ผีนางรำ ขอข้าว
โรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่ง มีเรื่องลี้ลับสยองที่เล่าต่อกันมาเป็นทอดๆ ว่าด้วยผีนางรำที่หลอกป้าคนหนึ่งได้อย่างแนบเนียนโดยการให้เป็นนายหน้าหางานแสดงละครรำ ทุกครั้งที่คณะนางรำทำการแสดงเสร็จ ก็จะขอเพียงอาหารหนึ่งสำรับใหญ่ และอาศัยคำเชิญชวนจากกลิ่นธูปเท่านั้น
ท้าวความไปเมื่อสิบปีก่อน มีนางรำโรงเรียนคณะหนึ่งประมาณ 6-7คน พร้อมครูสาวผู้ฝึกซ้อมชื่อว่า “ครูฝน” เธอกำลังขับรถกระบะคันเก่ามุงหน้าตรงไปยังสถานที่จัดงานประจำปี ทุกคนยิ้มร่าแต่งองค์ทรงเครื่องสะสวย พูดคุยกันอย่างสนุกสนานตามประสา
เมื่อถึงช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านจากไฟแดงเป็นเขียวครูฝนเหยียบคันเร่งไปตามปกติ แต่ทว่ารถบรรทุกสิบล้อจากสี่แยกของอีกฝั่งผ่าไฟแดงมาด้วยความเร็วสูง เกิดปะทะกันเข้าเต็มๆ จนรถของคณะนางรำโรงเรียนเกิดพลิกคว่ำสองตลบกระเด็นตกร่องข้างถนนไปในที่สุด ในโชคร้ายไม่มีความโชคดีเหลือแม้แต่น้อยนิด เด็กๆ ทุกคนเสียชีวิตอย่างน่าอนาถในชุดนางรำรวมถึงครูฝน
ณ บ้านพักครูที่ตัวอาคารทำจากไม้ทั้งหลัง เก่า แต่แลดูสะอาดสะอ้าน ตั้งอยู่ติดริมแปลงเกษตรสาธิตของโรงเรียน ซึ่งรายล้อมไปด้วยป่าจึงทำให้ดูเปลี่ยว
“ป้าจันทร์” คือป้าที่อยู่ข้างโรงเรียนกำลังนั่งสนทนาตามปกติอยู่กับครูฝน แกมีหน้าที่เป็นนายหน้าหางานรำให้กับเด็กในชมรมนาฏศิลป์โดยติดต่อผ่านครูฝนผู้รับผิดชอบดูแล ฝึกซ้อม
บรรดานางรำทั้งหลาย ป้าจันทร์จะได้ค่านายหน้าทั้งหมด 1,000 บาท ต่อหนึ่งงาน แต่ทว่าๆ ครูฝนและเด็กๆจะรับงานเพียงแค่ยามวิกาลเท่านั้น เพื่อขอเพียงแค่ข้าวปลาอาหารสำรับใหญ่ และวานให้ป้าจันทร์จุดธูปหนึ่งดอกทุกครั้งด้านหลังเวที
ป้าจันทร์ได้ขี่จักรยานมาเจรจางานกับครูฝนตามปกติ
ป้าจันทร์ : ครูฝน พรุ่งนี้มีรำงานศพวัดโนนตาทัย เขาติดต่อมาด่วน ซ้อมทันหรือเปล่า
ครูฝน : ทันจ้ะป้า
นี่คือครั้งที่สามสำหรับการเป็นนายหน้าหางานของป้าจันทร์ สิ่งที่น่าแปลกใจก็คือไม่ว่าจะงานไหนๆ เวลากระชั้นชิดเพียงใดครูฝนจะรับเอาไว้หมด
หรือแม้แต่คิวชนกันก็ตาม หลังจากนั้นป้าจันทร์ก็ขี่จักรยานกลับบ้านตามปกติ
ครูอุทัยที่บ้านอยู่ใกล้ประตูทางเข้าโรงเรียนกล่าวทักป้าจันทร์ตามประสาสาวแก่หันมายิ้มให้ปกติ เฉกเช่นทุกวัน
ความไม่ปกติของเรื่องนี้ก็คือ บรรดาครูและนักเรียนที่ยังคงใช้ชีวิตหลังเวลาราชการอยู่ที่โรงเรียน จะเห็นป้าจันทร์แกขี่จักรยานมาที่บ้านพักครูหลังติดแปลงเกษตรทุกวัน และมีผักบุ้ง พริก มะนาวห้อยไว้ที่หน้ารถจักรยานญี่ปุ่นคันเก่าทั้งที่ความจริงไม่มีอะไรเลย
ทุกคนเข้าใจว่าแกมาเก็บพืชผักสวนครัวที่เด็กๆปลูกไว้ไปทำเป็นมื้อค่ำ เนื่องด้วยป้าจันทร์อายุมากแล้ว ใช้ชีวิตตามลำพัง
ผอ.จึงอยากจุนเจือช่วยเหลือให้แกได้มีกิน จึงอนุญาตให้เก็บผักสวนครัวทั้งหลายไปได้ ไม่มีใครทราบมาก่อนว่าแท้จริงแล้วป้าจันทร์มาหาครูฝน
พลบค่ำของเย็นวันงานศพ ครูฝนและเด็กๆพากันยกขบวนแต่งองค์ทรงเครื่องประดับประดาตามประสานางรำ
ป้าจันทร์ที่มารออยู่ก่อนหน้าทำการจัดเตรียมสำรับข้าวปลาอาหารตามปกติ และสิ่งสำคัญคือธูปหนึ่งดอกเช่นทุกครั้งที่ผ่านมา
หลังจากทุกคนทำการแสดงเสร็จจึงย้ายมาที่โต๊ะรับประทานอาหารที่หญิงแก่จัดเตรียมเอาไว้เสร็จสรรพ
ครูฝน : ป้าจันทร์ขอบคุณมากๆนะจ๊ะ วันนี้ได้กินของอร่อยอีกแล้ว
ป้าจันทร์ : กินเยอะๆนะลูก
ครูฝน : นี่จ้ะป้า 1,000 บาท เก็บไว้นะจ๊ะ
ครูฝนยื่นธนบัตรฉบับเทาให้แก่ป้า เด็กๆเองก็พากันยิ้มร่านั่งทานอาหารอย่างมีความสุข นั่นคือภาพที่ป้าจันทร์เห็น แต่สำหรับเจ้าภาพในงานเขาไม่พบว่ามีใครสักคนนั่งอยู่ที่ตรงนั้น นอกจากป้าแก่ๆชื่อจันทร์
พลบคล่ำของวันถัดมา ครูชม้ายคนเก่าคนแก่ของโรงเรียนนี้ พาครูอุทัยเดินไปยังแปลงเกษตร เพื่อหวังจะเก็บเอาผักบุ้งมาผัดไฟแดงเสียหน่อย
แกมองไปที่บ้านพักครูหลังเก่าทรุดโทรมก็เห็นป้าจันทร์นั่งจ้อพูดอยู่ตามลำพัง จะว่าคุยโทรศัพท์ก็ไม่ใช่ สองครูจึงพากันแอบดูอยู่ห่างๆ หญิงแก่พูดเป็นตุเป็นตะอยู่ชั่วคู่ก่อนหันมาควบพาหนะคู่ใจ และปั่นออกไปได้ไม่ไกลก็ต้องหยุดเพราะเสียงเรียกร้อง
ครูอุทัย : ป้าจันทร์วันนี้ไม่ได้ผักไปหรอ เห็นแวะบ้านพักครูอยู่นานสองนาน
ป้าจันทร์ : ไม่ได้จ้า พอดีมาติดต่อครูฝนให้พาเด็กๆไปรำไง
ได้ยินดังนั้นครูชม้ายที่มาพร้อมครูอุทัยถึงกับขนลุกซู่ เบิกตาโพล่ง สะกิดแขนครูอุทัยอย่าแรง
ครูชม้าย : อุทัยๆพี่มีอะไรจะเล่าให้ฟัง ไปคุยกันที่บ้าน
ครูอุทัยเกาหัวแกรกๆ งงทั้งในคำพูดของป้าจันทร์และท่าทีของครูชม้าย
ครูอุทัย : ป้าจันทร์ว่ายังไงนะครับ
ครูอุทัยยังคงติดใจสงสัย
ครูชม้าย : ป้าแวะบ้านผมหน่อยนะครับ ผมมีเรื่องต้องคุย
สถานการณ์ตอนนี้อยู่ในความคราแคงใจ ทั้งสามคน พากันไปยังบ้านพักหลังติดประตูทางเข้าโรงเรียนก่อนครูชม้ายจะเริ่มเปิดประเด็น
ครูชม้าย : ป้าครับ ในฐานะผมอยู่ที่โรงเรียนนี้มา ผมรู้ว่าป้าเพิ่งย้ายมามาอยู่ทีหลังไม่กี่ปี รวมถึงครูอุทัยด้วย ครูรู้ไหม ทำไมโรงเรียนเราไม่มีนางรำนาฏศิลป์เหมือนที่อื่น
ป้าจันทร์ได้ยินดังนั้นจึงร้องอ้าว งงในคำพูดของครูชม้าย
ครุอุทัย : เนี่ยพอพี่พูดผมก็สงสัยขึ้นมา และงงว่าป้าจันทร์พูดอะไร
ครูชม้าย : ป้าครับ โรงเรียนเราไม่มีนางรำนะครับ นับตั้งแต่เมื่อ 10 ปี ก่อน ที่คณะนางรำชุดสุดท้ายของโรงเรียนเราประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตขณะไปงานประจำปี และคนที่จะมาเป็นนางรำต่อจากพวกเธอก็จะเป็นบ้าเป็นหลังหมดทุกคน
ป้าจันทร์ได้ยินดังนั้นก็ขนลุกซู่ รวมถึงครูอุทัยที่พอจะเข้าใจเรื่องราวขึ้นมา
ครูชม้ายเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ทั้งสองคนฟังจนครบใจความ ฝ่ายป้าจันทร์เองก็เล่าเรื่องราวที่ตนถูกหลอกให้เป็นนายหน้าแลกกับการขอข้าวให้สองครูฟัง
ความหวาดกลัวเริ่มก่อตัวขึ้นเป็นวงกว้างเมื่อข่าวแพร่สะพัดไปยังหูของบรรดาบุคลากรภายในโรงเรียน ไม่มีใครกล้าย่ำเท้าไปยังแปลงเกษตรสาธิต
คาดว่าครูฝนและผีนางรำรู้เรื่องดังกล่าวแล้ว จึงโกรธเอาเป็นเอาตายฐานที่ทุกคนขัดขวางไม่ให้ดวงวิญญาณอันหิวโหยพวกเขาได้กินข้าวกินน้ำ จึงก่อเหตุอาละวาดหลอกหลอนผู้คนไปเรื่อย
โดยเฉพาะต้นเรื่องอย่างครูชม้ายซึ่งถูกผีนางรำเด็กนักเรียนตนหนึ่งในชุดไทยสีแดง มาพร้อมใบหน้าขาวซีดและเสียงดนตรีไทยโหยหวนยืนตั้งวงแสยะยิ้มอย่างน่าสยดสยอง หวังจะฆ่าครูชม้ายแต่ทำไม่ได้ จึงก่อนกวนจนไม่ได้หลับแทบทั้งคืน
วันรุ่งขึ้น ผอ.รีบหาให้คนมารื้อบ้านหลังดังกล่าวทิ้งและพบกับสาเหตุที่ทำให้พวกเธอออกมาจากการถูกสะกดได้ นั่นก็คือผ้ายันหายไป
ต่อด้วยการทำพิธีอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้วิญญาณนางรำไปสู่สุคติ ซึ่งไม่เคยทำให้พวกเธอมาก่อน เด็กๆ และครูฝนไม่เคยทำร้ายใครที่ไหนสำเร็จ
แต่ทว่าทำบุคลากรในโรงเรียนต่างหวาดกลัวและอยู่ยาก การรื้อบ้านพักครูสุดหลอนหลังดังกล่าวทิ้งนับเป็นวิธีที่ดีที่สุด เพื่อจบสิ้นเรื่องราวทั้งหมด