หลักการช่วยเหลือคนตกน้ำที่ถูกต้อง ...ตะโกน โยน ยื่น ...
เรื่องนี้สำคัญมากนะครับ เพราะการที่รักหรือเป็นห่วงใคร และเขาตกน้ำ วิธีการช่วยชีวิตที่ถูกต้อง ไม่ใช่การกระโดดลงไปในน้ำด้วย
และมีความจำเป็นมากที่ต้องช่วยกันสื่อสารให้ถูกต้อง ไม่งั้นจะกลายเป็นว่า เพื่อนใครตกน้ำ อีกคนก็ต้องแสดงความรักด้วยการโดดลงไปช่วย สุดท้ายจากสูญเสีย 1 คน กลายเป็นสูญเสีย 2 คน ...
มีข่าวแบบนี้เยอะมาก เช่น เด็กไปเล่นน้ำกัน น้องชายจมน้ำ พี่ชายโดดตามไปช่วย สุดท้ายเสียชีวิตทั้งคู่ และเราจะเจอข่าวแบบนี้อยู่บ่อยๆ เพราะเรา "ดูหนัง" กันมาเยอะ
"ฮีโร่" บางทีก็เป็นการสื่อสารที่อันตราย เพราะทำให้มีคนอยากทำตาม ทั้งที่มันไม่ควรทำในโลกความจริง
ไม่ได้หมายความว่า เราจะไม่ช่วย แต่เราควรรู้วิธีช่วยที่ปลอดภัย
ผมเรียนหลักการนี้มาจาก #อาสากู้ภัยใจถึงใจ และยังเรียนซ้ำหลายครั้งกับเพื่อนนักข่าว โดยมีพี่เติ้ล เติ้ล ชุดปฏิบัติการทางน้ำ ทีมกู้ภัยทางน้ำ และครูสอนกู้ภัยทางน้ำของใจถึงใจมาสอน
ย้ำก่อนว่า สิ่งที่กำลังเขียนนี้ ไม่นับรวมการดำน้ำเพื่อค้นหา เพราะนั่นเป็นขั้นตอน search and rescue หรือ ค้นหาและกู้ภัย ใช้เมื่อผู้ประสบภัยสูญหายไปในน้ำแล้ว
เรากำลังพูดถึง กรณีมีคนตกน้ำอยู่ตรงหน้า และเราควรจะช่วยอย่างไร เพื่อให้ช่วยเขาได้ด้วย และคนช่วย ก็ปลอดภัยด้วย
พี่เติ้ล เน้นหลักการใหญ่ให้ฟังเสมอ
การช่วยเหลือต้องไม่ไปเพิ่มจำนวนผู้ประสบภัย หมายถึง คนช่วย ต้องไม่กลายไปเป็นผู้ประสบภัยซะเอง ซึ่งมันเป็นการเพิ่มภาระของการช่วย และมีโอกาสสูญเสียเพิ่มมากขึ้น
การกระโดดลงน้ำไปโดยไม่มีอุปกรณ์ช่วยลอย ย่อมเป็นความเสี่ยงที่ผิดหลักการนั้น ซึ่งไม่ใช่ห้ามทำเด็ดขาด แต่จะทำเป็นทางเลือกสุดท้าย
ดังนั้นเขาจะใช้หลัก "ตะโกน โยน ยื่น" หมายถึง เมื่อคนช่วยไม่จำเป็นต้องลงไปในน้ำ ถ้าในเรือ มีชูชีพ ห่วงชูชีพ(ลิงบุย) ถุงเชือก(เป็นถุงที่ใสเชือกยาวๆติดกับถุงไว้ เอาฝั่งที่เป็นถุงจุ่มน้ำให้มีน้ำหนัก โยนไปหาผู้ประสบภัย ปลายเชือกตะอยู่ที่คนโยน ดึงกลับมาได้) ไม้พาย หรืออะไรก็ตามที่ลอยน้ำได้อยู่แล้ว
1. เมื่อเห็นผู้ประสบภัย ให้ตะโกนคุยกับเขา เพื่อประเมินว่าเขายังตอบได้มั้ย ยังพอลอยตัวเองได้มั้ย นายแค่ไหน หรือเงียบไปแล้ว หงายหน้า หรือคว่ำหน้า ล้วนมีผลต่อการตัดสินใจเลือกวิธีการช่วย เช่น ถ้าเขาหมดสติ คว่ำหน้า การโยนอุปกรณ์ไปให้เกาะ ก็ไม่ทำไม่ได้ เพราะไม่อยู่ในภาวะที่จะคว้ากรือเกาะได้
2. ถ้าเขายังมีสติ อุปกรณ์ที่โยนไป ควรผูกเชือกไว้ก่อน เช่น ผูกเชือกกับห่วงชูชัพก่อนโยน มีคนจับปลายเชือกไว้บนเรือ เพราะหากเราโยนไม่แม่นพอ โยนไม่ถึง หรือ ตกห่างจากตัวผู้ประสบภัย ถ้าไม่มีเชือกผูกไว้ อุปกรณ์นั้นก็จะลอยไปเลย มีค่าเท่ากับโยนทิ้ง เสียของ และเสียโอกาสที่จะช่วยเขาได้
แต่ถ้ามีเชือกผูกไว้ ถึงเราจะโยนไม่แม่น หรือเขาคว้าไม่ทัน เราก็ยังดึงอุปกรณ์นั้นกลับมาโยนใหม่ได้ เมื่อเขาเกาะได้แล้ว ก็ลากเข้ามาที่กราบเรือ ... ช่วยขึ้นมาได้
ส่วน "ยื่น" หรือเทียบเรือไปใกล้ๆผู้ประสบภัย ยื่นไม้พาย หรืออะไรที่ยึดได้ให้เขาจับ และช่วยขึ้นจากน้ำ
ทำตามหลักเหล่านี้ ก็จะไม่เพิ่มจำนวนผู้ประสบภัย
3.ถ้าจำเป็นต้องโดดลงไปช่วย ในกรณีที่ไม่ใช่จุดที่น้ำไหลเชี่ยว ก็ควรใส่เสื้อชูชีพ ควรมั่นใจว่าว่ายน้ำเป็น ถ้าให้ดีก็ผูกเชือกไว้กับตัวเองด้วย(ถ้ามีคนอื่นอยู่บนเรือ ก็ดึงเรากลับมาได้)
จริงๆเรื่องพวกนี้ ควรอยู่ใน "หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน"
****
ส่วน "เสื้อชูชีพ" จริงๆเราต่างก็รู้ว่า เป็นอุปกรณ์ภาคบังคับ ที่ต้องใส่ก่อนลงเรือในทุกกรณี แต่ก็แทบไม่ปฏิบัติกัน
เอาเป็นว่า จากนี้ไปก็ควรใส่ทุกครั้งเมื่อต้องทำกิจกรรมทางน้ำ (เมื่อปลายปีที่แล้วไปเที่ยวสิชล นครศรีธรรมราช ซึ่งจะมีเรือคายักให้พาย เห็นมีเด็กๆไปพายเล่นโดยไม่ใส่ชูชีพหลายคน ผู้ปกครองก็ไม่ได้สนใจ)
และยังมีข้อสำคัญที่ต้องรู้ด้วยว่า การใส่ชูชีพที่ถูกต้อง ต้องใส่สายคล้องที่ขาด้วย ซึ่งคนส่วนใหญ่จะไม่ยอมใส่กัน เพราะมันจะรัดเป้า ดูไม่สวย น่าอาย แม้ว่าจริงๆแล้วมันก็เหมือนสายรัดเวลาเล่นกิจกรรมอื่น เช่น ซิปไลน์ ก็รัดเป้าเหมือนกัน
กรณีศึกษาที่ชัดเจน คือ กรณีเรือนักท่องเที่ยวจีนล่ม ที่ภูเก็ต ช่วงเดียวกับที่เกิดเหตุการณ์ติดถ้ำ ที่ขุนน้ำนางนอน
เหตุการณ์นั้นมีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก ทั้งที่ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่ใส่ชูชีพ
"แต่ไม่ใส่สายที่รัดเป้า"
เมื่อพวกเขากำลังจมน้ำ ร่างของพวกเขาจมลงไป แต่เสื้อชูชีพที่ลอยสวนทางขึ้น กลายเป็นไปปิดอยู่ที่ใบหน้า ปิดปาก ปิดจมูก ดิ้นรนยากกว่าเดิม
แต่ถ้าใส่สายรัดที่เป้า เสื้อชูชีพจะพยุงตัวเราทั้งตัว ไม่ดันขึ้นไปปิดหน้า เพราะถูกสายที่รัดเป้ารั้งไว้
เหตุการณ์นั้น .. ร่างผู้เสียชีวิตทุกราย มีเสื้อชูชีพปิดอยู่ที่หน้า
อ้างอิงจาก: Sataporn Pongpipatwattana