นิยายยาว เมืองกรุง
เมืองกรุง ... เมืองแห่งโอกาส เมืองที่คนต่างใฝ่ฝันอยากมา บ้างมาเพื่อร่ำเรียนศึกษา บ้างมาเพื่อหางานทำ พวกเขาฝันถึงชีวิตที่ดีกว่า ฝันถึงชีวิตที่มั่งคั่ง มีกี่คนที่สุขสมหวัง มีกี่คนที่ต้องกลับไปเฉกเช่นนกปีกหัก
แต่คนรุ่นแล้วรุ่นเล่าก็ยังฝันจะมาเมืองกรุง เพราะหวังว่าเมืองกรุงจะเป็นเมืองที่ให้โอกาส ให้ความหวัง และให้ความสำเร็จกับพวกเขาได้ เด็กหนุ่มในเรื่องนี้ก็เช่นกันเขามาเพื่อแสวงหาอนาคต และอยากให้พ่อแม่สุขสบาย เขาจะทำได้สำเร็จตามปรารถนาหรือไม่ และเมืองกรุง...มีอะไรรอเขาอยู่
ขอเชิญพบกับเรื่องราวของ “เมืองกรุง” ค่ะ
บทที่ 1
ท้องฟ้าคืนนี้ดูหมองหม่นมัว แม้จะมีแสงของดวงดาวระยิบระยับพร่างพราย ล้อกับแสงของดวงจันทร์นวลที่สว่างสดใส คงเหมือนกับใจของเด็กหนุ่มที่ตัดสินใจบากหน้าไปหางานทำในเมืองหลวง เมืองกรุง... เมืองในฝันของคนต่างจังหวัดเช่นเขา กล้า...ยืนทอดสายตาไปเบื้องหน้าอย่างครุ่นคิด ข้างกายของเขามีกระเป๋าเดินทางใบโตที่บรรจุเสื้อผ้านับจำนวนชิ้นได้ไม่เกินสิบ หากแต่มันเต็มไปด้วยหนังสือหลายสิบเล่มและอัดแน่นไปด้วยความหวัง
เขาถอนหายใจหันกลับมามองสภาพโดยรอบของบ้าน หลังคาสังกะสีเก่าผุพังมีรอยปะชุนซ่อมแซม ส่วนครัวที่แม่ใช้ทำกับข้าว พื้นเริ่มโย้แยกออกจากตัวบ้าน ไม้ที่ทำเสาแต่ละต้นมีรอยปลวกแทะ คงจะล้มพังครืนลงสักวัน คนอื่นคงเรียกมันว่ากระต๊อบ ด้วยสภาพอย่างที่เห็น พ่อกับแม่นั่งกันอยู่ตรงกลางบ้าน ตรงหน้ามีธนบัตรเก่า ๆ ใบละยี่สิบ และเหรียญนานาชนิด
พ่อค่อย ๆ คลี่ความยับยู่ยี่ของแบงก์ยี่สิบในมือ คลายออกจนเป็นแผ่นใหญ่ เอามือหยาบกร้านแตกระแหงค่อย ๆ รีดมันกับพื้นให้คลายความยับ ส่วนแม่นั่งคัดแยกเหรียญตามชนิด เหรียญสิบเหรียญห้าอยู่หนึ่งกอง เหรียญบาทอีกหนึ่งกอง ทั้งคู่มองดูจำนวนเงินแล้วทอดถอนหายใจ หันมามองเขาด้วยแววตาเปี่ยมรักและห่วงใย เขามองใบหน้าเหี่ยวย่นหยาบกร้านของพ่อและแม่แล้วถอนใจเช่นกัน ... ที่เขาตัดสินใจมันถูกที่สุดแล้ว
“มีอยู่ทั้งหมดเก้าร้อยแปดสิบ จะพอเหรอ” พ่อพูดขึ้นด้วยสีหน้าและแววตาอมทุกข์
“เงินแค่นี้ แกจะอยู่ได้สักกี่วัน”
“แค่นี้ก็ดีถมไปแล้วพ่อ ยังไงผมก็จะไป กระเป๋าก็จัดแล้ว ทุกอย่างเตรียมไว้แล้ว จะรื้อกลับออกมาได้ยังไง ยังไงก็ต้องเดินหน้า” เขาตอบกลับพร้อมกับเดินเข้าไปทรุดกายลงข้างพ่อกับแม่ แล้วเอาตัวนอนหนุนตักแม่อีกครั้งแม้แขนขาจะยาวเลยตักอุ่นของแม่ออกไปไกล เขาเหลือบสายตาขึ้นมองหน้าแม่ หยดน้ำที่คลออยู่รอบนัยน์ตาเจียนจะหยดลงมานั้นบ่งบอกความนัย หากแต่ไม่มีคำพูดใดหลุดออกมาแม้สักคำเดียว
“ความฝันของแกที่จะไปตามหา แกมั่นใจแล้วหรือ อยู่บ้านเราแม้จะไม่มีเงิน ผักหญ้าก็ยังมี ยังไงก็ไม่อดตาย” น้ำเสียงพ่อแผ่วเบาด้วยหวังจะทัดทาน
“ผมจะไปหามัน เหมือนที่คนอื่นทำ แค่กินอยู่คงไม่พอ สภาพบ้านแบบนี้จะอยู่ได้อีกนานแค่ไหน” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่น
“พ่อถามแกจริง ๆ เถอะ แกจะไปตามหาอะไรกันแน่”
“ความสะดวกสบาย เงินทองที่กองอยู่มาก มายรอไปเก็บเกี่ยวไงพ่อ คือความฝันของผม”
พ่อพยักหน้ารับรู้และไม่พูดอะไรอีก เพียง แต่หันไปมองกระเป๋าใบนั้นแล้วถอนหายใจ
*****
ดึกแล้วน้ำค้างพร่างพรม...เสียงลมยามราตรีที่มืดมิดหวีดหวิวกรีดลึกเข้าไปในความรู้สึกของชายหญิงที่นอนมองหน้ากันเงียบ ๆ ในความมืด น้ำเสียงแผ่วเบาปนสะอื้นเอ่ยขึ้น
“พี่จะไม่ห้าม จะปล่อยให้ลูกไปอย่างงั้นเหรอ”
ผู้เป็นผัวไม่ตอบ แค่เพียงพยักหน้า และเอื้อมมือไปเกาะกุมมือของหล่อนไว้ บีบมือแตกกร้านนั้นแผ่วเบา ลูบไล้ไปบนตุ่มไตของความกร้านแต่ละนิ้วนั้นอย่างเลื่อนลอย จมอยู่ในภวังค์
“เก้าร้อยแปดสิบ จะไปได้ไกลแค่ไหนกัน ฉันเป็นห่วงลูก” หล่อนเอ่ยอีกครั้ง
*****
ปีนี้ลูกชายคนเดียวของหล่อนอายุสิบเก้า เรียนจบมัธยมศึกษาปีที่หกแล้ว เขาเป็นหนุ่มน้อยที่มีรูปร่างกำยำแข็งแรง แม้จะมีผิวคล้ำแต่ก็ดูหล่อเหลาไม่เบา ผิวพรรณก็เรียบเนียนเพราะหล่อนดูแลเขาอย่างดี โดยเฉพาะนัยน์ตาเคลิ้มฝันนั้น เป็นแววตาแบบที่หล่อนเคยเห็นมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อนานมา ในวันที่ลูกบอกความฝันกับหล่อน ด้วยเหตุผลสารพันที่ยกมาเอ่ยอ้าง หล่อนพยายามทัดทาน ด้วยรู้ดีว่าลูกคนยากคนจนแบบพวกหล่อน จะไปได้ไกลสักเพียงไหน จะมีที่ทางตรงไหนให้ไปไขว่คว้ากันได้เล่า เมืองกรุงที่ลูกหวังไปตามหาความฝันไม่ใช่สิ่งง่ายที่จะสมหวัง ด้วยลูกชายหล่อนไม่ใช่คนแรกที่ปรารถนาสิ่งนี้
“พี่ ... มันเป็นยังไงเมืองกรุง การกินการอยู่ จะลำบากแค่ไหน ฉันเป็นห่วงลูก”
ผู้เป็นผัวไม่ตอบหล่อน แต่กลับมีภาพเด็กหนุ่มอีกคนฉายทาบทับมาในความคิดคำนึง เด็กหนุ่มคนนั้นกับกระเป๋าสะพายใบย่อม ความรู้เพียงชั้นประถมสี่ หากแต่แววตานั้นมีความฝันความหวังปรารถนาแรงกล้าไม่ต่างกัน หนุ่มน้อยคนนั้นเข้าเมืองกรุงไปกับรถตู้ขนส่งที่มาส่งของเป็นประจำในหมู่บ้าน การอาศัยติดรถไปทุ่นค่าเดินทางไปได้หลายบาท เมืองกรุงยามนั้น รถรายังไม่ขวักไขว่ เด็กหนุ่มคนนั้นมุ่งตรงไปวัดตามคำแนะนำของรุ่นพี่ผู้กลับมาอย่างมั่งคั่ง จุดประกายไฟฝันให้เขาก้าวเดินตาม เขากินอยู่ที่วัดกับหลวงพ่อผู้เมตตา หากแต่งานที่เขาได้ทำก็แค่กรรมกรแบกหาม มองไม่เห็นทางร่ำรวยใด ๆ นับวันความฝันของเขาก็เริ่ม โรยรา พร้อมกับร่างกายที่ทรุดโทรมลง หนทางข้างหน้าที่เคยมองว่าสดใส กลับมีแต่เมฆหมอกอึมครึม จนถึงวันที่เขาได้ข่าวว่ารุ่นพี่ผู้มั่งคั่งถูกจับด้วยข้อหาค้ายาเสพติด เมื่อนั้นเขาจึงบรรลุ หาใช่เมืองกรุงและอาชีพสุจริตไม่ที่ทำให้คนจนแบบพวกเขาร่ำรวย เมื่อนั้นเขาจึงลาหลวงพ่อกลับบ้าน กลับมาหาหล่อนผู้เป็นที่รัก หล่อนรอเขามาหมั้นหมายด้วยทองสองบาทที่เคยฝัน หากเขาทำให้หล่อนได้เพียงแค่ผูกข้อไม้ข้อมือ กับบ้านโกโรโกโส และที่ดินเพียงสิบไร่
วันที่ลูกเดินมาบอกถึงแรงปรารถนา...ผู้เป็นพ่อจึงไม่กล้าเอ่ยปากทัดทาน ด้วยน้ำเสียงและแววตานั้นช่างคุ้นชินและเคยสัมผัสมันมาก่อน ผู้เป็นพ่อได้แต่หวังว่าหลายปีที่ผันผ่านจะมีความเปลี่ยนแปลง จะมีโอกาสให้คนแบบพวกเขา เมืองกรุงยังคงเป็นแหล่งให้ไปตามหาฝัน ฝันของคนยากจนแบบพวกเขา
ผู้เป็นผัวหันไปมองหน้าหล่อน เอ่ยขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบา “มันอาจเป็นไปได้ มันอาจจะสำเร็จ ลูกอาจทำได้ดีกว่าพี่ ทุกอย่างอาจเปลี่ยนไป เมืองกรุงไม่มีโอกาสให้พี่ แต่อาจมีสำหรับลูกของเรา เราต้องเชื่อมั่น แม้ว่ามันจะเลือนราง” คำพูดที่เอ่ยออกไปนั้นผู้เป็นผัวไม่ได้เอ่ยเพื่อปลุกปลอบหล่อนหรอก มันสำหรับปลุกปลอบใจตัวเขาเองมากกว่า... และวันนี้ผู้เป็นพ่อหวังจะได้ร่วมฝันนั้นอีกครั้ง และคิดว่าฝันนี้มันจะเป็นจริงได้ในรุ่นลูกของเขา
ในอีกด้านของความมืด เด็กหนุ่มนอนฟังเสียงลมหวีดหวิวด้วยอีกความรู้สึก พรุ่งนี้เขาจะไปกับลุงชาติคนขับรถส่งของที่เคยพาพ่อเขาเข้ากรุงไปในคราก่อน เขาหวังเหลือเกินว่าครั้งนี้ทุกอย่างจะแปรเปลี่ยนไป เมืองกรุงที่ไม่ว่ายังไงก็ยังคงเป็นแหล่งตามหาฝันของคนรุ่นต่อรุ่น ฝันของพวกเขาชาวบ้านต่างจังหวัด ที่อยากไปเสาะแสวงหา ... เงินตรา และความเท่าเทียม เขาว่ามันมีอยู่ ณ ที่แห่งนั้น
*****
เช้าวันนั้นพวกเขาตื่นกันแต่เช้า ไอหมอกยังคงอ้อยอิ่งอยู่บนยอดหญ้า สายลมแผ่วเบาพัดมาต้องผิวกาย ให้ลมเย็นสดชื่น ทิวทุ่งนาลิบ ๆ ที่มองเห็นอยู่ไม่ไกล เขามองมันอย่างอาลัย กล้าถือกระเป๋าขึ้นพาดสะพายบนบ่า ในมือกำถุงพลาสติกที่แม่มัดรวมกันทั้งแบงก์และเหรียญไว้ในนั้น ยกมือขึ้นไหว้ลาพ่อกับแม่ด้วยสีหน้าเด็ดเดี่ยว แต่ดวงตามีน้ำเอ่อคลอ ไม่ว่าเมืองกรุงที่รอเขาอยู่จะเป็นยังไง เขาก็จะมุ่งไป
เขาจะไปเพื่อพ่อกับแม่อันเป็นที่รักของเขา เขาต้องทำได้ คิดอย่างตั้งใจก่อนจะเดินขึ้นรถไป