วิวาห์เลี้ยงเดี่ยว ตอนที่ 3 เงื่อนไขในพินัยกรรม (3)
ดาวโหลด Ebook คลิ๊กที่ภาพด้านล่างนี้ได้เลยนะคะ
+++++++++
“บอสคะฉัน...” กำลังจะแก้ตัวเรื่องที่โดนว่า แต่มือถือของเธอจะดังขึ้นเสียก่อน เมื่อเห็นว่าเป็นเบอร์ของพี่เลี้ยงจากที่จะบอกลาเจ้านายเธอก็รีบรับสายของทันที “ว่าไงคะพี่อ้อย...งอแงไม่ยอมนอนเหรอคะ...ค่ะ ๆ มัทกำลังกลับ พี่อ้อยลองกล่อมแกดูก่อนนะคะ ไม่สบายหรือเปล่าคะ พี่อ้อยลองวัดอุณหภูมิดูหรือยัง ถ้ายังลองวัดให้มัทหน่อยได้ไหมคะ...” เมื่อเป็นเรื่องลูกมัตสยาก็ลืมทุกอย่างรอบกาย คุยโทรศัพท์กับพี่เลี้ยงกึ่งวิ่งกึ่งเดินไปที่รถทันที ลืมกระทั่งว่าก่อนหน้าตัวเองได้เรียกเจ้านายทำทีเหมือนมีเรื่องจะคุย แต่จู่ ๆ ก็หนีกลับบ้านไปหน้าตาเฉย
ให้มันได้อย่างนี้สิ วาทีส่ายหน้า แต่ไม่ได้ถือสาอะไร เพราะเท่าที่ได้ยินเหมือนที่บ้านของหญิงสาวจะมีปัญหา แต่ว่าการโดนผู้หญิงเมินเข้าจริง ๆ ก็รู้สึกแปลกหน่อย ๆ เหมือนกัน
“มาได้เสียที ช้ามาก” นั่นคือทำทักทายแรกของคนเป็นแม่นั่งหน้าเครียดอยู่ที่โซฟาทักวาทีเมื่อเข้าเดินเข้าไปในบ้าน
“คุณพ่อกับคุณปู่ล่ะครับ” ชายหนุ่มกวาดสายตามองพลางทรุดตัวนั่งลง แต่ก้นยังไม่ทันจะแตะโซฟาก็โดนคนเป็นดึงให้ลุกขึ้น
“รอแกที่ห้องหนังสือน่ะ” นางบอกก่อนจะเดินนำคนเป็นลูกชายขึ้นไปข้างบน ซึ่งนอกจากเป็นห้องที่เต็มไปด้วยหนังสือแล้ว ยังเป็นห้องที่ครอบครัวของนางมักใช้พูดคุยหรือปรึกษาเรื่องสำคัญ ๆ ที่ไม่อยากให้เล็ดลอดให้คนรับใช้ในบ้านรับรู้
“จริงจังขนาดนี้เลยเหรอครับ” วาทีคุยกับคนเป็นแม่อย่างไม่เข้าใจระหว่างเดินไปที่ห้อง ตอนแรกเขาคิดว่าท่านจะพูดคุยถามไถ่เรื่องการมีแฟนของเขาอย่างที่ทำบ่อย ๆ ตอนเห็นลูกหลานคนอื่น ๆ มีลูกมีเมียกันไปหมดแล้วอย่างที่ผ่านมา
“บอกแล้วไงว่าคราวนี้มันเกี่ยวข้องกับพินัยกรรมของคุณปู่ด้วย” นางถอนหายใจแรง ๆ อีกครั้ง ก่อนจะหยุดเดินแล้วหมุนตัวมาจ้องหน้าลูกชายด้วยสายตาจริงจัง ก่อนที่จะเข้าไปในห้องหนังสือ “ไม่ใช่ว่าแม่เห็นแก่สมบัตินะ แต่อันไหนที่ควรจะเป็นของแกแม่จะไม่ยอมปล่อยให้มันหลุดไปอยู่ในมือคนอื่นเด็ดขาด โดยเฉพาะตาเรย์”
วาทียิ้มบาง ๆ แล้วเข้าไปโอบคนเป็นแม่ “อย่าเพิ่งคิดมากสิครับ คุณปู่อาจจะถามและบ่นอย่างทุกทีก็ได้ครับ” พูดจบก็เดินโอบท่านเข้าไปในห้องที่คนเป็นปู่และพ่อรออยู่
“ปู่มีอะไรจะคุยกับผมเหรอครับ” เข้าไปถึง วาทีก็ถามพร้อมกับทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้ และทุกคนต่างคนต่างนั่งประจำที่ของตัวเองโดยมีคนเป็นปู่นั่งที่หัวโต๊ะ ตอนนี้บรรยากาศมันเลยคล้าย ๆ การประชุมเล็ก ๆ เลยทีเดียว
“กลับดึกเหมือนเคยเลยนะ” นายเวโรจน์ไม่ตอบคำถามคนเป็นหลานชายแต่คุยไปเรื่องอื่นด้วยสีหน้าที่ดูอบอุ่นและใจดีเช่นเคย
“ครับ งานมันยุ่งมากจริง ๆ”
“แล้วอย่างนี้เมื่อไหร่ปู่จะได้เห็นหน้าหลานสะใภ้กับลูกแกเสียทีละฮึ” บ่นเหมือนไม่ได้อะไรมากมาย
“ไม่รู้สิครับ อาจจะยังไม่ถึงเวลาหรือชีวิตนี้มันไม่มีก็ไม่รู้สิครับ” วาทีตอบอย่างไม่ได้ใส่ใจอย่างเช่นทุกคน นั่นทำให้คนเป็นแม่ยกมือตีเข้าที่แขน ในขณะที่นายเวโรจน์หัวเราะคล้ายกับชอบใจ ก่อนจะเอ่ยขึ้นลอย ๆ “แต่เจ้าเรย์มีลูกแล้วนะ”
“ครับ พี่เรย์มีเมียแล้วจะมีลูกก็ไม่แปลกนี่ครับ” คำตอบที่เหมือนไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไรของวาทีทำให้นางนิลมณีตีต้นแขนของลูกชายไปแรง ๆ อีกที “ยังมาทำเป็นไม่รู้ตัวอีก”
“อะไรล่ะครับ ผมก็พูดความจริงนี่ แล้วตกลงทุกคนต้องการจะพูดอะไรกับผมกันแน่” วาทีหันไปมองผู้สูงวัยทั้งสามคนสลับกันไปมา เมื่อรู้สึกว่าพวกท่านจะไม่เข้าเรื่องเสียที
“ตอนนี้แกก็อายุเยอะแล้วนะ มีลูกมีเมียได้แล้วมั้ง” นายวาทิตเอ่ยขึ้นหลังจากนั่งเงียบมานาน
“ผม...” วาทีพูดได้แค่คำเดียวคนเป็นปู่ก็พูดแทรกขึ้นด้วยสีหน้ายิ้มแย้มอบอุ่นเช่นเคยทว่าน้ำเสียงกลับเข้มดุดันแตกต่างจากหน้าตาโดยสิ้นเชิง
“รู้ใช่ไหมว่าปู่คาดหวังกับตัวแกในทุก ๆ เรื่อง เรื่องงานแกทำได้ดีมาก ๆ มากจนไม่มีเวลาให้เรื่องอื่นเลย โดยเฉพาะเรื่องแฟน” พูดจบท่านก็เงียบให้คนเป็นหลานชายได้แย้ง
“ก็บอกแล้วไงครับว่าไม่มีเวลาหา ไม่มีเวลาให้” วาทีบอกก่อนจะถอนหายใจ เพราะไม่ใช่เขาไม่เคยคบผู้หญิง แต่ด้วยความที่เขางานยุ่งมาก พอไม่มีเวลาให้ก็มางอแง สุดท้ายก็จบกันไป บ่อยครั้งเข้า เขาเลยคิดว่าคนอย่างเขาคงไม่เหมาะจะมีใครนอกจากงาน ที่สำคัญเป็นโสดมันสบายใจกว่าเป็นไหน ๆ
“งั้นมณีหาให้ได้ไหม” นายเวโรจน์หันมาบอกคนเป็นลูกสะใภ้ ทว่าก็ถูกคนเป็นหลานชายแย้งขึ้นทันที “ผมไม่ต้องการครับ”
ได้ยินอย่างนั้นผู้สูงวัยที่นั่งอยู่หัวโต๊ะก็พยักหน้าแล้วพูดต่อ “งั้นเหรอ ไม่เป็นไร แต่ปู่ไม่คิดจะแก้พินัยกรรมนะ” ท่านเลิกคิ้วแล้วกวาดสายตามองสามพ่อแม่ลูกยิ้ม ๆ
“ในพินัยกรรม...” นางนิลมณีมองพ่อสามีอย่างเป็นกังวล แม้จะเป็นคนแก่ที่ดูอบอุ่นใจดี แต่บทจะเด็ดขาดก็ไม่มีใครค้านได้เช่นกัน
“เจ้าทีจะมีสิทธิ์ในสมบัติรวมถึงอสังหาฯ และบริษัทที่มันดูแลอยู่ตอนนี้ก็ต่อเมื่อมันมีลูกเมียแล้วเท่านั้น ไม่อย่างนั้นทุกอย่างจะถูกยกให้เจ้าเรย์ที่มีทายาทสืบสกุลแทน ทุกอย่างไม่เว้นแม้แต่บริษัทที่เจ้าทีดูแลอยู่” นายเวโรจน์เน้นประโยคสุดท้ายเป็นพิเศษ เพราะรู้ว่าบริษัทนี้มีความสำคัญกับคนเป็นหลานชายมากขนาดไหน
“แต่คุณพ่อ ไม่ใจร้ายไปหน่อยเหรอคะ ตาทีทุ่มเทดูแลบริษัทนั้นมากขนาดไหน คุณพ่อน่าจะรู้นะคะ” นางนิลมณีตัดพ้อพ่อสามี ทั้งที่ท่านรักและเอ็นดูลูกชายของนางมาก แต่บทจะใจร้ายก็ไม่ปรานีกันเลย
“รู้และเห็นมาตลอดไง คนเราไม่ได้มีชีวิตเพื่อทำงานอย่างเดียวนะ อีกอย่างฉันอยากอุ้มลูกของหลานที่ฉันรักและภูมิใจมากที่สุด” นายเวโรจน์เว้นช่วงในการพูดเล็กน้อย หันไปจ้องคนเป็นหลานชายแล้วพูดต่อไปว่า “แกรู้ใช่ไหมว่าเจ้าเรย์น่ะมันไม่เอาถ่านมากแค่ไหน ปู่เลยไม่รู้ว่ามันจะเลี้ยงดูและสั่งสอนลูกได้ดีแค่ไหน อย่างน้อยปู่ก็อยากให้มีตัวเผื่อตัวเลือกของหลานอีกสักคนหรือหลาย ๆ ที่จะสามารถดูแลและสืบทอดกิจการได้โดยไม่ต้องกังวล แกไม่มีทางดูแลกิจการพวกนี้ไปได้ตลอดชีวิต” ผู้สูงวัยพูดดักเมื่อเห็นหลานชายจะอ้าปากแย้ง
“คุณปู่อยากทำอะไรก็ทำเถอะครับ” พูดจบวาทีก็ลุกขึ้นเดินออกจากห้องไปทันที “ตาที...ตาทีอย่าเพิ่งสิ มาคุยกันก่อน” เมื่อคนเป็นลูกชายไม่คิดจะฟังนางนิลมณีหันซ้ายหันขวาเล็กน้อยก่อนจะลุกขึ้นเดินตามลูกชายออกไป ทำให้ตอนนี้เหลือแค่สองพ่อลูกที่อยู่ในห้อง
“คุณพ่อเอาจริงเหรอครับ” นายวาทิตถามคนเป็นพ่ออย่างกังวล และหวังว่าสิ่งที่ท่านพูดเมื่อครู่จะเป็นแค่การพูดกดดันวาทีเท่านั้น
“จริงสิ” พูดจบนายเวโรจน์ก็หัวเราะชอบใจ นั่นทำให้คนเป็นลูกชายต้องแย้งขึ้น “พ่อก็รู้ว่าไอ้ทีมันบ้างาน ไม่ใช่ผู้หญิงไม่เข้าหามันนะครับ แต่ไม่มีใครที่ทนกับความบ้างานของมันได้”
“หาให้เจอสิ ไม่เชื่อหรอกว่าหลานชายหน้าตาดีแถมเพียบพร้อมขนาดนี้จะไม่มีใครเอา” นายเวโรจน์หันไปมองลูกชายที่ทำหน้าเคร่งเครียดแล้วลุกขึ้นเดินไปตบที่ไหล่กว้างนั้นแรง ๆ “อย่าคิดมากเลยยังไงเรื่องนี้มณีก็ไม่ปล่อยผ่านหรอก แกจะได้ลูกสะใภ้ในเร็ววันนี้แน่นอน” พูดจบก็เดินหัวเราะชอบใจออกจากห้องไป นายวาทิตได้แต่มองตามแล้วถอนหายใจส่ายหน้ากับความเจ้าเล่ห์ของท่าน
ภรรยาของเขาถ้าอะไรที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของลูกชายละก็นางสู้ตายอยู่แล้ว เลือกกระตุ้นได้ถูกคนจริง ๆ
+++++++++
อ่านล่วงหน้าที่เว็บอื่น ๆ
ธัญวลัย : https://www.tunwalai.com/story/604304
เด็กดี : https://writer.dek-d.com/kesmani/writer/view.php?id=2271834
Readawrite : https://www.readawrite.com/a/5e596cf1b2c61bcfe164112da000b3a2