูกกันเลยทีเดียวกับข้อสันนิษฐานของผู้อาวุโส แต่ถึงอย่างไรมันก็คงดูดีกว่าความจริงที่เธอเผลอคิดลึกกับเขาไปไกลถึงไหนต่อไหนก็ไม่รู้
“คง...คงงั้นมั้งคะ”
“แล้วปวดหัวหรือเปล่า?”
“เอ่อ นิด...นิดหน่อยค่ะ”
ลุงหนูนึกแปลกใจไปกับอาการตะกุกตะกัก ทั้งที่เธอเคยพูดฉาดฉานฉอดฉอดเป็นน้ำไหลไฟดับ จึงเดาไปเองว่ารุ้งขวัญคงยังช็อกกับเหตุการณ์ในเมื่อคืนอยู่
เอ...แต่ตอนที่คุยกันตรงริมน้ำเมื่อกี้กับหน้าประตูรั้วเมื่อคืนวานก็ยังปกติดีอยู่นี่นา แล้วก็นึกย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์สำคัญก่อนหน้านั้นอีก ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไรหากเขาเข้าไปช่วยไว้ไม่ทัน
แปลกใจตนเองนัก นอกจากความห่วงใยธรรมดาตามประสาคนรู้จักกัน เขากลับเหมือนจะรู้สึกเจ็บปวดตามไปด้วยหากเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับเธอจริง ๆ เสียดายความบริสุทธิ์ สดใส ไร้เดียงสา หากมันต้องถูกกระชากไปจากคนเลวระยำพรรค์นั้น
ทั้งสองยืนสบตาระหว่างตาข่ายโปร่งใสที่กางกั้นด้วยความคิดและความรู้สึกแตกต่างกัน นานเท่าไหร่ก็ไม่รู้ ราวกับว่าเวลามันได้หยุดลงไปในชั่วขณะหนึ่ง
ความเงียบที่เกิดขึ้น ทำให้รุ้งขวัญได้ยินเสียงหัวใจตนเองที่มันเต้นแรงแข่งกับกลองสะบัดชัย ไม่แน่ใจว่าเขาจะได้ยินมันหรือไม่ และแล้วลุงหนูก็ได้สร้างปรากฎการณ์ใหม่บางอย่างขึ้นมาให้กับเธออีก
“ไปทานข้าวกันเถอะ”
รอยยิ้มแรกของเพื่อนบ้านหลังจากรู้จักกันมาสักพักแล้วเพิ่งจะถ่ายทอดส่งมอบมาให้อย่างอบอุ่น พลอยทำให้ขาสองข้างของเธอเกิดเบาหวิวขึ้นมาราวกับจะล่องลอยเหาะไปได้
หญิงสาวเดินตามหลังเขาไปอย่างง่ายดายโดยไม่รู้ตัวเลยสักนิด หากถูกล่อลวงไปทำมิดีมิร้ายก็คงจะโทษใครไม่ได้เลย ก็ใจเธอมันดันวิ่งนำหน้าออกไปเองเสียอย่างนั้นด้วยความเริงร่า
วันนี้เป็นวันดี ยายนวลอยู่ติดบ้านตั้งแต่เช้า แต่งเนื้อแต่งตัวดีกว่าทุกวันเพื่อรอพบแขกที่เรียกให้มาหาและจะพาไปทำธุระด้วยกันข้างนอก
นภาผู้เป็นลูกสาว และดำรงชัยอดีตลูกเขย มาถึงไล่เลี่ยกันตามเวลานัดโดยนั่งบนโซฟาคนละฝั่ง ส่วนตรงกลางหญิงชราก็นั่งคู่กันกับหลานสาว
“เอาล่ะ ฉันจะไม่พูดอ้อมค้อมให้เสียเวลานะ ที่เรียกมาพร้อมกันก็ด้วยเรื่องลูกสาวของพวกแกทั้งสองคนนี่แหละ ถ้าฉันไม่โทรไปจะรู้ไหมว่าคนหายไปทั้งคน เกิดโดนฉุดไปฆ่าหมกป่าพวกแกก็คงตามหาตัวกันไม่เจอสินะ”
“หนูก็นึกว่าลูกอยู่กับพ่อของเขา”
“ผมก็นึกว่าลูกไปหานภาที่บ้าน”
“ไม่ต้องเถียงกันหรอก ฉันได้พูดกับยายขวัญไว้แล้วว่าจะให้หลานมาใช้นามสกุลฉัน”
“ก็ดีค่ะคุณแม่”
“ไม่ดีครับ”
“ไม่ดียังไงก็เลิกกันแล้ว” นภาแย้งอดีตสามีขึ้นมาโดยทันที
“ยังไงยายขวัญก็เป็นลูกฉัน จะเปลี่ยนทำไมให้มันยุ่งยาก”
“พอ ๆ ไม่ต้องมาแย่งกันแสดงความรักตอนนี้หรอก ลูกหายไปเป็นเดือนแล้วยังไม่รู้ตัว เคยโทรมาสอบถามสารทุกข์สุขดิบกับมันบ้างมั้ย พ่อแม่ประสาอะไร จะยุ่งอะไรกันนักหนา...ถ้าไม่ว่างใส่ใจลูกขนาดนั้นตอนแรกพวกแกจะยุ่งกันทำไมให้เด็กมันเกิดมา แล้วมาทำให้หลานฉันมีปมด้อย ตอนนี้ยายขวัญก็โตแล้วไม่จำเป็นต้องอยู่ในความปกครองของใครทั้งนั้น ชีวิตของมันให้มันเลือกเอง” หญิงชราว่าใส่อย่างฉุนเฉียว
“ค่ะ หนูได้คิดและตกลงกับคุณยายดีแล้วว่าจะอยู่ที่นี่และใช้นามสกุลคุณยาย คุณยายแก่แล้ว อยู่คนเดียวไม่มีใคร ให้หนูมาอยู่ที่นี่ช่วยดูแลคุณยายเถอะนะคะคุณพ่อ คุณแม่” อย่ารั้งเธอไว้ด้วยคำว่ารักจากปากเพียงอย่างเดียวเลย ประโยคนี้เธอพูดในใจด้วยความเจ็บปวด
“และทรัพย์สมบัติมรดกอะไรทั้งหลายแหล่ที่ฉันมีก็จะยกให้ยายขวัญเพียงคนเดียว”
“อะไรนะคะ คุณแม่...แล้วรจนาล่ะ? รจนาก็เป็นลูกของหนู เป็นหลานของคุณแม่เหมือนกัน” นภาเสียงดังอย่างไม่พอใจ
“ตั้งใจฟังให้ดีนะ ถ้าแกรักลูก ไม่ลำเอียง และไม่เห็นแก่ตัวจนเกินไป ยัยรจนาน่ะ มีแกเป็นแม่ มีนายประชาเป็นพ่อ อะไร ๆ ของแกกับนายประชาก็จะต้องตกเป็นของรจนาอยู่ดี ส่วนทางนู้นยัย...อะไรนะ?”
“รุจิราครับ”
“อื้อ ใช่ ยัยรุจิราก็มีแกเป็นพ่อ มีวิรดาเป็นแม่ อะไร ๆ ของพวกแกทั้งสองคนก็จะต้องตกเป็นของรุจิรา แล้วยัยขวัญล่ะ มีอะไร? มีพวกแกเป็นพ่อเป็นแม่แต่ก็เหมือนไม่มี ไปทางนั้นทีมาทางนั้นทีเหมือนนกไร้รังนอน เคยคิดถึงหัวอกจริง ๆ ของมันบ้างไหม เข้ากับใครก็ไม่ได้”
“เข้าไม่ได้หรือครับ วิรดากับรุจิราก็ออกจะรักใคร่กลมเกลียวกับลูกขวัญดี”
“ถุ้ย! คนโง่ ๆ อย่างแกจะไปรู้อะไร แม่เลี้ยงกับลูกเลี้ยงนะ คิดว่ายัยวิรดามันดีอย่างนั้นหรือ ถ้ามันดีจริงจะท้องกับสามีเพื่อนสนิทได้ยังไง แล้วก็ดันท้องก่อนเมียตบเมียแต่งเสียด้วยสิ ทำงามหน้าไหมล่ะแก”
“ผมขอโทษครับ แต่คุณแม่อย่าเข้าใจผิดและมองวิผิดไป ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะผมกับนภาไปด้วยกันไม่ได้”
“ไปด้วยกันไม่ได้หรืออะไรที่เข้ากันไม่ได้กันแน่ เชอะ! ฉันไม่อยากจะฟื้นฝอยหาตะเข็บหรอกนะ”
ดำรงชัยชักสีหน้าโกรธขึ้นมา ในขณะที่อดีตภรรยากลับนั่งคางเชิดอย่างสมน้ำหน้าที่เขาถูกด่าอย่างเจ็บแสบ
“เลิกพูดเรื่องนี้ต่อหน้าลูกเถอะครับ ตกลงจะเปลี่ยนนามสกุลกันก็ได้ ตามใจคุณแม่ เพราะถึงอย่างไรเสียรุ้งขวัญก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของผมอยู่ดีไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง”
“ขอบใจย่ะ!” ยายนวลว่าแกมประชด
“พวกแกต่างก็มีผัวมีเมียมีลูกดูแลกันอยู่แล้ว แต่ฉันไม่มีใครก็ขอหลานสักคนเอาไว้พึ่งพิงยามแก่ชราบ้างเหอะ หากพวกแกกลัวจะมีลูกน้อยไม่พอใช้ก็ขยันทำกันเข้าไปสิ อายุยังไม่มากเกินจะมีลูกอีกไม่ได้หนิ แต่ยังไงฉันก็จะขอยัยขวัญไว้คนนึงละกัน”
เมื่อทุกคนพูดคุยตกลงกันเข้าใจดีเป็นที่เรียบร้อย หญิงชราก็รีบชักชวนออกไปจัดการเอกสารที่ทำการเขต โดยไม่รีรอให้เสียเวลา แม้ว่ารุ้งขวัญจะใกล้บรรลุนิติภาวะแล้วในอีกหนึ่งปีข้างหน้าก็ตามที
ในขณะที่ลุงหนูเดินออกมาส่งเมฆาที่มาเยี่ยม พร้อมกับนำข่าวสารมาบอกนั้น ก็ได้เห็นรถยนต์สองคันแล่นออกจากบ้านยายนวลไป จึงนึกสงสัยว่าเป็นแขกที่ไหนมาหา ทำท่าชะเง้อคอมองหารุ้งขวัญแต่ก็ไม่เห็นแม้แต่เงา ก็เลยเดินกลับเข้าไปคิดหนักใจในเรื่องของตัวเองต่อ
เขานั่งชันเข่าลงบนแคร่ หยิบหนังสือพิมพ์ที่วางข้างของฝากจากต่างจังหวัดขึ้นมา อ่านข้อความประโยคเดิมที่มีอยู่เพียงไม่กี่บรรทัดซ้ำ ๆ พร้อมกับแววตาขุ่นมัว
ไม่เข้าใจว่าทำไมผดุงเกียรติถึงต้องลงประกาศตามหาเขาด้วย