เพราะเหตุใด คนไม่มีลูกถือเป็นคน “มีบุญมาก”
หลายคนอาจคิดว่าเหตุผลของการมีลูกนั้นนอกจ า กจะเป็นโซ่ทองคล้องใจพ่อแม่แล้ว การมีลูกสำหรับบ างคนยังมองว่าเมื่อแก่ตัวไปลูกก็จะช่วยเลี้ยงดูตอนแก่เฒ่าได้… แล้วทำไมเราจึงบอกว่า การไม่มีลูก นับว่าเป็นคนมีบุญ ไปหาคำตอบกันเลยค่ะ… บ างคนลูกเป็นของขวัญในชี วิ ต บ างคนมีลูกเหมือนมีเจ้าก ร ร มนายเวรมาต ามเอาคืน คนที่ไม่มีลูกเรียกว่าเป็นคนมีบุญ? พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ถาม : คือตัวลูกเองไม่มีลูกเป็นของตัวเอง ที่เป็นแบบนี้เป็นเพราะลูกไม่มีบุญใช่ไหม
พระอาจารย์ : มีบุญสิ คนไม่มีลูกจะไปไม่มีบุญได้ยังไง คนมีลูกหน่ะเป็นคนมีก ร ร ม ถามคนมีลูกเข าดูสิ
ถาม : ทำไมคนที่มีลูกถึงมีก ร ร มละ
พระอาจารย์ : เพราะว่าเลี้ยงลูกมันทุ กข์ไง เดี๋ยวลูกก็ดื้ อลูกก็ไม่เชื่อฟัง ทำอะไรก็ไม่เชื่อฟัง หรือลูกไปทำอะไรให้เกิดความเสี ยห ายขึ้นมา พ่อแม่ก็ต้องทุ กข์ ลูกไปทำร้ ายข้าวของของคนอื่น พ่อแม่ก็ต้องมารับผิดชอบมาจ่ายค่าเสี ยห ายต่างๆ งั้นเลี้ยงลูกมันไม่ใช่เป็นของสนุก
ต้องหาเ งิ นหาทองมาให้มีใช้อยู่ตลอดเวลา ลูกนี่ไม่ต้องหาเลยใช่ไหม อย ากจะได้เ งิ นอะไรก็แบมืออย่างเดียวขออย่างเดียว พ่อแม่นี่กว่าจะหาเ งิ นมาได้สักบ าทนี่ต้อง เหนื่ อยย าก ถ้าไม่มีลูกก็ไม่ต้องมาหาเ งิ นมาเลี้ยงลูกให้เหนื่ อยย าก เนี่ยเข าถึงเรียกว่าเป็นทุ กข์ คนที่ไม่มีลูกหน่ะเรียกว่าเป็นคนมีบุญ เราอย่าไปมีลูกล่ะเข้าใจไหม เราเป็นลูกก็ได้แต่อย่ าไปมีลูกก็แล้วกัน โตไปก็บวช บวชแล้วสบ ายไม่ต้องมาเลี้ยงลูกให้ทุกข์
ถาม : ถ้ามีคนสองคน คนหนึ่งมีลูกแล้วอีกคนนึงไม่มีลูก คนที่มีลูกเข าก็เลี้ยงลูกไปด้วยความทุ กข์แล้วก็แก่ไปทั้งคู่ แล้วตอนบั้นปลายชี วิ ตคนที่มีลูกเข าได้ลูกดีก็จะดูแลพ่อแม่ย ามเจ็ บไ ข้ได้ป่ วย แต่คนที่ไม่มีลูกก็ไม่มีคนดูแล แล้วใครจะมีก ร ร มมากกว่ากัน
พระอาจารย์ : คนที่ไม่มีลูกหน่ะสบ าย เพราะจะได้พึ่งตนเองได้ จะรู้จักพึ่งตนเอง ถ้าพึ่งไม่ได้ก็ต า E ก็ไม่เป็นไรยังไงก็ต้องต า Eอยู่ดี แล้วก็โอกาสที่จะได้ลูกดีมันก็มีน้อยมากโอกาสได้ลูกไม่ดีมันจะมีมากกว่า แล้วจะมาเสี ย อกเสี ยใจมากกว่าคนที่ไม่มีลูก
คนที่ไม่มีลูกเข าก็ต้องเตรียมตัวพึ่งตัวเข าเอง เมื่อเข าไม่มีใครมาพึ่งแล้วเข าอยู่กันได้ เข าก็พร้อมที่จะต าย อย่างเป็นพระนี่ก็ไม่มีลูกใช่ไหม ก็เตรียมตัวเตรียมใจต ายอยู่เรื่อยๆ ถึงเวลาต า E ก็ต า E ลูกศิษย์มันจะดูแลหรือไม่ดูแลก็ช่วยไม่ได้ มันก็บังคับให้เราต้องพึ่งตัวเองหากชอบใจอย่าลืมส่งต่อให้คนที่คุณรัก สาธุ สาธุ
ต้นไม้ถ้าลูกมันรสไม่ดี ก็มีแต่คนจะโค่นต้นทิ้ ง ไม่มีใครคิดจะบำรุงรั กษาไว้ ตรงข้ามถ้าลูกมันรสดี ทั้งหวานทั้งมัน เจ้าของก็อย ากใส่ปุ๋ยรดน้ำพรวนดิน ทะนุถนอมให้คงต้นอยู่นานๆ ต้นไม้จะอายุยืนได้รับการบำรุงรักษาดีเพียงไร ขึ้นอยู่กับลูกของมัน คนเราก็เช่นกัน ถ้าลูกทำดี คนทั้งหลายก็ชมมาถึงพ่อแม่ว่าเลี้ยงลูกดี ความสุขกายสบ ายใจก็ติดต ามมาเพราะลูก บุญกุศลความดีก็ไหลมาเพราะลูก แต่ถ้าลูกทำชั่ วช้ าเล วท ร าม คนทั้งหลายก็แช่ งด่ ามาถึงพ่อแม่ด้วยเหมือนกัน
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงชี้ว่า สิริมงคลของคนที่เป็นพ่อแม่อยู่ที่ลูก และในทางตรงข้าม ถ้าไม่ป้องกันแก้ไขให้ดีแล้ว อัปมงคลก็จะมาจ า กลูกนั่นเหมือนกันประเภทของบุตรแบ่งโดยความดีในตัวได้เป็น ๓ ชั้น ดังนี้
๑ อภิชาตบุตร คือบุตรที่ดีมีคุณธรรมสูงกว่าบิดามารดา เป็นบุตรชั้นสูง สร้างความเจริญแก่วงศ์ตระกูล
๒ อนุชาตบุตร คือบุตรที่มีคุณธรรมเสมอบิดามารดา เป็นบุตรชั้น กลาง ไม่พอรักษาวงค์ตะกูลไว้ได้
๓ อวชาตบุตร คือบุตรที่เลว มีคุณธรรมต่ำกว่าพ่อแม่ เป็นบุตรชั้นต่ำ นำความเสื่ อมเสี ยมาสู่วงศ์ตระกูล
องค์ประกอบให้ได้ลูกดี
๑ ตนเองต้องเป็นคนดี พ่อแม่ที่ทำบุญมาดีจึงจะได้ลูกดีมาเกิด เหมือนต้นไม้พันธุ์ดีก็ย่อมมีลูกพันธุ์ดี เด็กที่เกิดในท้องแม่จะมีคุณธรรมในใจที่ติดตัวมาในระดับใกล้ เคียงกับของพ่อแม่ในขณะที่เด็กมาเกิด ดังนั้นพ่อแม่ที่ต้องการได้ลูกดี ก็ต้องขวนข ว ายสร้างความดีไว้มากๆ ยิ่งพ่อแม่สร้างบุญมากเท่าไร โอกาสที่จะได้ลูกดีก็มากเท่านั้น
๒ การเลี้ยงดูอบรมดี ซึ่งจะกล่าวรายละเอียดต่อไป
การเลี้ยงดูลูกมีอยู่ ๒ ทาง คือการเลี้ยงดูลูกทางโลกและการเลี้ยงดูลูกทางธรรม ซึ่งพ่อแม่ควรจะเลี้ยงดูลูกให้พร้อมบริบูรณ์ทั้ง ๒ ทาง
วิธีเลี้ยงดูลูกทางโลก
กันลูกออกจ า กความชั่ ว กัน หมายถึง ป้องกัน กี ดกัน คือไม่เพียงแต่ห้ าม หากต้องดำเนินการทุกวิถีทางที่จะไม่ให้ลูกต กไปสู่ความชั่ ว ซึ่งประเด็นสำคัญคือ จะต้องกันลูกให้ห่างจ า กคนพ าลเกเร อย่ าให้ลูกไปคบเพื่อนที่จะชักนำลูกไปในทางเสื่ อมเสี ยได้
โดยพ่อแม่ควรสนับสนุนให้ลูกพาเพื่อนมาเที่ยวบ้านบ้าง ให้การต้อนรับดูแล ในฐานะที่พ่อแม่เป็นผู้ใหญ่ผ่านโลกมามาก เมื่อตั้งใจสังเกต ก็จะพอดู นิ สั ย ของเพื่อนลูกแต่ละคนออก หากเห็นว่าเพื่อนของลูกคนใดมีลักษณะส่อ นิ สั ย เป็นคนพาล ก็แนะนำให้ลูกออกห่างเสียแต่เนิ่น ๆ อย่าไปคบหาเป็นเพื่อนสนิท เดี๋ยวจะติดเ ชื้ อพาลมาด้วย ซึ่งถ้าพ่อแม่ไม่ใส่ใจให้ความสำคัญเรื่องเพื่อนของลูก ปล่อยให้ลูกไปคบคนเกเรจ นสนิทชิดเ ชื้ อกันแล้วพ่อแม่จะมาห้ ามคบภายหลังก็จะทำได้ย าก และการกันลูกออกจ า กความชั่ วก็ย ากจะประส บความสำเร็จ
การกันลูกออกจ า กความชั่ ว จะต้องทำตั้งแต่ลูกยังเล็ก ๆ นอกจ า กเรื่องเพื่อนแล้ว ควรให้ลูกอยู่ห่างจ า กสื่อทุ กชนิดที่สร้างตัวอย่างที่ไม่ดีให้ลูก เช่น โฆษณาย า ฆ่ ายุง ภาพยนตร์หรือการ์ตูนที่เห็นความรุ นแร ง เป็นต้น อย่ าใช้โทรทัศน์เลี้ยงลูกแทน หากจะดูโทรทัศน์ พ่อแม่ก็ควรเลือกรายการที่ดี มีประโยชน์แล้วชวนลูกดู จ นเด็กคุ้นเคยกับสิ่งดี ๆ และไม่ชอบข้องเกี่ยวกับสิ่งไม่ดีทั้งหลาย
การกันลูกจ า กความชั่ วนี้ บ างครั้งพ่อแม่กับลูกก็พูดกันไม่เข้าใจ สาเหตุของความไม่เข้าใจกันนั้นมักจะเกิดจ า กการขั ดกันอยู่ ๓ ประการคือ ความเห็นขั ดกันความต้องการขั ดกันกิ เ ล ส
ความเห็นขั ดกัน คือของสิ่งเดียวกันแต่เห็นกันคนละทาง มองกันคนละแง่ เช่น การเที่ยวเตร่ เด็กวัยรุ่นมักจะเห็นว่าดี เป็นการเข้าสังคม ทำให้กว้างขวางทันสมัย แต่ผู้เป็นพ่อแม่กลับเห็นว่า การเที่ยวเตร่หามรุ่งหามค่ำนั้น มีผลเสี ยห ายหลายประการ เช่น อาจเสี ยการเรียน อาจประส บภั ย อาจใจแต ก เพราะถูกเพื่อนชักจูงไปให้เสี ย ครั้นห้ ามเข้าลูกก็ไม่พอใจ หาว่าพ่อแม่หัวเก่าล้าสมัย
เรื่องนี้ถ้าจะพูดด้วยความเป็นธรรมแล้ว ลูกควรจะรับฟังความเห็นของ พ่อแม่ด้วยเหตุผลง่ายๆ ๒ ประการ คือพ่อแม่ทุกคนหวังดีต่อลูก ๑๐๐ % และ พ่อแม่ย่อมมีประส บการณ์รู้ทีได้ทีเสี ยมามากกว่า เราแน่ใจหรือว่าความรักของเพื่อนตั้งร้อยที่ล้อมหน้าล้อมหลังอยู่นั้น รวมกันทั้งหมดแล้วจะมากและบริสุทธิ์ ๑๐๐ % เหมือนความรักในดวงใจของพ่อแม่ คนเราทุกคนเคยเห็นผิดเป็นชอบมาก่อน
เมื่อยังเป็นเด็กอมมืออยู่นั้น เราเคยเห็นว่าลูกโป่งอัดลมใบเดียวมีค่ามากกว่าธนบัตรใบละร้อยใช่ไหม? จิตใจที่อยู่ในวัยเย าว์ก็ย่อมเย าว์ต ามไปด้วย ดังนั้นเชื่อฟังคำว่ากล่าวตักเตือนของพ่อแม่ไว้เถิดไม่เสี ยหลาย ส่วนพ่อแม่เองเมื่อจะห้ ามหรือบอกให้ลูกทำอะไร ก็ควรบอกเหตุผลด้วย อย่าใช้แต่อารมณ์
ความต้องการขัดกัน คือคนต่างวัยก็มีรสนิยมต่างกัน ความสุขของคนแก่คือชอบสงบ หาเวลาพักผ่อนอยู่กับบ้าน แต่ความสุขของเด็กหนุ่มสาวมักอยู่ที่ได้แต่งตัว ส ว ย ๆ ไปเที่ยวเตร่นอกบ้าน ข้อนี้ขั ดแย้งกันแน่ ลูกกับพ่อแม่จึงต้องเอาใจมาพบกันที่ความรัก ตกลงกันที่มุมรักระหว่างพ่อแม่กับลูก รู้จักผ่อนสั้นผ่อนย าวต ามสมควร
การเลี้ยงลูกที่กำลังโตเป็นหนุ่มเป็นสาวนั้น เหมือนการเล่นว่าวโต้ลม ผ่อนไปนิด ดึงกลับมาหน่อย จึงจะเป็นผลดี
กิเ ล ส ถ้าทั้ง ๒ ฝ่าย มีความโก ร ธ มีทิฏฐิ ดื้ อดึ ง ดื้ อด้ าน หลงตัวเอง หรือมีกิเ ล สอื่นๆ ครอบงำอยู่แล้วก็ย ากที่จะพูดกันให้เข้าใจ ต้องทำใจให้สงบและ พูดกันด้วยใจที่เป็นธรรม ด้วยเหตุด้วยผล พ่อแม่ต้องฝึกตนให้เป็นคนมีคุณธรรม และสอนลูกให้เป็นคนดีมีเหตุผลตั้งแต่ยังเล็ก ปัญหาข้อนี้ก็จะเบ าบ างลง
ปลูกฝังลูกในทางดี หมายถึง ให้ลูกประพฤติดีมีศีลธรรม พ่อแม่ต้องพย าย ามเล็งเข้าหาใจของลูก เพราะใจเป็นตัวควบคุมการกระทำของคน ที่ว่าเลี้ยงลูกให้ดี คือทำใจของลูกให้ดีนั่นเอง สิ่งของนั้นมีอยู่ ๒ ประเภท คือของกินกับของใช้ สำหรับของกินทุ กคนต้องกินเหมือนกันหมด เพื่อให้ร่างกายเติบโตคงชี วิ ตอยู่ได้ ส่วนของใช้นั้น ต่าง คนต่างมีต ามความจำเป็น เช่น ชาวนาก็ต้องมีจอบมีไถ เสมียนก็ต้องมีปากกาสมบัติทางใจก็มี ๒ ประการ เหมือนกันธรรมะ เป็นอาหารใจวิชาความรู้ เป็นเครื่องมือของใจ
ต ามธรรมดาร่างกายคน ถ้าข าดอาหารแล้วก็จะเสี ยกำลัง ใจคนก็เหมือนกัน ต้องมีธรรมะให้พอเพียง อาหารทางกายกินแทนกันไม่ได้ ไม่เหมือนของใช้ มีดเล่มเดียวใช้กันได้ทั้งบ้าน เรื่องของใจก็เหมือนกัน ใจทุกดวงต้องกินอาหารเอง คือทุกคนต้องมีธรรมะไว้ในใจตนเอง จะถือว่าใจพ่อแม่มีธรรมะแล้ว ใจลูกไม่ต้องมีไม่ได้ ส่วนวิชาความรู้เปรียบเสมือนของใช้ ใครจะใช้ความรู้ทางไหนก็หาความรู้เฉพาะทางนั้น ข าดเหลือไปบ้างยังพออาศัยผู้อื่นได้ ใจที่ข าดธรรมะเหมือนร่างกายที่ข าดอาหาร ใจที่ข าดวิชาความรู้เหมือนคนที่ข าดเครื่องมือทำงาน
พ่อแม่ต้องปลูกใจลูกให้มีทั้ง ๒ อย่าง จึงจะเป็นการปลูกฝังลูกในทางดี ซึ่งทำได้โดย
๑ กระทำตนเป็นตัวอย่างที่ดีแก่ลูก
๒เลือกคนดีให้ลูกคบ
๓หาหนังสือดี สื่อดีๆ ให้ลูกดู
๔ พาลูกไปหาบัณฑิต เช่น พระภิกษุ ครูบ าอาจารย์ที่ดี
๓ ให้ลูกได้รับการศึกษา ภารกิจข้อนี้ความชัดอยู่แล้ว คือให้ลูกได้เล่าเรียน เพื่อให้มีความรู้สามารถช่วยตัวเองต่อไปได้ พ่อแม่สมัยนี้ควรจะติดต ามดูแลลูกอย่างใกล้ชิดมากขึ้น ควรติดต่อกับทางโรงเรียนอยู่เสมอ ขอทราบเวลาเรียน ผลการเรียน รวมทั้งค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เด็กอ้างว่าทางโรงเรียนเรียกร้องด้วย พ่อแม่ที่มีลูกไปเรียนไกลบ้านต่างจังหวัด และผู้ดูแลที่ไว้วางใจได้ ควรจะเป็นห่วงลูกให้มาก หากไม่จำเป็นจริงๆ ไม่ควรให้เด็กอยู่หอพัก เว้นแต่จะเชื่อใจเด็กได้ และต้องหาพอพักที่มีระเบียบข้อบั งคั บเคร่ งครั ดด้วย
๔.จัดแจงให้ลูกแต่งงานกับคนดี ความหมายในทางปฏิบัติมีอยู่ ๒ ขั้นตอน คือ พ่อแม่ต้องเป็นธุระในการแต่งงานของลูกให้คำแนะนำและช่วยเหลือ และพ่อแม่ต้องพย าย ามให้ลูกได้คู่ครองที่ดี ปั ญห าข้อที่สอง ใครควรเป็นผู้ที่ตั ดสินการแต่งงานของลูก เช่น ควรแต่งงานหรือยัง? ควรแต่งกับใคร?
ทางที่ประเสริฐที่สุด คือปรึกษาหารือและต กลงกัน พ่อแม่ควรเป็นเพียงที่ปรึกษา ไม่เจ้ากี้เจ้าการจ นเกิน ง า ม ต้องให้ลูก ได้แต่งงานกับคนที่เข ารัก เพราะความรักเป็นมูลฐานของการสมรส ฝ่ายลูกเลือก ใครก็ต้องให้พ่อแม่เห็นชอบด้วย เพราะการทำให้ท่านสุขใจนั้นเป็นความกตัญญูกตเวทีของเรา และจะเป็นศรีสวัสดิมงคลแก่ครอบครัวสืบไป แต่ถ้าหากเป็นไปเช่นนั้นไม่ได้ พ่อแม่ควรจะถือหลักว่า
“คนที่เราไม่ชอบแต่ลูกรัก ดีกว่าคนที่เรารักแต่ลูกไม่ชอบ” คิดเสี ยว่าเข าเป็นเนื้อคู่กัน เว้นแต่คนที่ลูกปลงใจรักเป็นคนเล ว หล อกล วง จะชักนำลูกเราไปในทางเสี ย อย่างนี้ต้องห้ าม แม้ว่าลูกจะรักก็ต าม
๕ มอบทรัพย์มรดกให้เมื่อถึงกาลอันสมควร เมื่อถึงเวลาควรให้จึง ให้ ถ้ายังไม่ถึงเวลาอันควรให้ก็อย่าเพิ่งให้ เช่น ลูกยังเย าว์ยังไม่รู้ค่าของทรัพย์ ก็ควรรอให้เข าเติบโตเสียก่อนจึงให้ ถ้าลูกยังประพฤติชั่ว เช่น หมกมุ่นอยู่ใน อบ ายมุข ก็รอให้เข ากลับตัวได้เสียก่อนแล้วจึงให้ ดังนี้เป็นต้น
การทำธุระเกี่ยวกับทรัพย์มรดกให้เสร็จสิ้นก่อนต า E เป็นการชอบด้วยพุทธประสงค์ วงศ์ตระกูลก็มีความสงบสุขต่อไป รายใดที่พ่อแม่ไม่ทำพินัยกร ร ม ไว้ให้เรียบร้อย ปล่อยให้ลูกๆ จัดการกันเอง ก็มักเกิดเรื่องร้ าวฉ านขึ้นในวงพี่ๆ น้องๆ จ นถึงกับฟ้ องร้ องขึ้นศ าลกันก็มี พี่น้องแต กความสามัคคี ทรัพย์สินก็เสื่ อมห ายลง เป็นเรื่องที่น่าส ล ดใจยิ่งนัก
วิธีเลี้ยงดูลูกในทางธรรม
๑ พาลูกเข้าวัดเพื่อศึกษาหาความรู้ทางพระพุทธศาสนา
๒ ชักนำลูกให้สวดมนต์ก่อนนอนทุกคืน
๓ ชักนำให้ลูกทำบุญ เช่น ตักบ าตร รักษาศีล เป็นต้น
๔ ชักนำให้ลูกทำสมาธิภาวนา
๕ ถ้าลูกเป็นชายให้บวชเป็นสามเณร หรือเป็นพระภิกษุ แล้วเข้าปฏิบัติ กรรมฐาน รวมทั้งศึกษาพระปริยัติธรรม
ความสำคัญของความอบอุ่นในวัย ๐ – ๓ ขวบ
จ า กผลการวิจัยทางการเพทย์พบว่า การเลี้ยงดูลูกด้วยน้ำนมแม่อย่างน้อย ๖ เดือนขึ้นไปและความอบอุ่นของทารกในวัย ๐-๓ ขวบ มีความสำคัญต่อพฤติก ร ร มของเด็กเมื่อโตขึ้นอย่างมาก จ า กการศึกษาจิตใจเด็กพบว่า เด็กที่ได้กินนมแม่นาน ๖ เดือนขึ้นไป จะมีจิตใจร่าเริงอยู่เสมอ น้อยครั้งที่จะมีอารมณ์โมโหฉุนเฉียวและถึงมีก็ไม่นาน ใบหน้าจะงด ง า ม ยิ้ม ส ว ย ยิ้มเก่ง แววต าของเด็กมีประกายของความสุข มองดูแววต าสดใส ผิดกับเด็กที่กินนมขวดแบบตรงกันข้าม
จิตแพทย์อธิบ ายว่า ความสุขของเด็กที่พบได้ในเด็กกินนมแม่นั้น เกิดจ า กการที่แม่ได้อุ้มโอ๋ประคองกอดเด็กไว้แนบอก มีการถ่ายทอดความรู้สึกทางผิวหนัง ทางประสาทหูและประสาทต า หูเด็กได้ยินเสียงเต้นของหัวใจแม่ และได้ยินเสียงห ายใจในอกของแม่ สิ่งเหล่านนี้รวมกันเป็นองค์ประกอบสัมผัสให้เกิดความรู้สึกอบอุ่นเป็นสุขขึ้นมา แล้ะผันแปรกลายเป็นความเมตต าและความไม่เห็นแก่ตัว
ซึ่งจะพบได้ในเด็กที่ได้กินนมแม่นาน ๖ เดือนขึ้นไป เด็กจะกินนมอย่างพอใจ สุขใจและยิ้ม อารมณ์ดี ไม่มีความรู้สึกข าดแคลนใดๆ เกิดขึ้นจิตใจจะมั่นคง รู้จักเหตุผลและรู้จักรอคอย นั่นคือ รู้จักอดทนต่อทุกสถานการณ์ได้ดียิ่ง สิ่งเหล่านี้จะมีน้อยมากหรือแทบไม่มีเลยในเด็กที่กินนมขวด นิ สั ย ข าดเมตต าและเห็นแก่ตัวจะพบได้สูงในเด็กกินนมขวด
สมองคนทุ กคนได้รับข้อมูลทั้งชั่ วและดี รวมกันอัดไว้แน่นตอนช่วงอายุ ๐-๓ ขวบ ข้อมูลก่อน ๓ ขวบที่สองเก็บไว้นั้น เปลี่ยนแปลงได้ย าก มีหลักฐานยืนยันว่าเป็นเช่นนี้จริง เช่น คนกลัวแมว คนกลัวฟ้าร้ อง คนกลัวความสูง ส่วนใหญ่เกิดจ า กประส บการณ์ที่เกิดในวัย ๐-๓ ขวบ และจะแก้ นิ สั ย เหล่านี้ได้ย าก
ดังนั้น การจะสอนคนให้เป็นคนดีต้องสอนตั้งแต่ก่อน ๓ ขวบ นิ สั ย ดี ๆ นั้นจะได้ฝังแน่นติดตัวเด็กไปตลอด เด็กเล็กที่กินนมแม่จะได้ข้อมูลที่ดีฝังในสมองในเรื่องของความเมตต าและความไม่เห็นแก่ตัว เด็กกินนมแม่เหล่านี้ ถ้าไม่ข าดแม่ในช่วงชี วิ ต ๐-๓ ขวบจะเป็นเด็กที่มี สุ ข ภ า พ จิตดีเยี่ยม
ข้อเตือนใจ
๑ รักลูกแต่อย่าโอ๋ลูก อย่ าต ามใจลูกเกินไป เพราะจะทำให้เด็กเสีย นิ สั ย เหตุที่พ่อแม่ต ามใจลูกเกินไป มักเป็นเพราะ
รักลูกมากเกินไป รักมากจ นไม่กล้าลงโท ษสั่งสอน ไม่มีเวลาอบรม รู้สึกเป็นความผิดของตัว ที่ไม่มีเวลาให้ลูกจึงปลอบประโลมตนเองด้วยการต ามใจลูก ซึ่งเป็นวิธีแก้ที่ผิด
๒ อย่ าเคร่ งระเบียบจ นเกินไป รู้จักผ่อนสั้นผ่อนย าว
๓ ให้ความอบอุ่นแก่ลูกให้เพียงพอ ไม่ว่างานจะยุ่ งมากเพียงไร ก็ต้องหาเวลาให้ลูก มิฉะนั้นจะต้องน้ำต าต กในภายหลัง
๔ เมื่อเห็นลูกทำผิด ควรตำหนิทันทีเพื่อจะได้แก้ไขทันท่วงที แต่ต้องใช้เหตุผลอย่าใช้อารมณ์ และเมื่อเห็นลูกทำดีก็ชมเพื่อให้เกิดกำลังใจ
๕ ต้องฝึกให้ลูกทำงานตั้งแต่ยังเล็ก การปล่อยให้เด็กอยู่อย่างสบ ายเกินไปทุ กอย่าง มีคนรับใช้ มีเวลาว่างมากเกินไป จะกลับเป็นผลเสี ยต่อเด็ก โตขึ้นจะช่วยตัวเองไม่ได้
๖ การเลี้ยงลูก ให้แต่ปัจจัย ๔ ยังไม่พอ จะต้องให้ธรรมะแก่ลูกด้วย