รีวิวป้ายยา ไออุ่นนี้ที่เรียกว่าเธอ (นิยายแปล)
มาแล้วค่ะ หนังสือเล่มที่ 2 ที่เราจะ #รีวิวป้ายยา คงเป็นเพราะไม่ได้อ่าน นิยาย มาสักพักแล้ว เลยใช้เวลาค่อนข้างเยอะเลย 555
.
เรื่อง : ไออุ่นนี้ที่เรียกว่าเธอ
ผู้เขียน : Rin Yuuki
ผู้วาด : Nio Nakatani
ถือลิขสิทธิ์โดย : Dexpress
ราคาเล่มละ : 259 บาท
เรื่องย่อ : ท้องฟ้าปลอม ดวงอาทิตย์เทียม ในเมืองใต้ดินที่ทุกอย่างเป็นของปลอม เด็กสาวที่ชื่อเลนนี่กำลังตามหา 'อะไรบางอย่าง' ที่จริงแท้ ได้พบกับสาวเกเรจอมโดดเรียนอย่างโทกะเข้า เลนนี่สัมผัสได้ถึง 'อะไรบางอย่าง' ที่พิเศษในตัวเธอและเริ่มใช้เวลาร่วมกัน ทว่าวันหนึ่งตรงหน้าเลนนี่กลับมีลูกกลมๆ เล็กๆ ที่ติดไฟได้หล่นลงมาจากฟ้า เธอตั้งชื่อมันว่า 'เศษเสี้ยวดวงอาทิตย์' และพยายามค้นหาตัวตนที่แท้จริงของมัน ขณะเดียวกันโทกะเองก็เกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง....
ชีวิตประจำวันของทั้งสองที่คิดว่าจะเป็นเช่นนี้ตลอดไปเริ่มส่งเสียงและพังทลายลง...
รางวัลงานเขียนยอดเยี่ยมจากการะประกวดไลต์โนเวลของสำนักพิมพ์โชกาคุคังครั้งที่ 14 นิยายไซไฟวัยรุ่นที่เริ่มต้นจากการพบกันของเด็กผู้หญิงสองคนแบบ Girl Meets Girl!
.
ความรู้สึกหลังอ่าน : ตามสไตล์เล่มเดียวจบเลยค่ะ มันคือความอิ่มเอ่มใจที่มีต่อเนื้อหาภายในเรื่อง โดยเฉพาะในเรื่องนี้ที่เรารู้สึกยิ้มออกมา หลังจากตัวละครได้คำตอบจากคำถามที่มีมาตลอดทั้งเรื่อง เรียกว่าไม่มีอะไรนอกจากความพึงพอใจตามที่คาดหวังก่อนเริ่มอ่านเลยค่ะ เผลอๆดีกว่าที่คิดเยอะมากเลยด้วยซ้ำ 555
.
รีวิว คร่าวๆ : ก็...จากที่เห็นในเรื่องย่อค่ะ นิยายเรื่องนี้มีเซ็ตติ้งเป็นแนวไซไฟยุคอนาคต ที่มนุษย์สร้างเมืองอาศัยอยู่ใต้ดิน และสร้างของเลียนแบบวิถีชีวิตบนพื้นดินขึ้นมา เรื่องดำเนินด้วยตัวของ เลนนี่ ที่เกลียดความจอมปลอมเหล่านั้นเป็นที่สุด
.
ซึ่งประเด็นในเรื่องหลักๆจะเป็น ของปลอม ของจริง และการโกหก อันเป็นประเด็นเรียบง่ายที่พบเจอได้ในปัจจุบัน แต่ถูกขยายให้เด่นชัดขึ้นมาบนเวทีที่เรียกว่า 'ไซไฟ' เป็นเรื่องที่แม้จะห่างไกลจากชีวิตจริง แต่พออ่านก็ชวนให้ขบคิดขึ้นมาตลอด ว่าสิ่งที่อยู่รอบตัวเราตอนนี้นี่ จริงแท้แน่หรือ?
.
รีวิวแบบละเอียด : อาจจะมีเปิดเผยเนื้อหาบางส่วนในเล่มนะคะ แต่จะพยายามให้ไม่สปอยส่วนสำคัญมากเกินไป
เริ่มที่การสร้างตัวละครก่อนเลยค่ะ อย่างแรกเลยคือ เลนนี่ ซึ่งเป็นตัวพาเรื่องดำเนินตั้งแต่ช่วงต้น เป็นเด็กที่วางตัวเก่งเสมอมา ทั้งกับคนที่บ้าน สังคมที่โรงเรียน และมีภาพลักษณ์ที่เป็นเด็กดีเอางานเอาการ แต่ว่าภายในเจ้าตัวกลับกู่ร้องว่าเกลียดความจอมปลอมของเมืองนี้ รวมถึงตัวเองที่ใส่หน้ากากแบบนั้นด้วยจนเกิดทนไม่ไหวขึ้นมา
.
ต่อด้วยตัวของ โทกะ ซึ่งเป็นเด็กที่เรียกได้ว่าตรงกันข้ามจาก เลนนี่ ทั้งชาติกำเนิด สภาพแวดล้อม และแนวคิด โดยเจ้าตัวเป็นคนสบายๆเพื่อปกปิดความอ่อนไหวในใจ แต่ก็เป็นผู้ฟังที่ดี สิ่งที่ทั้งคู่มีร่วมกันคืออย่างเดียว คือความรู้สึกเบื่อหน่ายชีวิตประจำวันนั่นเอง จึงโดดเรียนด้วนกันบ่อยๆ
.
เอาแค่ตัวหลักทั้ง 2 ตัวก่อนแล้วกัน อย่างที่เห็น ทั้งคู่ถึงจะมีจุดร่วมและสถานการณ์บางอย่างร่วมกัน แต่แก่นแท้แล้วทั้งคู่นั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ซึ่งทำให้ความสัมพันธ์มันปั่นป่วนในช่วงกลางเรื่อง เป็นคอนฟลิกหลักของเนื้อหาทั้งหมด อย่างแรกเลยคือแนวคิดเรื่อง 'คนพิเศษ' ของทั้งคู่
.
เลนนี่ มองว่าเพราะเป็นคนพิเศษ จึงสามารถเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของตนเองได้ แต่สำหรับ โทกะ เพราะอีกฝ่ายเป็นคนพิเศษ จึงไม่อาจเปิดเผยตัวตนที่อ่อนแอให้เห็นได้ แล้วเมื่อไปผนวกกับการเกลียดของปลอมของเลนนี่ หรือก็คือเกลียดการ 'โกหก' จึงทำให้ทุกอย่างปั่นป่วนไปหมด
.
ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ ที่แม้ว่าอีกฝ่ายจะสำคัญสำหรับตนเองเหมือนกัน แต่ก็ไม่สามารถแสดงออกมาให้ใจตรงกันได้นั้น ก่อให้เกิดความรู้สึกขมุกขมัวชวนให้รู้สึกอึดอัด และลุ้นระทึกต่อว่าทั้งคู่จะสามารถปรับความเข้าใจกันได้หรือไม่ จนทำให้ตั้งแต่ประเด็นนี้เริ่มโดดเด่นขึ้นมา ก็แทบไม่อาจละสายตาจากหนังสือได้เลยค่ะ
ส่วนตัวละครสมทบอื่นๆ ในช่วงแรกจะมีบทบาทไม่เยอะมากนัก เพราะในสายตาของ เลนนี่ พวกเขาคือสิ่งจอมปลอมจนเบือนหน้าหนี แต่พอช่วงกลางและท้ายที่เลนนี่ต้องเผชิญหน้ากับโลกความเป็นจริง ตัวละครรอบตัวก็เริ่มมีบทบาทขึ้นมา โดยเฉพาะเพื่อนของเลนนี่ที่สนิทกันมาแต่เดิมนั้น แม้ว่าตัวเรื่องจะปูมาให้เราไม่ชอบนางยังไง เราก็มองว่าเป็นตัวละครที่เป็นคนดีจริงๆคนนึงเลย และในเรื่องนี้มีตัวละครไม่เยอะมากเท่าไหร่ ซึ่งกำลังดีเลยในการกระจายบท
มาต่อด้วยการดำเนินเนื้อเรื่อง ซึ่งเราจะรวมเข้ากับสำนวนการบรรยายด้วยเลยค่ะ ในเรื่องนี้จะดำเนินโดยการพรรณาถึงความรู้สึกตัวละครเป็นหลัก โดยเฉพาะในช่วงแรกที่เป็นจุดในการปูพื้นเพสิ่งต่างๆของเรื่อง ทำให้ถ้าพูดตามตรง สำหรับคนไม่ค่อยอ่านนิยาย ในช่วงต้นเรื่องอาจจะเอื่อยๆหน่อย อ่านหยุด อ่านหยุด ประมาณนั้น แต่จุดนั้นอย่างที่เราบอก พอเริ่มเข้าคอนฟลิกหลักช่วงประมาณเกือบครึ่งเล่ม แม้จะยังมีการพรรณาอยู่ แต่ก็ไม่ค่อยมีความรู้สึกเอื่อยๆแบบช่วงต้นแล้ว และเพราะเป็นการพรรณา เลยยิ่งดำดิ่งไปกับความรู้สึกตัวละครได้อย่างเต็มที่
.
ในส่วนของคำที่ใช้บรรยาย คิดว่าสละสลวยกำลังดีเลยค่ะ แม้จะมีคำศัพท์ที่ยากเล็กน้อยแต่ก็คิดว่าไม่ได้อ่านยากขนาดนั้น เด็กประถมก็น่าจะพอทำความเข้าใจได้...มั้ง? ในจุดนั้นส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของการเปรียบเปรย สำนวนต่างๆ แล้วก็คำที่ปกติไม่ค่อยมีคนใช้ในชีวิตประจำวันกันแล้ว แต่ยังพบเจอได้ตามวรรณกรรมราวๆนี้อยู่ ดังนั้นถ้าเป็นคนอ่านหนังสืออยู่แล้วคงไม่ติดอะไรมาก แต่ถ้าคนไม่ค่อยได้อ่านหนังสืออาจจะมีบางจุดที่ขมวดคิ้วงงอยู่บ้าง 55
.
ในการดำเนินเรื่องนั้น เพราะเป็นมุมมองบุคคลที่ 1 จึงจะไหลผ่านอารมณ์ความรู้สึกของตัวละคร จึงทำให้บรรยากาศของเรื่องรู้สึกหมองหม่นค่ะ ไม่แน่ว่าเพราะแบบนี้ด้วยช่วงต้นเราเลยรู้สึกว่ามันเนือยๆ เพราะตัวเลนนี่ที่เป็นผู้เล่าเรื่องนั้นค่อนข้างจิตตกพอควรเลย และความรู้สึกนี้ก็ยิ่งทวีคูณความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะตอนที่เล่าผ่านมุมโทกะ จนทำเอาเผลอกำหนังสือเพราะบิ้วตัวเองไปตามการบรรยายเลยค่ะ 5555
ต่อที่ประเด็นหลักของเรื่อง แม้ว่าจะมีปมปริศนาเกี่ยวกับเซ็ตติ้งที่เป็นไซไฟอยู่บ้าง แต่สำหรับเราสิ่งนั้นไม่ใช่ตัวชูโรงเท่าไหร่ค่ะ เป็นแค่ตัวซัพพอร์ตให้ประเด็นหลักของเรื่องมีสีสัน น่าสนใจ และเข้าถึงง่ายขึ้นเท่านั้นเอง โดยประเด็นหลักของเรื่องนี้ก็อย่างที่ว่าไว้ ของปลอม ของจริง และการโกหก
.
ภาพที่คนอื่นมองมาที่เรา คือตัวเราจริงแท้แน่หรือ? ภาพที่เรามองเห็นคนอื่น คือตัวตนของจริงหรือเปล่า? การที่บางคนมีการแสดงออกหลายแบบต่างกันไปตามสถานที่ บุคคล และสถานการณ์ อย่างไหนคือตัวตนจริงแท้กันแน่? หรือว่าแท้จริงแล้วไม่ว่าจะเป็นแบบไหน ก็ล้วนแล้วแต่เป็นของจริงทั้งหมดกัน?
.
นั่นคือสิ่งที่เรื่องพยายามจะถามกับเราตลอด โดยเฉพาะตัวเรื่อง ที่จะเน้นย้ำเรื่อง 'ของปลอม' บ่อยมากๆ ตามที่ปูเอาไว้ว่าเลนนี่เกลียดของปลอม การสื่อสารของเรื่องทำให้เห็นตัวของเลนนี่ที่สะอิดสะเอียนกับการใส่หน้ากากและของปลอมที่เลียนแบบของจริงอย่างไร้ความหมาย จนเกิดสงสัยในคุณค่าของตนเองขึ้นมา ว่าตัวเองในตอนนี้ก็เป็นของปลอมด้วยไหมหนอ?