เรื่องเล่าของสองพี่น้อง...
เรื่องเล่าของสองพี่น้อง...
ฉันเกิดในหมู่บ้านบนภูเขา ที่ห่างไกลผู้คนแต่ละวัน พ่อแม่ของฉันต้องพรวนดินในไร่ ท่ามกลางแดดที่ร้อนระอุ ฉันมีน้องชายอยู่หนึ่งคน อายุน้อยกว่าฉัน 3 ปี...
วันหนึ่งฉันขโมยเงินของพ่อ เพื่อไปซื้อผ้าเช็ดหน้าที่เพื่อนๆของฉันมีกัน จากนั้นพ่อก็รู้เรื่องพ่อให้ฉันกับน้องคุกเข่าหันหน้าเข้าหากำแพงโดยที่ในมือพ่อมีก้านไม่ไผ่อยู่หนึ่งก้าน
"ใครขโมยเงินไป" พ่อตวาด
ฉันกลัวมาก ไม่กล้าพูดอะไรออกไป น้องชายฉันก็เช่นกัน...
พ่อจึงเอ่ยขึ้นว่า "ก็ได้ ในเมื่อไม่มีคนรับสารภาพ ก็ต้องโดนลงโทษทั้งคู่นั่นล่ะ"
พ่อชูก้านไม้ไผ่ในมือขึ้นทันใดนั้น น้องชายของฉันก็ลุกขึ้น คว้าข้อมือของพ่อไว้แล้วพูดว่า "ผมขโมยเองครับ"ก้านไม้ไผ่ก้านนั้นได้กระหน่ำ ลงบนหลังของน้องของฉันอย่างต่อเนื่อง... พ่อโกรธมาก พ่อตีน้องของฉันไม่หยุดจนพ่อหอบด้วยความเหนื่อย พ่อนั่งลงบนเก้าอี้ และด่าว่าน้องชายของฉัน "ของคนในบ้านแกเอง แกยังขโมยได้ต่อไปแกจะทำชั่วอะไรอีก แกน่าจะโดนตีให้ตาย ไอ้หัวขโมย!!"
คืนนั้น ฉันกับแม่กอดน้องชายของฉันไว้ หลังของน้องมีแผลเต็มไปหมด แต่เขาไม่ได้ร้องไห้แม้แต่น้อย กลางดึกคืนนั้น ฉันนอนร้องไห้เสียงดัง และ นานมาก...
น้องเอามือเล็กๆ ของเขามาปิดปากฉันไว้ แล้วพูดว่า"พี่ครับ ไม่ต้องร้องไห้นะมันผ่านไปแล้ว" ยังไงฉันก็อดที่จะเกลียดตัวเองไม่ได้ ที่ไม่มีความกล้าจะบอกความจริงกับพ่อ
หลายปีผ่านไป แต่เหมือนกับว่าเหตุการณ์มันเพิ่งเกิดเมื่อวานนี้เอง ฉันไม่อาจลืมคำพูดของน้องชายตอนที่เขาปกป้องฉันได้เลย ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 8 ปี ส่วนฉันอายุ 11 ปี...
เมื่อตอนที่น้องชายของฉันใกล้จบ ม.ต้น เขาได้รับการตอบรับจากโรงเรียน ม.ปลาย ว่าเขาสอบได้ ในขณะที่ฉันซึ่งใกล้จบ ม.ปลาย ก็ได้รับการตอบรับจากมหาวิทยาลัยของจังหวัดเช่นกัน
คืนนั้น พ่อได้นั่งสูบบุหรี่อยู่ที่สวนหลังบ้าน ฉันแอบได้ยินพ่อพูดว่า "ลูกเราทั้งคู่เรียนดีเรียนดีมากนะ" แม่ซึ่งนั่งเช็ดน้ำตาอยู่ข้างๆ... พ่อได้พูดว่า "แล้วเราจะส่งเสียลูกทั้งคู่ได้อย่างไร ในเมื่อเราก็ไม่ค่อยมีเงิน"
ทันใดนั้น น้องชายของฉันได้เดินเข้าไปหาพ่อ แล้วพูดว่า "ผมไม่ต้องการเรียนต่อ ผมอ่านหนังสือมามากพอแล้ว" พ่อเหวี่ยงมือตบลงที่แก้มของน้องของฉันฉาดใหญ่ "ทำไมถึงคิดโง่ๆ อย่างนี้ ต่อให้พ่อต้องไปเป็นขอทานข้างถนน พ่อก็จะส่งแกทั้งคู่เรียนจนจบให้ได้"
คืนนั้นทั้งคืน พ่อได้เดินไปตามบ้านต่างๆ ทั่วทั้งหมู่บ้าน เพื่อขอยืมเงิน ฉันค่อยๆ เอามือประคบแก้มบวมๆ ของน้องชายเบาๆ และ คิดว่า "ต้องให้น้องได้เรียนต่อไม่เช่นนั้น เขาคงไม่อาจหลุดพ้นชีวิตลำบากเช่นนี้ไปได้" แต่ในขณะเดียวกัน ฉันก็ไม่อาจล้มเลิก
ความคิดอยากจะเรียนต่อไปได้ ใครจะรู้ได้... วันต่อมาในตอนเช้ามืด น้องชายของฉันได้ออกจากบ้านไปพร้อมทั้งเสื้อผ้าติดตัวเพียงไม่กี่ชิ้น และ ถั่วเพียงเล็กน้อย เพื่อประทังความหิวก่อนไป เขาได้ทิ้งข้อความไว้ใต้หมอนของฉัน ในขณะฉันกำลังหลับอยู่ โดยข้อความมีใจความว่า "พี่ครับ การจะเข้ามหาวิทยาลัยได้ ไม่ใช่ง่ายๆนะ... ผมจะไปหางานทำแล้วจะส่งเงินมาให้พี่"
ฉันนั่งอยู่บนเตียง อ่านข้อความของน้องชาย ด้วยน้ำตานองหน้า... ฉันร้องไห้จนเสียงแหบแห้งไป ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 17 ปี ส่วนฉันอายุ 20 ปี ... ด้วยเงินที่พ่อยืมมาจากคนในหมู่บ้าน รวมกับเงินที่น้องชายของฉันได้รับเป็นค่าจ้างมาจากการทำงาน เป็นกรรมกรแบกหามที่ไซท์ก่อสร้าง... ฉันจึงสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้จนถึงปี 3
วันหนึ่งขณะที่ฉันกำลังอ่านหนังสืออยู่ในห้องพัก เพื่อนร่วมห้องของฉันได้เข้ามาบอกว่า "มีชาวบ้านมาหาเธอ
อยู่ข้างนอกแน่ะ" ทำไมชาวบ้านถึงมาหาฉันล่ะ???
ฉันเดินออกไปแล้วมอง ฉันเห็นน้องชายของฉันกำลังยืนอยู่ ตัวของเขาเปรอะเปื้อนไปด้วย ฝุ่น ปูน และ ทราย จากไซต์งานก่อสร้าง... ฉันถามเขาว่า "ทำไมไม่บอกเพื่อนพี่ไปว่า เป็นน้องชายพี่ล่ะ!!" น้องชายของฉันตอบยิ้มๆ ว่า "ก็ดูผมสิสกปรกมอมแมมออกอย่างนี้ ขืนบอกว่าเป็นน้องพี่ เพื่อนๆก็ได้หัวเราะเยาะพี่กันพอดี..."
ฉันค่อยๆ เอื้อมมืออันสั่นเทา ไปปัดฝุ่นให้น้อง และ พยายามพูดด้วยเสียงเครือๆ ในลำคอว่า "พี่ไม่สนใจว่าใครจะพูดยังไง เธอเป็นน้องของพี่ ไม่ว่าเธอจะดูเป็นอย่างไรก็ตาม..." จากนั้นน้องของฉัน ก็ได้ล้วงบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง เป็นกิ๊บหนีบผมรูปผีเสื้อ... เขาติดกิ๊บให้ฉันแล้วพูดว่า "ผมเห็นสาวๆ ในเมืองเค้าติดกัน ผมเลยอยากให้พี่ติดบ้าง"
พอฉันเห็นอย่างนั้น ฉันหมดเรี่ยวแรงลงในทันใด ดึงน้องชายเข้ามาสวมกอด และ ร้องไห้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เป็นเวลานาน ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 20 ปี ส่วนฉันอายุ 23 ปี...
วันที่ฉันพาแฟนหนุ่มของฉัน มาที่บ้านเป็นครั้งแรก ฉันสังเกตเห็นว่าหน้าต่างบ้านที่เคยแตกไป ได้ถูกซ่อมเรียบร้อยแล้ว เมื่อเข้าไปในบ้านก็เห็นว่าบ้านสะอาดขึ้นมาก หลังจากที่แฟนของฉันกลับไป ฉันพูดกับแม่ว่า "แม่ไม่ต้องเสียเงิน เพื่อทำความสะอาดบ้าน กับซ่อมกระจก เพียงเพราะหนูจะพาแฟนมาที่บ้านหรอกนะคะ"
แม่ยิ้ม แล้วพูดว่า "แม่ไม่ได้จ้างหรอก น้องชายลูกต่างหาก วันนี้เค้าขอเลิกงานเร็ว เพื่อกลับมาทำความสะอาดบ้าน ลูกยังไม่เห็นมือน้องหรอกเหรอ? น้องโดนกระจกบาด ตอนกำลังเปลี่ยนกระจกบานใหม่น่ะ!!"
ฉันรีบเข้าไปหาน้องที่ห้องนอนของเขา ฉันรู้สึกเหมือนถูกเข็มนับร้อยเล่มทิ่มลงกลางใจ เมื่อได้เห็นบาดแผลบนมือ ฉันจับมือน้องเอาไว้อย่างเบามือที่สุด "เจ็บมากไหม?" ฉันถาม... น้องของฉันตอบว่า "ไม่เจ็บสักหน่อย พี่ก็รู้นี่ผมทำงานก่อสร้างนะ วันๆมีหินตกมาใส่เท้าผมเต็มไปหมด แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผมคิดเลิกทำงานหรอกนะ และ..." น้องชายของฉันยังพูดไม่จบประโยค แต่ก็ต้องหยุดพูดเพราะ ฉันหันหน้าหนีเขา น้ำตาของฉันไหลอาบหน้าอีกครั้ง ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 23 ปี ส่วนฉันอายุ 26 ปี...
หลังจากนั้น ฉันก็ได้แต่งงาน และ ย้ายเข้าไปอยู่ในเมือง หลายครั้งที่สามีของฉันชักชวนให้พ่อแม่ของฉัน ย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองด้วยกัน แต่ท่านทั้งสองก็ปฏิเสธ ท่านบอกว่า "ท่านเคยย้ายออกจากหมู่บ้านครั้งหนึ่ง แต่เมื่อออกไปแล้วท่านไม่รู้จะทำอะไรดี? และ จึงได้ย้ายกลับเข้ามาใช้ชีวิตในหมู่บ้านตามเดิม"
น้องชายของฉันก็ไม่เห็นด้วยกับการ ที่จะให้เขาและพ่อแม่ย้ายออกไป เขาบอกกับฉันว่า "พี่คอยอยู่ดูแลพ่อและแม่ ของสามีของพี่ทางนั้นเถอะ!! ผมจะดูแลพ่อและแม่ทางนี้เอง..."
สามีฉันได้ขึ้นเป็นประธานของบริษัทของครอบครัว เราทั้งคู่อยากให้น้องชายของฉัน เข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการบริษัท แต่น้องชายของฉันก็ไม่รับตำแหน่งนี้ เขาขอเข้าทำงานในตำแหน่งพนักงานธรรมดา...
วันหนึ่ง น้องชายของฉันต้องปีนบันได ขึ้นไปซ่อมสายเคเบิ้ล และ ตกลงมาเพราะโดนไฟดูด เขาถูกรีบหามส่งโรงพยาบาล ฉันและสามีรีบไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาล น้องชายของฉันขาหักต้องเข้าเฝือกที่ขา... ฉันโกรธมาก จึงตวาดน้องไปว่า "ทำไมถึงไม่ยอมรับตำแหน่งผู้จัดการ ห๊ะ!!! ถ้าเป็นผู้จัดการก็จะได้ไม่ต้องมาทำงานเสี่ยงๆ อย่างนี้!! ดูตัวเองซิ เจ็บเจียนตายอยู่แล้ว ทำไมถึงไม่ยอมฟังพี่บ้าง"
คำตอบจากปากน้องของฉันรวมถึงสีหน้าเคร่งเครียด เขาก็ยังคงยืนยันความคิดเดิมของเขา "พี่ลองคิดถึงพี่เขยสิครับ พี่เขยเพิ่งจะได้เป็นประธาน ส่วนผมมันการศึกษาต่ำ ถ้าผมได้เป็นผู้จัดการ คงจะมีเสียงนินทาว่าร้ายเต็มไปหมด"
น้ำตาปริ่มดวงตาของฉัน รวมทั้งสามีของฉันด้วย... ฉันบอกกับน้องว่า "แต่ที่เธอไม่ได้เรียนต่อ ก็เพราะพี่นะ..." น้องชายของฉันจับมือฉันไว้ แล้วพูดว่า "ทำไมต้องพูดถึงเรื่องที่ผ่านไป แล้วด้วยล่ะครับ?" ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 26 ปี ส่วนฉันอายุ 29 ปี...
เมื่อน้องชายของฉันอายุได้ 30 ปี เขาได้แต่งงานกับสาวชาวนา ที่อยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน ในงานแต่งงาน ประธานในงานได้ถามน้องชายของฉันว่า "ใครคือคนที่คุณรักที่สุดในชีวิตนี้" น้องชายของฉันตอบอย่างไม่ลังเล "พี่สาวของผมครับ..."
แล้วเขาก็เล่าเรื่องราวที่แม้แต่ฉัน ก็ยังจำไม่ได้... เขาเล่าว่า "ตอนผมอยู่โรงเรียนประถม โรงเรียนอยู่อีกหมู่บ้านหนึ่ง เราสองคนพี่น้องต้องใช้เวลาถึง 2 ชั่วโมง เพื่อเดินไปโรงเรียน และ เดินกลับบ้าน... วันหนึ่งผมทำถุงมือหายไปข้างหนึ่ง พี่สาวผมจึงได้ให้ถุงมือของเธอข้างหนึ่ง และ เธอก็ใส่ถุงมือเพียงข้างเดียว เดินเป็นระยะทางไกล...
เมื่อเรากลับถึงบ้านมือเธอบวมแดง เพราะอากาศหนาว เธอไม่สามารถจับช้อนทานข้าวได้ด้วยซ้ำ... นับจากวันนั้น ผมจึงสาบานกับตัวเองว่า "ตลอดชีวิตของผม ผมจะดูแลพี่สาวของผมให้ดี และ จะทำดีกับเธอ" จากนั้นเสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั่ว สายตาทุกคู่ของแขกเหรื่อหันมาจับจ้องที่ฉัน คำพูดจากปากฉันออกมาอย่างยากลำบาก... "ในโลกใบนี้ คนเดียวที่ฉันรู้สึกขอบคุณที่สุด คือน้องชายของฉันคะ!!" ซึ่งในวาระที่มีความสุขที่สุดเช่นนี้ น้ำตาได้รินไหลออกมา จากทั้งสองตาของฉันอีกครั้ง...
จงรัก และ ห่วงใยคนที่คุณรักในทุกๆวัน ในชีวิตของคุณและเขา คุณอาจจะคิดว่าสิ่งที่คุณทำให้ใครสักคน เป็นเพียงสิ่งเล็กๆน้อยๆ แต่สำหรับคนๆนั้น อาจจะมีความหมายมากอย่างคาดไม่ถึง... ไม่ว่าเขาคนนั้นจะคือ พ่อ แม่ พี่ น้อง ญาติ คนรัก เพื่อน หรือแม้คนที่คุณไม่รู้จัก ก็ตาม... ดังนั้น... จงปฏิบัติดีต่อผู้อื่นไว้เถิด เผื่อว่าสิ่งดีๆนั้นย้อนกลับมา ตอบแทนเราในวันข้างหน้า...!!
อ้างอิงจาก: https://palungjit.org/threads/กำลังใจ-เริ่มจากรอยยิ้ม.107316/