กิ้งกือหายาก-ที่มีขาเยอะที่สุดในโลก” (750 ขา)
ในที่สุดก็พบ “
ตลอด 3 ปีที่ “พอล มาเร็ก” (Paul Marek) และทีมงานได้ลงพื้นที่สำรวจ
ณ ป่าที่เต็มไปด้วยหมอก แถบซานเบนิโต รัฐแคลิฟอร์เนีย นั่นทำให้พวกเข้าได้พบกับกิ้งกือสายพันธุ์
Illacme plenipes ที่มีขามากถึง 750 ขา ซึ่งไม่เคยถูกอธิบายอย่างเป็นทางการมาก่อน
ดังนั้น การค้นพบในครั้งนี้จึงนับเป็นโอกาสดีที่เราจะได้ทำความรู้จักสิ่งมีชีวิตที่มีขามากที่สุดในโลกชนิดนี้กันครับ
อันที่จริงแล้ว เคยมีการค้นพบกิ้งกือสายพันธุ์นี้มาก่อนเมื่อปี ค.ศ.1928 โดยทีมนักวิทยาศาสตร์ของรัฐบาลกลาง
ทว่าการค้นพบครั้งนั้นกลับไม่มีการถ่ายภาพ หรือเก็บข้อมูลใด ๆ ไว้เลย จนกระทั่งมันถูกพบอีกครั้งในปี 2006
หลังผ่านไปเกือบ 80 ปี โดยพอลและทีมงานได้ใช้เทคโนโลยีแผนที่ระบุตำแหน่ง
จนสามารถค้นพบกิ้งกือดังกล่าวถึง 4 ครั้ง ในช่วงปี 2006-2007 ก่อนจะรวบรวมข้อมูลเผยแพร่ลงวารสาร ZooKeys เมื่อปี 2012
(ภาซ้าย) ขาที่เรียงกัน 750 ขาของ Illacme plenipes, (ภาพขวาบน) ขนที่สามารถหลังสารพิเศษคล้าย
"ไหม", (ภาพขวาล่าง) ศีรษะและขากรรไกรที่หลอมรวมเข้ากัน
โดยทีมวิจัยพบว่า กิ้งกือสายพันธุ์นี้มีขนาดตัวเพียง 3 ซม. และมีเฉพาะเพศเมียเท่านั้นที่เป็นเจ้าของขาจำนวน 750 ขา
ในขณะที่เพศผู้จะมีประมาณ 550 ขา ซึ่งมากกว่าค่าเฉลี่ยของกิ้งกืออีกกว่า 10,000 ชนิดทั่วโลก
ที่มีขาเพียง 36-400 ขา โดยงานวิจัยนี้ยังพบความลับของขาซึ่งมาจากการที่พวกมันไม่มีดวงตา
ทำให้ต้องอาศัยอยู่ใต้พื้นดินที่ลึกราว 10-15 ซม. เพื่อหลีกเลี่ยงแสง ซึ่งขาที่มากมายนี้
จะช่วยเพิ่มแรงในการขุดดินให้กับพวกมัน อีกทั้งยังมีส่วนทำให้ลำตัวของพวกมันยาวขึ้น
ซึ่งช่วยให้เก็บรักษาไข่ได้ดียิ่งขึ้นเช่นกัน
ทั้งนี้ นักวิจัยยังพบอีกว่า ขนที่ขึ้นอยู่ตามร่างกายของพวกมันสามารถหลั่งสารพิเศษที่มีความหนืดคล้าย
“ไหม” โดยสารคัดหลั่งเหล่านี้จะเป็นตัวช่วยยึดเกาะร่างกายกับหินได้มั่นคงยิ่งขึ้น
และหากหลั่งสารเหล่านี้ออกมามากพอ ยังสามารถใช้เป็นกลไกในการป้องกันตัวได้อีกด้วย
ซึ่งนับเป็นลักษณะของสิ่งมีชีวิตที่พบได้ยากมาก ๆ เลยทีเดียว
นอกจากนี้ พวกมันยังมีลักษณะทางกายวิภาคที่น่าสนใจอื่น ๆ อีก เช่น หนวดขนาดใหญ่
(เมื่อเทียบกับร่างกาย) ซึ่งถูกออกแบบมาให้พวกมันใช้ชีวิตในความมืดได้ดีขึ้น
– ร่างกายโปร่งแสง – ขากรรไกรที่หลอมรวมเข้ากับศีรษะ
ทำให้พวกมันหาอาหารผ่านการดูดเนื้อเยื่อพืชและเชื้อราในรูปของเหลว ต่างจากกิ้งกือสายพันธุ์อื่นที่ใช้ปากในการเคี้ยวพืช
ร่างกายที่โปร่งแสงทำให้สามารถมองเห็นอวัยวะภายในได้
โดยกิ้งกือสายพันธุ์นี้ มักอาศัยอยู่ในเขตร้อนชื้น ครอบคลุมพื้นที่แถบอเมริกากลาง อเมริกาใต้
เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และออสเตรเลเซีย พวกมันเป็นตัวแทนที่หลงเหลืออยู่
เพียงชนิดเดียวของตระกูล Siphonorhinidae ซึ่งนักวิจัยเชื่อว่าเมื่อหลายล้านปีก่อน
สิ่งมีชีวิตตระกูลนี้อาศัยกระจายกันอยู่ทั่วโลก แต่ตอนนี้กลับเหลือพวกมันเป็นกลุ่มสุดท้าย
จึงไม่แปลกที่พวกมันจะมีกายวิภาคที่คล้ายคลึงกับกิ้งกือสายพันธุ์โบราณมากกว่ากิ้งกือสายพันธุ์ปัจจุบัน