คนที่อยากรู้จัก
คนที่อยากรู้จัก
ภัทมนเดินพลางหยุดพลางด้วยอาการเสียดท้องที่มากขึ้น ด้วยท้องที่โตแปดเดือนกว่า ใกล้คลอดเข้าไปทุกทีแล้ว
“ใกล้เวลาแล้วสินะลูกที่เราจะได้เจอกัน”
เธอคิดพร้อมกับเอามือขวาลูบไปบนท้องเบา ๆ ลูกดิ้นตอบรับมือเธอเหมือนรับรู้ความรู้สึกและสื่อสารถึงกันได้ วันนี้หมอนัดให้เธอมาหาเพื่อตรวจการฝากครรภ์ตามปกติ อาการเจ็บแปลบ ๆ ที่มากขึ้น ทำให้เธอตัดสินใจหยุดพักระหว่างทางเดิน ยึดเก้าอี้ยาวตัวหนึ่งเพื่อนั่งพัก
สายตาทอดมองไปที่ม้านั่งฝั่งตรงข้าม แม่ลูกอ่อนคนหนึ่งอุ้มลูกน้อยไว้ในมือ ข้าง ๆ มีเด็กหญิงผมแกละ หน้าตาน่ารักนั่งมองเด็กน้อยในอ้อมกอดของแม่ แกยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างมีความสุข ทำท่าทางเหมือนเป็นพี่ใหญ่ ข้าง ๆ กัน มีชายหนุ่มท่าทางโหดไว้หนวดเครารุงรัง แต่เมื่อเขาเผยอปากยิ้ม โลกนี้ก็พลันสว่างสดใส โดยเฉพาะรอยยิ้มที่เขามีให้กับลูกของเขาทั้งสองคน
เธอเบือนหน้าหนีจากภาพตรงหน้านั้นด้วยความรู้สึกหน่วงในอก ใจหนึ่งเธอมีความสุขที่ได้เห็นภาพครอบครัวสุขสันต์ แต่ใจอีกด้านก็คล้ายกับมีคนราดน้ำยาล้างแผลขวดใหญ่ลงไปบนแผลเน่าเฟะ ทั้งแสบและเจ็บปวด อดีตวัยเยาว์ย้อนกลับมาในห้วงคำนึง
“แม่กับป๋าไม่ใช่พ่อแม่ของแกนะ รู้ไว้ซะด้วย รู้แล้วก็หัดเจียมตัวซะบ้าง อย่าสำออยให้มากนัก อย่าต้องให้ป๋าดุ เราน่ะมันคนโปรด เดี๋ยวป๋าก็ตีพี่เอกหรอก รู้ใช่ไหมเวลาป๋าโมโหจะเป็นยังไง”
สิ้นเสียงคำบอกของแม่ ภัทมนถึงกับตะลึงงันด้วยความตกใจ น้ำตาคลอออกมาแต่เธอก็กัดปากไว้แน่นให้ความเจ็บมาอยู่ที่ริมฝีปากแทนการปวดที่หัวใจ เพื่อกลั้นไม่ให้น้ำตาหยดไหลลงมา เหลือบสายตาลงมองข้อเท้าขวาที่มีผ้าพันแผลพันไว้มีรอยเลือดซึมออกมานิด ๆ
ตอนนั้นภัทมนอายุสิบขวบ สาเหตุที่ทำให้เธอได้รู้ความจริงมาจากการนั่งเล่นกันในหมู่พี่น้อง เรื่องขำขันที่ทุกคนหัวเราะ แต่ทำให้พี่ชายคนหนึ่งหมั่นไส้น้องสาวนอกไส้ เขาเหวี่ยงมีดปอกผลไม้ใกล้มือมาที่น้องสาว แม่นเหมือนจับวาง มีดนั้นปาดผิวเนื้อตรงข้อเท้าขวาของน้องอย่างตรงใจคนทำ ทุกคนตกตะลึง ภัทมนสะอื้นด้วยความเจ็บ แม่ตกใจรีบพาเธอไปหาหมอที่โรงพยาบาล แผลนั้นโดนเย็บไปถึงหกเข็ม และมันปวดหน่วง ๆ จนหมอต้องให้ยาแก้ปวด
ความหน่วงของแผลที่ข้อเท้าตอนนี้ย้ายมาหน่วงที่หัวใจของเธอแทน เธอพยักหน้าพูดด้วยเสียงแผ่วเบารับปากกับแม่สั้น ๆ ว่า
“ค่ะ”
แล้วก็เดินเขยกขาขึ้นบันไดไปนอน เธอล้มตัวลงนอนพร้อมน้ำตาที่ไหลทะลักราวทำนบแตก พยายามกัดริมฝีปากกั้นเสียงสะอื้นด้วยกลัวเสียงร้องไห้จะดังไปถึงข้างล่าง แล้วจะต้องโดนดุ คืนนั้นยาวนานที่สุดในชีวิต ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเผลอหลับไปตอนไหน มีเพียงรอยเปียกบนหมอนที่ยังชื้นในตอนเช้าซึ่งบ่งบอกถึงความเสียใจที่สุดในชีวิต หลังจากวันนั้นก็ไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกแล้วในความรู้สึกของเธอ
“เร็ว ๆ สิ ชักช้าอยู่ได้” พี่เอกที่มาคอยรับหลังเลิกเรียนดุขึ้นเมื่อเห็นหน้า ภัทมนลนลานเก็บกระเป๋านักเรียนมือไม้สั่น ก่อนจะรีบเดินตามกลับบ้าน
“มากันแล้วเหรอ มานี่เลย”
เสียงป๋าดุขึ้นทันทีที่ทั้งคู่เดินเข้าบ้าน ภัทมนสะดุ้งตกใจ มือพนมไหว้สวัสดี แต่ป๋ากลับไม่มองหน้า
“แกหนีเรียนใช่ไหมเอก”
เสียงป๋าตะคอกพี่เอกดังลั่นตามด้วยมือที่กระชากพี่เอกเข้าไปหา เงื้อเข็มขัดในมือฟาดไปที่พี่เอกจนเธอต้องหลับตาด้วยความกลัว ก่อนที่ป๋าจะตีพี่เอกเป็นครั้งที่สอง แม่ถลันเข้าไปแย่งเข็มขัดในมือ แล้วผลักป๋าให้ถอยไป แม่...ที่ปกติไม่เคยมีปากเสียง ตามใจป๋าทุกอย่างกลับกล้าผลักและยึดเข็มขัดในมือไม่ให้ตีพี่เอก
“นั่งอ้อยสร้อยอยู่ทำไม จะไปไหนก็ไป” เสียงแม่หันมาตวาดด้วยความโกรธ ภัทมนลุกเดินหนี พอคล้อยหลังจากตรงนั้นน้ำตาก็ไหลหยดลงมา เธอกัดริมฝีปากสุดแรงเพื่อกลั้นสะอื้น มีเพียงน้ำตาที่ไหลออกมา และรีบเดินหนีเข้าห้องน้ำ นั่งกอดเข่าร้องไห้จนเหนื่อย จึงค่อยอาบน้ำปาดน้ำตา แล้วรีบแต่งตัวไปร่วมมื้อเย็น พยายามทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ในใจเธอร้องถาม
“หนูทำอะไรผิด”
วันถัดมาภัทมนนั่งเล่นชิงช้าอยู่ข้างแม่ที่กำลังโรยปุ๋ยรอบต้นฝรั่ง เธอรวบรวมความกล้าเอ่ยถามแม่ขึ้นว่า
“พ่อแม่หนูเป็นใคร”
“อยากจะรู้ไปทำไม รู้ไปก็ไม่มีประโยชน์ พ่อแกก็ลุงดำไง ที่มาหาบ่อย ๆ นั่นแหละ ส่วนผู้หญิงคนนั้นไม่ต้องไปพูดถึง”
แม่ตอบแล้วก็ลุกหนีเข้าไปในบ้าน ทิ้งให้ภัทมนนั่งซึมอยู่ตรงนั้นจนมืด จึงเดินเข้าบ้านตามแม่ไป
หลังจากวันนั้นภัทมนกลายเป็นคนหลับยาก เธอเฝ้าครุ่นคิดถึงใบหน้าของคนที่เป็นแม่ แม่เธอหน้าตายังไงนะ จะผิวขาวเหมือนเธอไหม จะใจดีกว่าแม่คนนี้ไหม กว่าจะหลับลงในแต่ละคืนเธอต้องนอนหมุนลูกกลิ้งไม้สีสวย ๆ บนรางเหล็กหัวเตียงหกลูกนั้นหมุนไปหมุนมาจนผล็อยหลับไป
และทุกครั้งที่โดนแม่ดุ ภัทมนมักจะคิดในใจเสมอว่า
“ใช่สิ ก็เราไม่ใช่ลูกของแม่นี่ แม่ถึงไม่รัก แม่ก็ต้องรักพี่มากกว่าอยู่แล้ว เพราะนั่นคือลูกแท้ ๆ ของแม่”
ไม่ว่าจะโดนดุ หรือโดนตีจนร้องไห้ แม่จะไม่เคยปลอบ จะปล่อยให้เธอหยุดร้องไปเอง แล้วแม่ก็มาชวนคุย เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เธอต้องพยายามทำตัวเป็นปกติตามแม่ไปด้วย แต่ในใจของเธอกลับร่ำร้องคิดถึงแม่อีกคน “แม่ผู้ให้กำเนิด” แม่คนที่เธออยากรู้จักที่สุดในชีวิต
แม่อยู่ไหน แม่เป็นยังไง แม่หน้าตาแบบไหน แม่ไม่รักหนูเหรอ ทำไมแม่ถึงทิ้งหนูไป ทำไมแม่ไม่เลี้ยงลูก หรือเพราะจน แต่ถ้าจนแล้วได้อยู่กับพ่อแม่แท้ ๆ ก็น่าจะมีความสุขกว่าไม่ใช่เหรอ นั่นคือความคิดที่วนเวียนอยู่ในหัวของเธอเสมอมา
แต่ไม่ว่าจะพยายามจินตนาการถึงแม่ยังไงก็คิดไม่ออก เพราะไม่เคยเห็นหน้า ภัทมนมาอยู่บ้านหลังนี้กับแม่และป๋าตั้งแต่ยังเล็ก ยังพูดไม่ได้ด้วยซ้ำ ความทรงจำของแม่จึงไม่มีหลงเหลืออยู่เลย แม้แต่ภาพถ่ายของแม่สักใบเธอก็ไม่มี แล้วเธอจะรู้จักแม่ได้ยังไง
เมื่อเริ่มเติบโตเป็นสาวภัทมนกลายเป็นคนกลัวผู้ชาย เธอกลัวความรักแบบหญิงชาย แต่โหยหาความรักในทุกรูปแบบ เธอไม่กล้ารักใคร ด้วยกลัวว่าหากรักใครแล้วถ้าสูญเสียไปจะต้องเสียใจ ต้องร้องไห้ เธอร้องไห้มามากเกินไปแล้ว
หลังเรียนจบภัทมนแยกตัวออกมาอยู่คนเดียว เพราะป๋าได้จากเธอไปแล้ว ป๋าคือพ่อที่ใจดีที่สุด รักและไม่เคยตีหรือดุเธอเลยแม้แต่ครั้งเดียว เมื่อสิ้นบุญป๋าเธอคิดว่า แม่คงจะไม่สนใจหรอกว่าเธอจะอยู่หรือไป การเลือกเดินจากมาเผชิญโลกตามลำพังคือสิ่งที่ภัทมนทำ และก็จริงแม่ไม่เคยสนใจเลยว่าเธอจะไปอยู่ที่ไหน มีความเป็นอยู่อย่างไร เธอเผชิญโลกนี้ตามลำพัง เหมือนคนไร้ญาติขาดมิตร
แต่แล้วเธอก็หนีวัฏจักร ความรักไปไม่พ้น ผู้ชายคนนั้นฝ่าทลายกำแพงความเย็นชาของเธอเข้ามาด้วยท่าทีอ่อนโยน ให้ความอบอุ่นอย่างที่เธอต้องการ จนเธอมีลูกน้อยอยู่ในท้อง ทุกครั้งที่ลูกดิ้น เธอคิดถึงแม่ผู้ให้กำเนิด แม่คนที่เธออยากรู้จักที่สุดในชีวิต เธอคิดสงสัยว่าสายใยรักระหว่างแม่ลูกที่เธอกับลูกมีต่อกัน ในตอนนั้นแม่ของเธอมีความรู้สึกแบบนี้กับเธอไหม และแม้ชีวิตรักของเธอจะล้มเหลว เขาทิ้งเธอไปตั้งแต่รู้ว่าเธอท้อง เธอก็ไม่เคยคิดโกรธ ยอมรับชะตากรรมแต่โดยดี
“น้าร้องไห้ ทำไมคะ” เด็กหญิงผมแกละฝั่งตรงข้ามหันมามองและถามเธอ
“เปล่าจ้ะ น้าแค่เจ็บท้องน่ะ”
“โอ๊ย อูย”ภัทมนเจ็บหน่วง ๆ มากขึ้น จนร้องเสียงดัง พยาบาลเวรรีบวิ่งเข้ามาดูเธอ และบอกว่าเธอกำลังจะคลอด
“ลูกจ๋า เราจะเจอกันแล้ว” ภัทมนคิดอย่างดีใจ
ลูกสาวตัวขาวอ้วนจ้ำม่ำ ผิวขาวอมชมพูตัวน้อยในวงแขน ที่พยาบาลนำมายื่นให้เพื่อให้ดูดนม แม้จะเก้ ๆ กัง ๆ แต่ใจที่เชื่อมใจก็สอดรับประสานเป็นหนึ่งเดียวกันจนได้ ลูกสาวตัวน้อยหลับตาพริ้มหลังกินนมอิ่ม
ภัทมนอดน้ำตารื้นขึ้นมาอีกครั้งไม่ได้ ยิ่งเห็นลูกสาวตัวน้อย ใจกลับยิ่งคิดไปถึงคนสำคัญที่สุดในชีวิต คนที่เธออยากรู้จักแต่ไม่เคยมีโอกาส เธอได้แต่กระซิบฝากสายลมไป
“หนูรักแม่ค่ะ รักแม้จะไม่รู้จัก รักแม้จะไม่เคยเห็นหน้า รักเท่าที่ใจดวงนี้จะมีให้ ขอบคุณที่ให้หนูเกิดมา นั่นคือสิ่งดีที่สุดแล้ว อาจจะมีสักวันที่เราจะได้พบกันนะคะแม่” และหนูจะเป็นแม่ให้ดีที่สุด เป็นแม่ในแบบที่หนูเคยอยากมี