หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line หาเพื่อน Skype Page อัลบั้ม คำคม Glitter เกมถอดรหัสภาพ คำนวณ การเงิน
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
เว็บบอร์ด บอร์ดต่างๆค้นหาตั้งกระทู้

กินทุกข์

เนื้อหาโดย อักษราลัย

กินทุกข์

โดย : อักษราลัย

            ตอนที่ผมรู้ว่าตัวเองมีความสามารถแบบแปลก ๆ นั้น ผมอายุสิบขวบ โตพอจะรู้ความและเข้าใจอะไร ๆ บ้างแล้ว หลังวันเกิดอายุครบสิบขวบมาเพียงหนึ่งวัน ผมก็ค้นพบ มันเป็นเรื่องบังเอิญที่เกิดขึ้นในค่ำคืนของมื้อเย็น วันนั้นแม่กลับบ้านมาด้วยอาการกระปลกกระเปลี้ย หน้าตาเซ็งอย่างที่สุด ในมือแม่หอบหิ้วถุงแกงมาสามสี่อย่าง ทุกทีแม่จะกลับบ้านมาแต่วันและเรามักจะร่วมกันทำกับข้าว ผมกับแม่เราสองคนเหมือนบรรเลงเพลงร่ายรำราวกับเสกมนต์สรรสร้างอาหารอันอวลอุ่นกรุ่นไปด้วยความสุข เจือไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของเราสองแม่ลูก จากเรื่องขำขันเปิ่นเชยของผมและผองเพื่อนในห้องเรียน ที่เล่าถ่ายทอดให้แม่ฟัง


            ผมเดินนำถุงแกงเข้าครัวไปเทใส่ชามพร้อมเปิดไมโครเวฟอุ่น จะว่าไปก็ดีเหมือนกันเพราะเจ้าไมโครเวฟนี้ตั้งโชว์หรูหราสง่างามอยู่ในครัวบ้านเรามานับปี โดยนับจำนวนครั้งการใช้งานได้แค่หลักสิบ
แม่เดินมารินน้ำดื่มข้าง ๆ ผม ยิ้มให้อย่างแห้งแล้งเต็มที ก่อนจะบอกว่า
“แม่ขอตัวไปอาบน้ำก่อนนะลูก เพลียเหลือเกิน ถ้าหิวก็กินก่อนได้เลยนะ” พูดจบแม่ก็เดินขึ้นบันไดไป ผมมองตาม รับรู้ได้ถึงร่างกายแม่ที่ดูสั่นสะท้าน ผู้หญิงสาวสวย แกร่ง ยิ้มง่ายคนนั้นหายไปไหนกันนะ


            ผมเดินออกมานั่งเล่นรับลมหน้าบ้านหลังจากจัดจานชาม และกับข้าวไว้บนโต๊ะกินข้าวแล้ว ท้องฟ้ายังไม่มืดดี ยังมีสีส้มอมแดง นกเกาะกลุ่มบินกันไปจนลับสายตา กลุ่มแล้วกลุ่มเล่า ผมเพลินกับบรรยากาศรอบตัวจนฟ้าเริ่มมืด กลิ่นดอกไม้กลางคืนที่แม่ปลูกเริ่มโชยกลิ่นจรุงใจออกมาตามหน้าที่ แม่ชอบดอกไม้สีขาว บ้านเราจึงมีทั้งต้นแก้ว โมก คัดเค้า และพลับพลึง กลิ่นหอม ๆ เหล่านี้ ทำให้ผมสดชื่น และสมองโล่งทุกครั้งที่ได้สูดดม

            “ออกมาอยู่นี่เอง” แม่เดินมาแตะบ่าผมแล้วนั่งลงข้าง ๆ ผมเหลือบตามอง สีหน้าของแม่สดชื่นขึ้น แต่แววตายังคงมีความกังวล สำหรับผมแม่คือทุกอย่างในชีวิต ทุกสีหน้าท่าทางของแม่ผมรู้ได้ทันทีว่าแม่รู้สึกอะไร แม้พ่อจะจากไปมีคนอื่นตั้งแต่ผมอายุได้เพียงสองขวบ แม่ก็ไม่เคยก่นด่าหรือว่าพ่อให้ผมได้ยินเลยสักครั้ง แม่บอกสั้น ๆ ว่า

            “วาสนาของพ่อกับแม่คงทำกันมาแค่นี้ แค่แม่ได้มีลูกก็ถือว่าพ่อได้มอบของขวัญสุดวิเศษไว้ให้แม่แล้ว” นั่นทำให้ผมปลื้มปีติอย่างที่สุด
‘ผมคือของขวัญที่ดีที่สุดของแม่’ และผมจะไม่ยอมให้แม่ต้องผิดหวังเด็ดขาด นั่นคือสิ่งที่ผมมุ่งมาดอย่างตั้งใจ เป็นความในใจที่ผมไม่เคยบอกออกไป แต่ผมว่าแม่น่าจะรู้ได้จากการกระทำของผม

            “ไปกินข้าวกันดีกว่า แม่ชักหิวแล้วสิ” แม่เอ่ยชวนพร้อมเดินนำเข้าบ้าน


            ระหว่างนั่งกินข้าวผมสังเกตเห็นแม่มีอาการเหม่อลอย กินข้าวได้น้อย ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากแกงถุงที่รสชาติไม่ถูกปากของเราสองคน ผมเลยพลอยกินข้าวไม่ลงไปด้วย

            “อ้าว! ทำไมกินนิดเดียวล่ะลูก ไม่อร่อยเหรอ แม่ขอโทษนะ ที่กลับมาทำอาหารไม่ทัน”

            “ไม่เป็นไรครับแม่ แต่แม่ก็กินน้อยเหมือนกัน”

            “แม่ว่าข้าวไข่เจียวของเรายังจะอร่อยกว่านะเนี่ย” แล้วเราก็หัวเราะออกมาพร้อมกัน สีหน้าของแม่ดูแจ่มใสขึ้นนิดหนึ่ง
ผมมองผู้หญิงตรงหน้าอย่างตั้งใจ แม่เป็นผู้หญิงผิวขาว สวย ผมยาว ตากลมโต ใบหน้านั้นมักมีรอยยิ้มระบายอยู่เสมอ ขณะที่ผมกำลังเพลินมองหน้าแม่อยู่นั้น อยู่ ๆ แม่ก็พูดขึ้นว่า

            “วันนี้ที่ทำงานตั้งแม่เป็นหัวหน้า”

            “ก็ข่าวดีนี่ครับ แล้วทำไมแม่ถึงมีสีหน้าไม่ดีเลย”

            “ก็ตำแหน่งใหม่ของแม่ แม่ต้องเป็นคนบอกเลิกจ้างเพื่อนพนักงานบางคน เพราะปัญหาเศรษฐกิจที่บริษัทกำลังเผชิญอยู่ การลดคนอาจทำให้รอด แม้ว่าแม่จะไม่ใช่คนตัดสินใจว่าใครอยู่ใครออก แต่การต้องเป็นคนบอกข่าวร้ายในยามนี้ แม่ทุกข์ใจเหลือเกิน”
ผมมองหน้าแม่ และทำอะไรไม่ได้มากไปกว่ายื่นมือไปบีบมือแม่เพื่อให้กำลังใจ

            “ผมว่าทุกอย่างจะดีขึ้นเอง แม่อย่ากังวลไปเลยนะครับ” ทันทีที่ผมพูดจบแม่มีสีหน้ายิ้มแบบคลายความทุกข์กังวลไปได้ทั้งหมด ขณะที่ผมกลับรู้สึกมึนศีรษะขึ้นมาอย่างประหลาด อาการนั้นมีอยู่เพียงสั้น ๆ แค่ไม่กี่นาที แล้วผมก็กลับมาปกติแบบเดิม จนผมไม่แน่ใจว่ามันคืออะไร


            หลังจากวันนั้นทุกครั้งที่แม่มีเรื่องทุกข์ใจ หรือกังวลใจ แม่จะนำมาบอกเล่าให้ผมฟังอยู่เสมอ แม่บอกว่า

            “แปลกดีนะลูก แม่รู้สึกว่าพอแม่บอกถึงความกังวลใจ หรือความทุกข์ให้ลูกรู้ ทันทีที่ลูกปลอบแม่กลับมา แม่รู้สึกอิ่มเอิบเหมือนความทุกข์นั้นหายไป มีความสุขเข้ามาแทนที่ และทุกอย่างมันก็จะดีขึ้นอย่างที่ลูกบอกจริง ๆ”

            แต่ที่แม่ไม่รู้คือ ทุกครั้งที่ผมรับฟังความทุกข์ของแม่ ผมจะมีอาการเหมือนคนไม่สบาย มากบ้างน้อยบ้างตามเรื่องที่แม่เล่า ผมสังเกตว่าถ้าเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ผมจะแค่มึนหัว แล้วหายไปภายในไม่กี่นาที แต่ถ้าเป็นเรื่องที่แม่กังวลมาก ๆ ยิ่งมากเท่าไหร่ อาการของผมก็จะมากขึ้นเท่านั้น ใช้เวลานานขึ้นกว่าอาการเหล่านั้นจะหายไป ผมยินดีรับฟังความทุกข์ของแม่ ผมชอบเห็นสีหน้ายามแม่โล่งอก หลังจากได้เล่าเรื่องต่าง ๆ ให้ผมฟังแล้วผมบีบมือปลอบแม่กลับไป


            วันที่ความลับของผมเปิดเผย วันนั้นแม่มีสีหน้าเคร่งเครียดกว่าทุกที ผมรู้ได้ทันทีเลยว่าเรื่องราววันนี้ต้องหนักกว่าทุกครั้ง และก็เป็นอย่างที่ผมคิด ทันทีที่เรากินข้าวเสร็จแล้วย้ายมานั่งเล่นที่โซฟาหนานุ่มสีน้ำตาลตัวโปรดของแม่ ส่วนผมนั่งลงบนเก้าอี้โยกไม้เคลือบเงา โยกเล่นเบา ๆ อย่างตั้งรับกับเรื่องที่แม่จะเล่า

            “แม่โดนให้ออก บริษัทประคองต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว ภาวะโควิดทำให้การขายสินค้ายอดตกลงมาก ถ้าขายของที่มีอยู่หมด บริษัทจะปิดกิจการ” แม่โพล่งขึ้นมา ผมตกใจกับเรื่องของแม่เพราะนั่นสะเทือนถึงผมด้วย แม่จะตกงาน แต่ผมก็ตั้งสติได้

            “ไม่เป็นไรหรอกแม่ เดี๋ยวแม่ก็ได้งานใหม่ดีกว่าเดิม เงินเดือนมากกว่าเดิม อย่ากังวลไปเลยครับ” ครั้งนี้ผมพูดกึ่งอวยพรให้แม่ด้วย และทันทีที่ผมพูดจบ ผมก็หมดสติไปทันที แม่ตกใจมาก รีบพาผมส่งโรงพยาบาลทันที


            ทันทีที่ผมฟื้น แม่รีบบอกข่าวดีกับผม ว่าสิ่งที่ผมอวยพรนั้นเป็นจริงขึ้นมาแล้ว ขณะเดินตามผมที่ถูกเข็นเตียงไปยังห้องฉุกเฉิน แม่ก็เจอกับรุ่นพี่ในมหาวิทยาลัย ที่ทำงานอยู่ในโรงพยาบาลนี้ เขาเอ่ยชักชวนแม่เข้าทำงาน เพราะคนเก่าลาออกกะทันหัน เงินเดือนมากกว่าเดิมอย่างที่ผมบอกด้วย ผมยิ้มและรู้แล้วว่าความสามารถของผมมีอีกขั้นแล้ว นอกจากรับฟังเพื่อคลายทุกข์แล้วผมยังอวยพรและให้ผลลัพธ์ได้ตามนั้นด้วย แต่ยิ่งใช้พลังด้านนี้ไปมากเท่าไหร่ ร่างกายของผมก็ยิ่งอ่อนแอลง เหมือนผมโดนสูบพลังชีวิตไปเพื่อทดแทนให้กับคนที่เล่าความทุกข์นั้นแทน เสมือนผมได้กินบาปหรือทุกข์นั้นมาสู่ตัวเอง ผมแน่ใจเลยว่าทุกครั้งที่ผมใช้ความสามารถด้านนี้ พลังชีวิตของผมน่าจะลดลง วันเวลาที่เหลืออยู่ตามวาระที่ควรจะเป็นในโลกนี้คงลดลงไปด้วย หลังจากหมอสอบถามอาการและตรวจผมอย่างละเอียด ก็ไม่พบอาการอะไรของโรค ผมจึงจำเป็นต้องเล่าให้แม่ฟังว่าจริง ๆ แล้วอาการนี้มาจากอะไร แม่มีสีหน้าไม่เชื่อในตอนแรก แต่พอผมทบทวนให้แม่ฟังถึงทุกครั้งทุกคราวที่แม่บอกเล่า ตามลำดับตั้งแต่ครั้งแรก ตาของแม่ก็เบิกโพลงขึ้น แม่อยากพิสูจน์ แต่จะรอให้ผมพักฟื้นร่างกายให้แข็งแรงขึ้นก่อน


            วันทดสอบของเราก็มาถึงหลังจากผมออกจากโรงพยาบาลมาได้หนึ่งสัปดาห์ แม่พูดเรื่องทุกข์ปลอม ๆ ให้ผมฟัง เมื่อผมให้กำลังใจกลับไป ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แม่ลองใหม่โดยการใช้ความทุกข์จริงของการกังวลใจเรื่องของผม ทันทีที่ผมบอกว่า

            “ไม่เป็นไรหรอกแม่ อาจเป็นลิขิตจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ได้นะครับ แต่ผมเชื่อมั่นว่ามันคือสิ่งดี ๆ งดงาม ที่ผมสามารถทำให้เพื่อนมนุษย์ได้ ผมอาจถูกส่งให้มาเกิดแบบมีจุดมุ่งหมายก็ได้”

            แม่บอกว่าทันทีที่ผมพูดจบ แม่รู้สึกโล่งวูบอย่างประหลาด และอารมณ์แบบนี้เกิดขึ้นหลายครั้งแล้วแต่ไม่รู้ว่าเกิดจากอะไร ขณะที่แม่โล่ง ผมก็หน้าซีด มีอาการวิงเวียนมือเย็นจนแม่รู้สึกได้ แม่นิ่งไปครู่ใหญ่เหมือนทบทวนอะไรบางอย่างและคอยจับมือดูอาการของผมด้วย เมื่อสีหน้าผมดีขึ้น และผมพยักหน้าบอกแม่ว่าผมปกติดีแล้ว แม่ก็พูดขึ้นว่า

            “แม่จำได้แล้วตอนท้องอ่อน แม่ฝันว่าแม่ได้สร้างพระประธานองค์ใหญ่ ทันทีที่นำไปถวาย แม่ก็เห็นรัศมีเรืองรองสีทองส่องประกายออกมาจากองค์พระ จนโบสถ์นั้นสว่างสดใสไปด้วยสีทอง แม่แค่คิดว่าลูกคือสิ่งดี ๆ ของแม่ แต่ไม่คิดเลยว่าลูกจะเป็นสิ่งวิเศษ มหัศจรรย์ขนาดนี้”

            เราสองคนนั่งปรึกษากันว่าจะทำอย่างไรกับความสามารถของผมดี ควรใช้เป็นโอกาสในการช่วยเหลือคนอื่น หรือเราควรนิ่งเงียบไว้แบบนี้เพื่อความปลอดภัยของผม เป็นความขัดแย้งแรกของเราสองคน แม่อยากให้ผมใช้ชีวิตตามเดิม แต่ผมอยากใช้ความสามารถที่มีให้เกิดประโยชน์มากที่สุด ผมบอกเหตุผลที่ทำให้แม่ต้องยอมแพ้

            “คนเราเกิดมายังไงก็ต้องตาย หากการเกิดมาหนึ่งครั้งได้ช่วยคนมากมาย มันย่อมมีความหมายต่อการได้เกิดมา คุ้มเกินกว่าจะละเลยพรสวรรค์นี้นะครับแม่”

            แม่นิ่งคิดไปชั่วครู่ก่อนจะยิ้มกว้างอย่างเห็นด้วย หลังจากนั้นแม่จะเป็นคนคอยนำคนมีความทุกข์มาหาผม โดยเริ่มจากคนในที่ทำงานของแม่ หลายคนที่หมดทุกข์ไปต่างนำไปโจษจันเผยแพร่ต่อ จากปากสู่ปาก ผมกลายเป็นคนดังโดยไม่ได้ตั้งใจ


            แน่นอน ผู้คนต่างแห่แหนกันมาหาผมไม่ขาดสาย คนมีความทุกข์ช่างมีมากมายเหลือเกิน จนผมไม่อาจช่วยทุกคนได้ แล้วความทุกข์ใดกันจึงจะเหมาะกับการช่วยเหลือ ทุกข์ใดกันที่ทุกข์กว่า นั่นคือเรื่องที่เราสองคนช่วยกันขบคิด ในค่ำคืนหนึ่งที่ผมมีอาการอ่อนระโหยโรยแรงจากการช่วยคนเกือบห้าสิบคน แม้จะจำกัดเวลาในการเล่าโดยให้เขียนความทุกข์นั้นใส่กระดาษไว้ก่อน เพื่อความรวดเร็ว ก็ยังมีคนอีกมากเหลือเกิน ที่ต้องกลับไปโดยไม่มีโอกาสได้พบผม


            ผมยังเป็นแค่เด็กหนุ่มอายุยังไม่มาก ยังมีภาระของการเรียน การช่วยเหลือคนจึงทำได้แค่ตอนวันหยุดของผมเท่านั้น แต่หากว่ามีคนต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วน แม่จะอนุญาตให้มาหาผมได้ในตอนเย็น

            ผมจำแนกความทุกข์ของคนทั่วไปจากการฟังมานานได้ว่าคนเรามักจะมีความทุกข์กับเรื่องของครอบครัว ห่วงลูก ห่วงแม่ ห่วงญาติคนนั้นคนนี้ และการระแวงว่าคู่ของตนอาจนอกใจ เรื่องของการงานและภาวะเศรษฐกิจของตัวเอง ตกงาน ไม่มีอาชีพ ไม่มีรายได้ และทุกข์เรื่องของอาการเจ็บป่วยทั้งของตัวเองและจากคนรอบข้าง เรื่องราวเหล่านี้ ผมสามารถช่วยได้โดยรับได้กับผลของการกินทุกข์นี้ด้วยอาการปวดหัว วิงเวียน และจะหายไปในเวลาไม่นานนัก หรือความทุกข์เหล่านี้คือเรื่องสามัญที่เราทุกคนต้องพบเจอก็อาจเป็นได้ ผมระวังที่จะแค่ปลอบใจกลับไปเท่านั้น โดยไม่อวยพรให้สำเร็จลุล่วงแบบที่ผมเคยทำให้แม่ เพราะนั่นใช้พลังมากจนตัวผมถึงกับหมดสติ และคงไม่ดีแน่หากผมจะใช้มันบ่อย ๆ


            แต่แล้วในคืนวันนั้นก็เรื่องสำคัญเกิดขึ้นกับชีวิตของเราสองแม่ลูก แม่ได้รับโทรศัพท์จากพ่อที่ไม่ได้ติดต่อกันมานาน แต่ก่อนหน้านี้พ่อเคยมาหาผม มาพิสูจน์ความสามารถที่ผมมี ทุกข์ของพ่อคืออยากได้ตำแหน่งสูงทางการเมือง ผมพูดไปว่า

            “พ่อจะได้สมความปรารถนา” เหมือนตอนที่ผมบอกว่าแม่จะได้งานใหม่ เงินเดือนมากกว่าเดิม ครั้งนั้นผมนอนซมไปหนึ่งอาทิตย์ แลกกับตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยของพ่อ แล้วพ่อก็หายไป ผมกับแม่ก็ใช้ชีวิตต่อกันมาตามปกติ แม่บ่นว่าทำไมผมถึงช่วยพ่อ ทั้งที่รู้ว่าสิ่งที่พ่ออยากได้นั้นมันมาก และผลกระทบจะต้องรุนแรง ผมจึงตอบแม่ไปว่า

            “ความสามารถที่ผมมี จะเกิดขึ้นได้อย่างไร ถ้าพ่อไม่มีส่วนช่วยให้กำเนิดชีวิตผม พ่อคือผู้สร้างตัวตนของผมให้เกิดมาในโลกใบนี้”
แม่เงียบไปครู่หนึ่งและตอบกลับมาว่า

            “ลูกมีความคิดเกินเด็ก แม่ว่าตั้งแต่ที่ลูกรู้ว่าตัวเองมีความสามารถช่วยคนอื่นได้ ลูกก็โตเกินอายุ แม่คงทำได้แค่ยอมรับความเป็นตัวตนของลูกสินะ” พูดจบแม่ก็โอบกอดผมไว้ลูบหลังเหมือนที่ผมชอบให้แม่ทำ มันให้ความรู้สึกผ่อนคลาย

            คืนนี้พ่อบอกว่าจะพาคนสำคัญมาหา ให้เราสองแม่ลูกรอ อย่าเพิ่งเข้านอน แม่บอกผมหลังจากวางโทรศัพท์จากพ่อ สีหน้าของแม่มีความกังวล ส่วนผมนั้นพอจะเดาได้ว่าความทุกข์ของคนที่พ่อจะพามานั้น คงไม่พ้นการอยากมีอำนาจ คนมีเงินแล้วก็มักจะอยากมีอำนาจ อยากมีบารมี อยากเป็นเจ้านายเหนือคนอื่น และสิ่งนี้มันเป็นสิ่งแลกเปลี่ยนที่มากกว่าความทุกข์ของคนทั่วไปมากนัก ผมเองก็ไม่มั่นใจนักว่าคนที่พ่อจะพามานั้นเขาต้องการอะไร

            สามทุ่มกว่าแล้วที่รถเบนซ์คันงามสีขาวมุกแบบที่ผมเคยชอบมอง ค่อย ๆ ขับเข้ามาจอดอย่างนิ่มนวล พ่อเดินลงมาก่อนที่ชายอีกคนจะเดินตามลงมา พร้อมคนคุ้มกันแต่งตัวในชุดเสื้อซาฟารีดูเรียบร้อยทว่าแฝงความดุดันเอาไว้อยู่ในที แม่ยืนมองเฉยเช่นเดียวกันกับผม เพราะยังไม่แน่ใจว่าคนที่มาด้วยนั้นคือใคร ความมืดของราตรีเดือนแรมที่ไร้แสงดาวทำให้มองเห็นได้ไม่ชัดนัก จวบจนพวกเขาเดินมาถึงหน้าบ้านที่มีไฟส่องสว่าง

            “ท่าน” ผมตกใจอุทานออกไป ด้วยคาดไม่ถึงว่าคนที่มาหาผมจะมีตำแหน่งใหญ่ถึงเพียงนี้

            พ่อเดินนำท่านและคนทั้งหมดเข้าบ้าน ผมกับแม่เดินตาม แม่หันมามองผมด้วยแววตาห่วงใย เพราะแม่คงรู้แล้วว่าความต้องการของท่านนั้นคืออะไร เช่นเดียวกับผมที่เดาได้เช่นกัน


            เมื่อเราทั้งหมดนั่งลงรอบโต๊ะกินข้าวที่ดัดแปลงเป็นโต๊ะรับแขก เพราะผมไม่อยากให้ใครมานั่งที่โซฟาของผม นอกจากคนสนิทเท่านั้น การรับฟังเรื่องราวต่าง ๆ เหล่านี้ เหมือนการทำงานอย่างหนึ่งของผม แม้จะไม่ได้เรียกร้องค่าตอบแทนใด ๆ แต่ก็มีหลายคนที่ยินดีตอบแทน ทั้งของกิน ของใช้ และเงิน

            เมื่อแม่นำน้ำขวดเล็กมายื่นให้ทุกคนแล้ว ก็ถึงเวลาสำคัญ

            “ทำยังไงก็ได้ให้ผมได้เป็นอีกสมัย แล้วผมจะให้ทุกอย่างที่ต้องการ”

            ผมมองหน้าท่าน ด้วยสีหน้าเรียบเฉย เงียบ นิ่งคิด ผมรู้ว่าท่านมีอำนาจจะให้ในสิ่งที่สัญญาได้ แต่สิ่งที่ร้องขอผมไม่รู้เลยว่าต้องแลกกับอะไร ขนาดแค่อาชีพการงานปกติของแม่ผมยังหมดสติไปเกือบครึ่งชั่วโมง แล้วนี่สิ่งที่ท่านร้องขอตำแหน่งสูงสุดของประเทศ ผมจะต้องแลกด้วยสิ่งที่หนักหนาสาหัสมากแน่ ๆ ผมนิ่งคิด ขณะที่ทุกคนในห้องเงียบ เป็นสภาวะที่อึดอัด บรรยากาศรอบ ๆ ตัวเหมือนข้นหนัก ทำให้หายใจไม่ปลอดโปร่ง ผมนิ่งหลับตาไปอยู่ครู่ใหญ่ จนมืออันนุ่มอ่อนโยนของแม่ยื่นมาบีบมือ ผมจึงหลุดจากห้วงคิด และผมได้คำตอบในใจแล้ว


            แม่ยืนส่งคนพวกนั้นออกจากบ้าน เดินไปปิดประตูรั้ว แล้วเดินกลับมานั่งข้างผมตรงโต๊ะหินอ่อนข้างซุ้มดอกแก้ว กลิ่นหอมของมันชื่นใจผมยิ่งนัก ผมสูดลมหายใจเจือกลิ่นหอมนั้นเข้าปอดอย่างสุขใจ...ผมไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่ผมเลือกนั้นถูกหรือผิด ผมรู้แค่ว่าผมอยากช่วยคนทั่วไปที่มีความทุกข์แบบสามัญไปเรื่อย ๆ นาน ๆ ดีกว่าช่วยจะคนเพียงคนเดียวเพียงเพื่อสนองความอยากได้ใคร่มี และผมมั่นใจว่าผมตัดสินถูกที่สุดแล้ว เพราะพลังที่ผมมีคงไม่พอสำหรับความกระหายในอำนาจของใคร...

เนื้อหาโดย: อักษราลัย
⚠ แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม 
อักษราลัย's profile


โพสท์โดย: อักษราลัย
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
5 VOTES (5/5 จาก 1 คน)
VOTED: maddog2565
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
เงินดิจิทัล 10,000 บาท เฟส 3 มาแน่! คนทั่วไปรับผ่านดิจิทัลวอลเล็ต กระตุ้นเศรษฐกิจปี 2568คนดูยังท้อ!! หนุ่มทำคอนเทนต์ตามล่า “ ช็อกโกแลตดูไบ” ในเซเว่น หาทั้งจังหวัด 23 สาขา ก็ยังไม่มี แต่สุดท้ายได้ลองสมใจชั่วขณะสุดท้ายของชีวิต หากถูกประหารด้วยกิโยติน เราจะรู้สึกอย่างไร?รู้หรือยัง? ภู ภูริวัจน์ นักแสดงรุ่นใหญ่ มีอีกบทบาทคือเจ้าหน้าที่ตำรวจยศไม่ธรรมดาเพจดังเปิดภาพพระสงฆ์ ควงแขนผู้ชาย ชาว เน็ตวิจารณ์ยับเชน ธนา การเงินวิกฤตหนัก ตัดใจประกาศขายออฟฟิศ 3 ตึก ราคารวมเกือบร้อยล้านคลิปไวรัล คุณยายวัย 95 ปี หัวเราะจนหงายหลัง ชาวเน็ตเเห่ถามคุณยายเป็นอะไรวันสุดท้ายแล้วสำหรับงานกาชาด 2567 ร้อนแรงทะลุสวนลุม! "ตำรวจตกน้ำ" ไฮไลต์เด็ดที่ทุกคนต้องไม่พลาดเจ้าหนี้วัย 62 ปี ผูกคoเสียชีวิต ประชด หลังลูกหนี้ที่ทำงานราชการอยู่เทศบาลกินหรูอยู่สบาย ลั่น“ชีวิตกูพังเพราะมึงBaby V.O.X เกิร์ลกรุ๊ประดับตำนานของเกาหลี คัมแบ๊กในรอบ 14 ปี นำโดย 'ยุนอึนเฮ'ฮือฮาเหนือท้องฟ้าประเทศไทยหลายพื้นที่! แห่สงสัย มนุษย์ต่างดาว?เฮ! มาแล้ว! "เงินดิจิทัลวอลเล็ต" กลับมาแน่! รัฐบาลจัดหนัก ลงงบฯ ปี 69 เตรียมรับทรัพย์กันได้เลย!
Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
สั่งพักงานยกชุด! 18 ตำรวจจราจร ปมตั้งโต๊ะจับปรับ 'เจอจ่ายจบ'"Baby V.O.X เกิร์ลกรุ๊ประดับตำนานของเกาหลี คัมแบ๊กในรอบ 14 ปี นำโดย 'ยุนอึนเฮ'คลิปไวรัล คุณยายวัย 95 ปี หัวเราะจนหงายหลัง ชาวเน็ตเเห่ถามคุณยายเป็นอะไรน้ำจิ้มซีฟู้ดแบบสำเร็จรูปทำไมใช้แต่พริกสีเขียว
กระทู้อื่นๆในบอร์ด เรื่องสั้น
มาเล่นกันเถอะเรื่องสั้นระทึก คืนหวามเงาในความทรงจำมือที่เยียวยา
ตั้งกระทู้ใหม่