นุ่งขาวห่มขาวไปปฏิบัติธรรมทำไมยังมีกิเลส
มีหลายคนที่คิดตำหนิคนที่ไปปฏิบัติธรรมที่วัดหรือตามสำนักปฏิบัติต่างๆ ว่านุ่งขาวห่มขาวเป็นผู้ถือศีลแต่ทำไมยังละกิเลสไม่ได้
บางคนไปวัดก็ไปนั่งนินทากัน บางคนไปก็ไปขนกับข้าวพระกลับไปกินที่บ้าน
ใจเย็นๆนะครับ พวกนุ่งขาวห่มขาวไปปฏิบัติธรรมเขายังฝึกอยู่ครับยังไม่ได้บรรลุธรรมต้องให้เวลาเขาหน่อยนะครับ
ก่อนที่เราจะได้ทำงานเราก็ต้องเป็นเด็กฝึกงานก่อนใช่ไหมครับ เราคงไม่ให้เด็กฝึกงานไปทำงานที่สำคัญสำคัญโดยที่ยังไม่เป็นงาน
พวกนักปฏิบัติธรรมทั้งหลายเหล่านี้ก็ยังเป็นผู้ฝึกฝนตัวเอง การละกิเลสไม่ใช่เรื่องง่าย การมีสติรู้เท่าทันการกระทำของตัวเองก็ไม่ใช่เรื่องที่ใครนึกอยากจะทำก็ทำได้
บางคนอาจเข้าใจผิดคิดว่าเปลี่ยนชุดไปใส่เสื้อผ้าสีขาวแล้วจะบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์เพราะเหินเดินอากาศได้เลยใครคิดอย่างนี้ก็บ้าแล้วครับ
แต่ก็มีคนบ้าคิดแบบนี้กันเยอะ เสื้อผ้าสีขาวมันจะไปเปลี่ยนนิสัยคนได้อย่างไรทุกอย่างต้องใช้เวลาขัดเกลา
แต่ส่วนใหญ่ที่ชอบไปว่าคนที่นุ่งขาวห่มขาวไม่ได้หมดกิเลส ก็เพียงแต่จะหาข้ออ้างเพื่อจะเป็นเหตุผลปลอบใจตัวเองว่าไม่ต้องไปปฏิบัติหรอก เห็นไหมไปปฏิบัติก็ไม่ได้มีอะไรดีขึ้น
มันก็เป็นแค่ข้ออ้างของคนที่เห็นคนอื่นทำดีแล้วอิจฉา แต่พอคนอื่นชวนไปก็ไม่อยากไป อ้างโน่นอ้างนี่ บอกไม่มีเวลาบ้าง งานยุ่งบ้าง ต้องเลี้ยงลูกเลี้ยงหลานบ้าง
บางคนเป็นเอามากบอกว่าไม่ทำมาหากิน มัวแต่ไปปฏิบัติธรรมเดี๋ยวก็อดตายกันพอดี
นี่คนที่ไม่ปฏิบัติ เขาจะอ้างเหตุผลแบบนี้
เพราะฉะนั้น เห็นนักปฏิบัติธรรมนุ่งขาวห่มขาวประพฤติปฏิบัติยังไม่ถูกต้องก็พิจารณาเอาว่ามันไม่ถูกต้องแต่ต้องคิดว่าเขากำลังพยายามอยู่
แม้แต่พระภิกษุสงฆ์เองก็ยังมีพลาดพลั้งได้ในพระวินัยซึ่งมีกำหนดไว้มากมายหลายร้อยหลายพันข้อ เมื่อพระสงฆ์ทำผิดก็มีการปลงอาบัติเว้นโทษกันได้
การที่เราเห็นคนเข้าไปศึกษาปฏิบัติธรรมอย่างทำไม่ดีไม่ถูกต้องผิดศีลผิดวินัยก็ไม่ใช่ว่าเขาจะเลวร้าย ต้องให้เวลาในการฝึกฝนตนเองของเขาด้วย
เปรียบเสมือนการที่เราจะทำอาชีพอะไรสักอย่างหนึ่ง เราก็ต้องศึกษาเรียนรู้ตั้งแต่อนุบาล ประถม มัธยม มหาวิทยาลัย ต้องฝึกทำข้อสอบ ต้องฝึกภาคปฏิบัติ มีใครบ้างที่ไม่เคยทำโจทย์คณิตศาสตร์แล้วตอบผิด เราไม่ได้คะแนนเต็มร้อยกันทุกวิชา จะมีสักกี่คนที่เรียนหนังสือแล้วได้เกรดเฉลี่ย 4.00 ถึงจะมีคนคนนั้นก็ไม่ได้สมบูรณ์แบบ 100% ยังต้องมีข้อผิดพลาดอยู่ดี
ซึ่งสิ่งนี้ก็เป็นกันทุกคน เราจึงควรพิจารณาแล้วปล่อยวาง ด้วยสติปัญญาจะดีกว่ามาคอยนั่งว่ากล่าวกัน
หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต สอนว่าไม่ให้เราไปเพ่งโทษคนอื่น ให้พิจารณาแต่ตัวเองก็พอ มิฉะนั้นจะนำความเสื่อมมาสู่ตนเองได้