วิธีการดูแลจุดซ่อนเร้นของผู้หญิง
สาว ๆ ในยุคนี้มักมีชีวิตที่ Busy life ไปหมดเลยคุณว่าไหมไหนจะเรื่องความอ้วนสุขภาพแรงงานครอบครัวกินคลีนออกกำลังกายทำเล็บแต่คุณรู้ไหมคุณอาจลืมบางส่วนไป ซึ่งบทความนี้ก็ตั้งใจจัดทำขึ้นเพื่อนๆสาวๆที่ไม่ค่อยกล้าพูดถึงเท่าไหร่นั่นก็คือ จุดซ่อนเร้นหรือน้องสาวนั่นเอง
บางคนที่เป็นสายกิจกรรม รักในงานลุย ที่สำคัญเหงื่อออกมากซึ่งสิ่งที่จะตามมาก็คือ ตกขาว จากความอับชื้น ซึ่งปัญหาเหล่านี้ค่อนข้างยากที่จะหมดไปในหมู่สาวๆ ก่อนเข้าเรื่องการดูแลสุขภาพจุดซ่อนเร้นเราอยากแนะนำให้รู้จักกับน้องสาวกันก่อนหลายๆคนอาจยังมีความสงสัยอยู่ว่า เอ๊ะ? การที่น้องสาวมีสุขภาพดีนั้นเป็นอย่างไร ต้องดูแลในส่วนไหนบ้าง?ซึ่งเราจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลักๆด้วยกัน คือ Vulve ปากช่องคลอด(โซนนอก)และ Vagina ช่องคลอด
Vulve
โดยธรรมชาติของการมีสุขภาพที่ดีของน้องสาวหรือจุดซ่อนเร้นก็คือมีสภาพเป็นกรดอ่อนๆจะต้องมีค่า pH อยู่ระหว่าง 3.8 กับ 4.5 มันมีกรดอ่อนๆจะทำให้ Lactobasilli ซึ่งเป็นแบคทีเรียชนิดดีที่คอยปกป้องและลดอาการติดเชื้อของจุดซ่อนเร้นเรา แต่ถ้าว่าค่า pH เสียสมดุลอาจทำให้เกิดปัญหาจุกจิกตามมาได้เช่นกันโดยเฉพาะ การอักเสบ คัน มีกลิ่น หรืออาการอื่นๆอีกมากมายเลย อยากรู้แล้วใช่ไหมว่าเราต้องดูแลกันอย่างไร
สาวๆจะรู้หรือไม่ว่าจุดซ่อนเร้นที่ดีหน้าตาเป็นอย่างไร?
- 1. ดูที่อวัยวะสืบพันธุ์ภายนอก
ที่จริงแล้วร่างกายของคนเรา 2 ข้างมันจะไม่เท่ากันดังนั้นการที่น้องสาว 2 ข้างของเราก็ต้องมีขนาดไม่เท่ากันถือว่าเป็นเรื่องปกติมากๆแต่หากว่ามีผื่น หรือแผล มีก้อน ตุ่มไตหรือติ่ง สีของน้องสาวเปลี่ยนเป็นสีขาวนั่นเรียกว่าผิดปกติแล้วและควรที่จะพบแพทย์
- 2. ดูที่ตกขาว
ตกขาวควรเป็นมูกใสมีปริมาณค่อนข้างมากใน 3 ช่วงคือก่อนประจำเดือนมา หลังประจำเดือนมา และช่วงไข่ตก โดยช่วงไข่ตกจะมีตกขาวเยอะที่สุดมีลักษณะเป็นมูกใสๆเหนียวๆยืดได้ ซึ่งเกิดจากอิทธิพลของฮอร์โมนเพศหญิง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นตกขาวทั้ง 3 ช่วงก็ไม่ควรมานานเกิน 3 วัน หากว่าตกขาวมาทั้งเดือนในปริมาณมากๆ มีกลิ่น สี เขียว เหลือง หรือสีน้ำเลือด คนที่จะพบแพทย์หรือคุณหมอโดยด่วนเลย
- 3. ดูที่ประจำเดือน
ประจำเดือนที่ปกติควรมาไม่เกิน 7 วันหรือ 1 สัปดาห์เฉลี่ยแล้วคืน 3 วันและไม่ควรมาแบบกระปิดกระปอยหากมีเลือดก้อนๆขนาดใหญ่เกิน 2 เซนติเมตร ร่วมกับมีอาการปวดท้องรุนแรง มีไข้หรือมีกลิ่นเหม็นถือว่าไม่ปกติแล้วนะ และการพบแพทย์ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ควรทำทันที
- การดูแลในชีวิตประจำวัน
รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ
ดื่มน้ำเยอะๆและต้องไม่ทานอาหารที่มีรสจัดหมักดองเพราะอาหารเหล่านี้จะไปกระตุ้นการเกิดตกขาวและระคายเคืองช่องคลอดได้โดยเฉพาะในช่วงที่มีประจำเดือน
วิธีการดูแลจุดซ้อนเร้นของผู้หญิง
- ทำความสะอาดจากด้านหน้าไปด้านหลังเท่านั้น
ห้ามล้างโดยการสวนล้างทางตรงเพราะจะทำให้กรดตรงช่องคลอดเสียความสมดุลจนไปทำลายแบคทีเรียที่ดีเช่น Lactobacillus ที่จริงแล้วเขาสามารถช่วยกำจัดเชื้อราได้
- ออกกำลังกาย
การออกกำลังกายอย่างน้อยให้ได้วันละ30นาที และควรพักผ่อนให้เพียงพอ
- 3. ไม่สวมใส่เสื้อผ้าที่รัดรูปจนเกินไป
ควรสวมใส่ใส่เสื้อผ้าที่ระบายอากาศได้ดีเสื้อผ้าที่รัดรูปเกินไปบางทีก็อาจจะทำให้เกิดการหมักหมมของเหงื่อได้ทำให้มีอาการคันช่องคลอดรวมถึงเสี่ยงต่อการติดเชื้อรา
- 4. มีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย
การมีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัยจะช่วยลดกันเกิดแบคทีเรียก่อโรคและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่ร้ายแรงได้
- 5. หากแพ้ง่ายไม่ควรที่จะใช้ผ้าอนามัยที่มีน้ำหอม
กรณีที่มีผิวแพ้ง่าย ควรที่จะเลือกผ้าอนามัยที่ไม่มีน้ำหอม
- 6. หมั่นเปลี่ยนผ้าอนามัยอย่างน้อยทุก 4-6 ชั่วโมงเพื่อลดกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์
- 7. ไม่ควรที่จะโกนขนอวัยวะเพศจนเกลี้ยง
ในความเป็นจริงแล้วคนที่ขึ้นตรงอวัยวะเพศนั้นมีข้อดีหลายประการเช่นช่วยป้องกันกลิ่นจากจุดซ่อนเร้น ลดการเสียดสีที่อวัยวะเพศและป้องกันเชื้อโรคและสิ่งสกปรกไม่ให้เข้าสู่ช่องคลอดได้ง่ายด้วย
- 8. เข้ารับการตรวจกับแพทย์เมื่อรู้สึกผิดปกติ
เลือกผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่ดีค่า pH เป็นกลางและไม่ระคายเคืองต่อจุดซ่อนเร้น
- การทำความสะอาดและน้ำยาล้างจุดซ้อนเร้น
ปัญหาของจุดซ่อนเร้น
ต้องอธิบายว่าเรื่องจุดซ่อนเร้นถือเป็นปัญหาใหญ่ของสาว ๆ หลายคนไม่ทราบเลยว่าเรามีอาการติดเชื้อราในช่องคลอดหรือเปล่าเกิดรู้ตัวอีกทีก็เกิดอาการคันที่บริเวณจุดซ่อนเร้นซะแล้ว
- เชื้อราในช่องคลอด
สัญญาณเตือนว่าคุณมีแนวโน้มจะเป็นเชื้อราในช่องคลอด
ทั่วไปผู้ที่ประสบมักจะพบแพทย์เนื่องจากอาการคันบริเวณด้านในและบริเวณด้านนอกช่องคลอด และพบร่วมกับตกขาวที่คล้ายคราบนม-โยเกิร์ตด้วย
วิธีรักษาเชื้อราในช่องคลอด
การใช้ยาเหน็บช่องคลอด
ยาเหน็บจะเป็นยาที่ใช้ภายนอก ใช้สำหรับเหน็บช่องคลอดหรือสอดเข้าไปในช่องคลอด ซึ่งโดยทั่วไปยามีลักษณะเป็นรูปไข่หรือรูปวงรี เมื่อเข้าสู่ร่างกายจะละลายแล้วจึงดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดได้โดยตรงเป็นการออกฤทธิ์เฉพาะที่และเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพของยา แต่ข้อควรระวังคือจะต้องอยู่ในการดูแลของแพทย์หรือเภสัชกรเท่านั้น
Ex: กรณีบางรายที่ดูแลทำความสะอาดดีมาก บางคนใช้ผลิตภัณฑ์ที่ลชำระล้างบริเวณจุดซ่อนเร้นด้วยแต่ก็ยังพบว่ามีปัญหาเกี่ยวกับเชื้อราในช่องคลอด
สาเหตุเกิดจาก:เชื้อราในช่องคลอดสาเหตุหลักมาจากการติดเชื้อราในกลุ่ม Candida ทั่วไปแล้วเชื้อโรคตัวนี้จะอยู่ในช่องคลอดอยู่แล้วเพียงแต่ว่าจะมีปริมาณที่น้อย หากแต่ทว่าร่างกายมีภูมิต้านทานต่ำหรือมีภูมิคุ้มกันบกพร่องเป็น โรคเบาหวาน มีอุบัติการณ์ติดเชื้อHIV มีการทานนยาปฏิชีวนะในระยะเวลาติดต่อกันนาน มีการสวนล้างช่องคลอดโดยที่ไม่จำเป็นอาจทำให้เกิดการติดเชื้อราชนิดนี้มาขึ้น เนื่องจากมีเชื้อโรคนี้มีปริมาณมากขึ้นจนทำให้ก่อโรคได้
คำถาม: เป็นวันนั้นของเดือน และมีอาการติดเชื้อราในช่องคลอดอยู่ด้วยรจะสามารถรักษาโดยการใช้ยาเหน็บได้หรือไม่?
คำตอบ: หากว่าคนไข้มีเรื่องของประจำเดือนมาร่วมกับการติดเชื้อราสามารถใช้ยาเหน็บหรือยาสอดในการรักษาได้เหมือนเดิม เพียงแต่หมั่นเปลี่ยนผ้าอนามัยให้บ่อยขึ้นอย่างน้อยทุก 4 ชั่วโมง และไม่ควรที่จะใส่กางเกงที่คับหรือแน่นจนเกินไปในช่วงที่มีประจำเดือน
ยาฆ่าเชื้อรารูปแบบรับประทาน
ตัวยที่มีประสิทธิภาพและเป็นอันดับแรกที่จะถูกใช้ในการรักษาอาการติดเชื้อราในช่องคลอดก็คือ ตัวยาโคลไตรมาโซล ซึ่งจะมีรูปแบบที่แนะนำมากที่สุดคือชนิดเหน็บหรือสอดช่องคลอดหรือแบบทา หากแต่การใช้ยารักษาแล้วไม่ได้ผผลแพทย์และผู้เชี่ยวชาญจำเป็นที่จะต้องพิจารณายาทาน เช่น ตัวยาฟลูโคนาโซล ได้แต่ต้องใช้ระยะเวลาในการรักษาที่นานขึ้นและขึ้นอยู่กับดุลยพินิจแพทย์ด้วย
คำถาม: กรณีเป็นหญิงตั้งครรภ์และมีเชื้อราในช่องคลอดการใช้ยาเหน็บช่องคลอดจะไปมีผลต่อทารกในครรภ์หรือไม่และต้องทำอย่างไร?
คำตอบ: ในตัวยา โคลไตรมาโซลตัวนี้ยังไม่พบการศึกษาวิจัยที่ว่าสามารถใช้ในหญิงตั้งครรภ์ได้ แต่ว่าข้อมูลที่พบว่ายาขนิดนี้เมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้วอาจมีการถูกดูดซึมเข้าสุ่กระแสเลือดได้แค่เล็กน้อย จากนั้นก็ได้มีการจัดให้ยาตัวนี้อยู่ใน Pregnancy Category Bก็คือมีความปลอดภัยและได้มีการแนะนำใหใช้ยาชนิดเหน็บและทาในหญิงตั้งครรภ์ที่มีการติดเชื้อ
อาการคันช่องคลอด
- เชื้อราในร่มผ้า
เชื้อราในร่มผ้าหรือสังคังถ้านานหลายคนเคยได้ยินมักจะเป็นโรคที่ค่อนข้างน่าอายและในคนที่เป็นก็ไม่ยอมที่จะไปพบแพทย์จึงเลือกเก็บเป็นความลับสำหรับตัวเองเพราะคิดว่าโลกนี้อาจเกิดจากการติดต่อทางเพศสัมพันธ์ทำให้ไม่มีใครกล้าบอกใคร แต่ในทางความเป็นจริงแล้วเชื้อราในร่มผ้านี้เกิดจากการติดเชื้อราชนิดนึงซึ่งเชื้อราเหล่านี้ก็สามารถที่จะติดต่อได้ทางร่างกายเชื้อราในร่มผ้าเกิดได้จาก ดินและสัตว์สิงห์ชะฎาที่อยู่ในร่มผ้าก็มาจากความอับชื้นและทำให้เกิดการติดเชื้อรา ดังนั้นคนที่อาจจะต้องได้รับเชื้อราชนิดนี้ก็อาจเป็นผู้ที่มีเหงื่อออกง่ายๆ ไม่ว่าจะทั้งตัวหรือบริเวณในร่มผ้า ผู้ที่ชอบใส่กางเกงรัด ทำงานแบกหาม พบได้ทั้งสองเพศ แต่จะพบในเพศชายสูงสุดเนื่องจากมีกิจกรรมกลางแจ้งมากกว่าผู้หญิงและอาจมีการดูแลความสะอาดได้ไม่ดีเท่าผู้หญิง
ในบางกลุ่มที่มีโรคบางอย่างที่ทำให้ภูมิคุ้มกันในร่างกายลดลง เช่นคนที่ป่วยเป็นเบาหวานหรือคนที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกันเมื่อเกิดการเป็นเชื้อราก็อาจเกิดการหายหรือการดื้อต่อการรักษาได้ยากว่าคนปกติ
อาการเชื้อราในร่มผ้า: อาการแสดงของการเกิดเชื้อราในบริเวณร่มผ้ามักจะเริ่มต้นมาจากการคัน คนที่เป็นส่วนใหญ่จะรู้สึกมีอาการคันแล้วก็เริ่มที่จะเกาหลังจากนั้นก็อาจจะเกิดผื่นแดง โดยเฉพาะบริเวณขาหนีบที่อาจลุกลามขึ้นมาเรื่อยๆ ในคนไข้บางรายอาจมีอาการรุนแรงมากถึงขั้นเกิดตุ่มน้ำ หรือผื่นน้ำลุกลามไปที่อวัยวะเพศได้เลย
(หากไม่รักษาคืนนี้อาจกระจายต่อไปเรื่อยๆและสามารถที่จะติดไปยังบริเวณลำตัวผิวหนังส่วนอื่นๆได้)
การวินิจฉัย :
การวินิจฉัยสามารถทำได้โดยง่ายและไม่เจ็บตัวเลยขั้นตอนแรกแพทย์จะทำการขูดเนื้อบริเวณที่พบเชื้อราไปส่องกล้องเพื่อตรวจหรือส่งชิ้นเนื้อไปยังห้องปฏิบัติการเพื่อให้ได้ทราบชนิดของเชื้อราที่ได้รับมา
หลังจากที่ทราบเชื้อรวมถึงผลวินิจฉัยว่าเป็นเชื้อราในร่มผ้าจริง การรักษาก็สามารถทำได้โดยง่ายๆเช่นกันอย่างการอาศัยการทายา ตามที่แพทย์สั่งประมาณ 1-2 สัปดาห์และพยายามหลีกเลี่ยงไม่ทำให้บริเวณที่ติดเชื้อรามีการอับชื้น รักษาความสะอาดไม่ใช้เสื้อผ้าหรือผลิตภัณฑ์ที่สัมผัสกับร่างกายร่วมกับผู้อื่น ซักเสื้อผ้าให้สะอาดเพียงแค่ 2-4 สัปดาห์โรคเชื้อราในร่มผ้าก็จะหายไปได้นั่นเอง
- ผื่นคันบริเวณจุดซ่อนเน้น
สำหรับจุดซ่อนเร้นที่เน้นไปที่บริเวณแคมและนอกกรณีที่มีอาการแสบคันและมีผิวหนังลอก ก็จะเป็นได้อยู่ 2 โรคที่พบเจอได้บ่อยๆก็คือเชื้อรา บางรายเป็นเชื้อราในช่องคลอดด้วยและเป็นเชื้อราที่ด้านนอกด้วย อีกสาเหตุนึงก็คือเรื่องของการแพ้อาจจะเป็นแพ้ผ้าอนามัย แพ้สบู่หรือแพ้น้ำยาอนามัยที่ซื้อมาใช้ ซึ่งในท้องตลาดมีหลากหลายยี่ห้อมากพอบางคนที่ซื้อมาใช้ก็เกิดอาการแพ้ และมีลักษณะแสบคันบริเวณผิวของจุดซ่อนเร้น
ทั้งหมดนี้ก็เป็นวิธีการดูแลจุดซ่อนเร้นหรือน้องสาวของสาวๆ ทั่วไป และวิธีการทั้งหมดนี้ก็ถือว่าเป็นวิธีธรรมชาติ และควรทำอยู่เสมอ การดูแลหรือปรนนิบัติไม่ว่าจะเข้ารับบริการทางด้านสถานพยาบาล หรือการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่เอาไว้ดูแลน้องสาวเองที่บ้านก็ถือเป็นสิ่งจำเป็นและไม่น่าอายเลย ฉะนั้นสุขภาพน้องสาวหรือจุดซ่อนเร้นจะดีและมีความสุขภาพที่ดีได้นั้นขึ้นอยู่กับการดูแลทั้งหมด หากคุณชื่นชอบบทความนี้อย่างลืมแชร์เรื่องราวเหล่านี้ให้กับคนรอบข้างของคุณด้วยนะ
Reference
- Marieb EN, Hoehn KN. Anatomy and Physiology (3rd edition). San Francisco: Pearson Benjamin Cummings; 2008.
- Zhan Zhang, Ting Li, Dai Zhang, Xiaonan Zong, Huihui Bai, Hui Bi, Zhaohui Liu, Distinction between vaginal and cervical microbiota in high-risk human papilloma virus-infected women in China, BMC Microbiology, 10.1186/s12866-021-02152-y, 21, 1, (2021).
อ้างอิงจาก: pixabay